ตอนที่ 468 สหาย

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 468

สหาย

“ขอโทษด้วยท่านเหล่าเซียง ข้าไม่อาจทำตามคำขอของท่านได้จริงๆ”จักรพรรดิอู๋หรืออู๋เทียนหมิงพูดด้วยใบหน้าจริงจังหลังจากเหล่าเซียงหรืออาจารย์ของหลี่เย่เดินทางเข้ามาเพื่อขอให้องค์จักรพรรดิอู๋อนุญาตให้ตนเข้าไปในเขตอสูรผาไร้ก้นได้

“องค์จักรพรรดิ ท่านลืมแล้วหรืออย่างไรว่าศิษย์ของข้าได้ช่วยเหลือองค์รัชทายาทเอาไว้”เหล่าเซียงเถียงพลางจ้องมองเทียนหมิงด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก นางแต่เดิมก็เป็นหมอเทวดาของอาณาจักรอู๋อยู่แล้ว เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงและอำนาจพอจะยืนเถียงกับองค์จักรพรรดิได้อย่างไม่ต้องหวาดกลัวอะไร

“ท่านเหล่าเซียง ท่านอย่าพึ่งเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าข้าไม่ทำให้ แต่การเข้าไปยังเขตอสูรผาไร้ก้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะอนุญาตให้ได้”เทียนหมิงตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ ว่ากันตามตรงแต่เดิมเขตอสูรก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับอาณาจักรใดอยู่แล้ว การเข้าออกแต่ก่อนก็ต้องอาศัยฝีมือของแต่ละคนเอาเอง แน่นอนว่าหมออย่างหลี่เย่และตัวเหล่าเซียงเองไม่มีกำลังพอจะทำแบบนั้น แถมหลังจากเขตอสูรต่างๆเริ่มเปิดให้คนธรรมดาเข้าไปเพราะท่านอาไป๋สานสัมพันธ์ระหว่างคนและอสูรเข้าด้วยกันแล้ว แต่ก็ยังมีเขตอสูรอีกหลายที่ที่ยังถูกห้ามเข้าเอาไว้ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง และเขตอสูรผาไร้ก้นก็เป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าที่ห้ามเข้าก็เพราะเขตอสูรผาไร้ก้นมีทรัพยากรที่หายากและมีค่า แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด สาเหตุที่อาณาจักรอู๋ห้ามเข้าเขตอสูรผาไร้ก้นจริงๆแล้วก็เพราะเขตอสูรผาไร้ก้นนับเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรไป๋ การปล่อยให้คนในอาณาจักรอู๋เข้าไปในเขตอสูรผาไร้ก้นก็ไม่ต่างจากปล่อยให้คนของอาณาจักรตัวเองเข้าไปขโมยของจากบ้านของเพื่อนบ้านเลย

“เกรงว่าท่านต้องไปขออนุญาตจากองค์จักรพรรดินีหลิวหรือไม่ก็หนึ่งในหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรเท่านั้น”เทียนหมิงสรุปพลางส่ายหน้าช้าๆ เหล่าเซียงเป็นหมอเทวดาที่ให้การรักษาคนไปทั่วมาตั้งแต่ยุคของจักรพรรดิอู๋ 2 พระองค์ก่อน หรือก็คือตั้งแต่รุ่นบิดาของอู๋หมิงนั่นเอง อีกทั้งนางยังเป็นสหายเก่าของอาวุโสเทียนหมิงซึ่งเป็นทวดของตัวเทียนหมิงเองอีกต่างหาก ความจริงไม่ต้องอ้างเรื่องที่หลี่เย่มาช่วยบุตรชายของมันหรอก หากเป็นเรื่องที่มันทำได้มันก็ยินดีทำ แต่น่าเสียดายเกรงว่าของที่เหล่าเซียงอยากจะได้ต่อให้เปิดคลังในวังหลวงนางก็คงไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นแน่

“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว”เหล่าเซียงถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินกลับออกไปจากวังหลวงของอาณาจักรอู๋ จะให้นางไปคุยกับจักรพรรดินีหรือไม่ก็หัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรงั้นหรือ พวกนางไม่มีทางยอมให้คนนอกเข้าไปได้โดยพลการเป็นแน่ จักรพรรดินีหลิวไม่เปิดให้คนนอกเข้าไปในเขตอสูรผาไร้ก้นมาเป็นสิบปีแล้ว ต่อให้ไปขอก็คงได้คำตอบไม่ต่างจากเทียนหมิงนัก ส่วนหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรทั้ง 3 นั้นไม่ต้องพูดถึง พวกนางเป็นอสูรขององค์จักรพรรดิไป๋ ไม่มีทางยอมให้ใครเข้าไปหากไม่ได้รับการยินยอมจากจักรพรรดิไป๋เป็นแน่ ทางเดียวที่ทำได้ก็คือการตีสนิทคนตระกูลไป๋ที่ไม่ต้องบอกก็ทราบดีว่าพวกมันคือราชวงศ์ไป๋ที่หายตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีเพียงพวกมันเท่านั้นที่สามารถพาใครก็ได้เข้าไปในเขตอสูรผาไร้ก้นได้ตามใจชอบ แต่หลี่เย่กลับถูกจับได้แถมยังโดนอสูรที่เป็นหนึ่งในราชาของเขตอสูรผาไร้ก้นเพ่งเล็งอีกต่างหาก

“อาจารย์ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”หลี่เย่พูดพลางก้มหัวลงอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นอาจารย์กลับมาแล้ว โชคดีที่ข้ออ้างของหลี่เย่พอจะฟังขึ้น นางบอกว่าระหว่างกำลังอยู่กับไป๋จูล่ง จิ้งจอกเหมันต์ก็เข้ามาและสัมผัสกลิ่นของยาเสน่ห์ได้ ทำให้จิ้งจอกเหมันต์ไล่หลี่เย่ออกมาและห้ามเข้าใกล้จูล่งอีก เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหล่าเซียงก็ได้แต่โทษว่าหลี่เย่โชคร้ายไปเจอจิ้งจอกเหมันต์ที่รู้จักยาเสน่ห์เข้า นางเลยไม่ได้ต่อว่าหลี่เย่มากมายอะไร

ครืด….เหล่าเซียงไม่ได้ตอบอะไร นางเพียงเดินไปนั่งที่ชั้นวางสมุนไพรตามปกติ ก่อนจะเริ่มบดยาช้าๆอย่างที่นางทำประจำ น่าเสียดายแม้จะได้น้ำจากสระชีพจรวารีมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างยาที่ได้ผลตามที่นางต้องการได้เสียที

“อาจารย์”ขณะที่อาจารย์ของหลี่เย่กำลังปรุงยาอยู่นั้น หลี่เย่ก็เดินเข้าไปหานางช้าๆพลางคุกเข่าลงตรงหน้านาง

“ให้ข้าไปตรวจดูอาการของสหายท่านดีหรือไม่เจ้าคะ บางทีข้าอาจจะสามารถช่วยท่านได้”หลี่เย่เสนอความช่วยเหลือออกไป ด้วยดวงตาสีเขียวของนางบางทีนางอาจจะสามารถช่วยหาวิธีรักษาอื่นโดยไม่ต้องพึ่งยาวิเศษก็ได้

“ไม่…..”เหล่าเซียงเหมือนกำลังจะปฏิเสธ แต่เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว หลี่เย่ก็เรียนรู้วิชาแพทย์จากตนเองไปมากมาย บางอย่างถึงขั้นเหนือกว่าเหล่าเซียงเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นความสามารถของดวงตาสีเขียวยังน่าสนใจไม่น้อย บางที่หากพาหลี่เย่ไปด้วยอาจจะทำให้นางหาวิธีรักษาอื่นพบก็เป็นได้

“หากเจ้าจะไปก็ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะไปดูอาการของสหายข้าพอดี”เหล่าเซียงตอบพลางจัดแบ่งยาที่พึ่งบดเสร็จให้เรียบร้อย

.

.

.

สถานที่ที่เหล่าเซียงพาหลี่เย่ไปนั้นเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง เป็นภูเขาที่สามารถมองเห็นทะเลตะวันออกได้เมื่อขึ้นไปบนสุดยอดภูเขาเลยทีเดียว

“ตามข้ามา”เหล่าเซียงพูดพลางเดินเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างช่องเขา หากไม่มองดีๆก็จะไม่เห็นว่ามีถ้ำอยู่ตรงนี้ นับเป็นสถานที่ซ่อนที่ดีมากเลยทีเดียว เพียงแต่ถ้ำที่เหล่าเซียงพามาออกจะเล็กไปสักหน่อย และมีข้าวของอยู่ไม่มาก เหตุใดสหายที่กำลังป่วยของเหล่าเซียงถึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้กัน? ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยจะต้องอยู่ในสถานที่ปลอดโปร่งหรอกหรือ

เปรี้ยง!! ยังไม่ทันเดินเข้าไปอยู่ๆก็มีเศษหินพุ่งเข้ามาใส่ร่างของเหล่าเซียงทันที เพียงแต่เหล่าเซียงเหมือนจะเคยชินเสียแล้ว นางยกมือขั้นมาปัดเศษหินด้วยท่าทีเฉยเมย ก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว

“นี่ข้าเอง”เหล่าเซียงพูดจบพลังวิญญาณที่ไหลออกมาจากในถ้ำก็ลดลงทันที ท่าทางพอทราบว่าผู้มาคือเหล่าเซียงอีกฝ่ายก็ลดท่าทีต่อต้านลงกระมัง

“……….”หลังจากเหล่าเซียงบอกพาหลี่เย่เข้ามาจนถึงสถานที่ที่สหายของนางอยู่ หลี่เย่ก็พบว่าสหายของเหล่าเซียงนั้นกำลังอยู่ในสภาพโดนจับล่ามโซ่เอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งมือทั้งเท้าแทบขยับไม่ได้เลยทีเดียว

“อู…อา…”ทันทีที่เห็นหลี่เย่ ชายชราที่โดนมัดเอาไว้ก็มีท่าทีโมโหทันที มันพูดออกมาด้วยคำพูดไม่เป็นภาษาและมีท่าทีเหมือนกำลังโวยวายไม่มีผิด พริบตานั้นพลังวิญญาณของชายชราก็พุ่งสูงขึ้นเหมือนจะไม่ไว้ใจหลี่เย่อย่างมาก

“ไม่ต้องห่วง นางเป็นศิษย์ของข้า”เหล่าเซียงพูดพลางเดินเข้าไปหาชายชราด้วยท่าทีเฉยๆเหมือนที่ชายชราทำเป็นเรื่องปกติเสียอย่างนั้น

“อู…”ชายชราพูดพลางมองไปทางเหล่าเซียงด้วยท่าทีเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางมันจะเคยชินกับการฟังเหล่าเซียงมากทีเดียวถึงได้ว่าง่ายขนาดนี้

“……”หลี่เย่มองไปทางชายชราด้วยท่าทีประหลาดใจ จากระดับพลังของมันเกรงว่าจะเคยเป็นระดับยอดฝีมือหรือสูงกว่านั้นมาก่อน เหตุใดตอนนี้ถึงดูเหมือนคนบ้าไม่มีผิด แถมยังต้องโดนมัดเอาไว้แบบนั้นท่าทางจะคุมสติตัวเองไม่ได้แน่ๆ

“อาจารย์ ชายคนนี้….”หลี่เย่พูดพลางขมวดคิ้วสงสัย นางก็เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเช่นกัน พอลองนึกดูดีๆแล้วก็มีเรืองเช่นนี้อยู่ในคำเตือนของอาจารย์เช่นกัน

“ใช่..ธาตุไฟเข้าแทรก ไม่สิ ต้องบอกว่าธาตุไฟแตกซ่านไปแล้วต่างหาก”เหล่าเซียงตอบพลางนำผ้าออกมาเช็ดไปบนใบหน้าของชายชราช้าๆด้วยท่าทีอ่อนโยนอย่างที่หลี่เย่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“แต่แบบนั้นมันไม่มีวิธีรักษาไม่ใช่หรือเจ้าคะ”หลี่เย่ตอบ การรักษาผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่ปล่อยให้ธาตุไฟเข้าแทรกนั้นยังพอว่า แต่หากธาตุไฟแตกไปแล้วการรักษาก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย

“เพราะแบบนั้นข้าถึงต้องหาทางไปเรื่อยๆยังไงล่ะ”เหล่าเซียงตอบพลางจ้องมองชายชราด้วยสีหน้าเศร้าๆ น่าแปลกใบหน้าที่เหล่าเซียงมีต่อชายชรานั้นช่างเป็นอารมณ์ที่หลี่เย่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยทั้งนั้น หรือว่าจริงๆแล้วอาจารย์จะไม่ได้เป็นเพียงสหายกับชายชราคนนี้เท่านั้น

“แต่ก่อนมันเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอู๋ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่สุดท้ายก็ลงเอยเช่นนี้”เหล่าเซียงถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีหนักใจ ก่อนจะเป็นแบบนี้ชายชราเป็นคนที่เหล่าเซียงนับถือและชื่นชมอย่างมาก เรียกได้ว่าแอบรักอยู่ข้างเดียวก็ว่าได้ จนกระทั่งสหายของชายชราพาชายชรามาให้ตนรักษา นางจึงพยายามอย่างมากที่จะรักษาชายชราให้กลับเป็นอย่างเดิมให้ได้

“อาจารย์…”หลี่เย่พูดพลางก้มหน้าลงช้าๆ พอได้เห็นท่าทีของเหล่าเซียงนางก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทุ่มเทให้กับการคิดค้นสูตรยาขนาดนั้น แต่น่าเสียดายโชคของนางนั้นไม่ดีเสียเท่าไหร่

“เจ้าลองตรวจสอบดูว่าพอจะมีทางอื่นอีกหรือไม่”เหล่าเซียงถามพลางมองมาทางหลี่เย่ การที่นางพาหลี่เย่มาด้วยในครั้งนี้ก็เพื่อให้นางลองใช้ดวงตาสีเขียวดูนั่นเอง

“…..”หลี่เย่ได้รับคำสั่งก็พลันเปลี่ยนดวงตาตนเองเป็นสีเขียวทันที พริบตานั้นหลี่เย่ก็สำรวจร่างกายของชายชราเสียจนทั่ว เพียงแต่…

“ไม่มีอาการบาดเจ็บเลยเจ้าค่ะ”หลี่เย่ตอบ ร่างกายของชายชรายามนี้ไม่มีจุดเสียหายเลย แม้แต่เส้นชีพจรที่จะเสียหายหลังจากโดนธาตุไฟเข้าแทรกก็ยังหายสนิท เรียกได้ว่าในด้านร่างกายชายชรานั้นสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างแล้ว

“แน่นอน เพราะข้าทุ่มเทรักษามันมาตั้งหลายสิบปีนี่นา แต่ถึงจะรักษาร่างกายได้ก็ไม่สามารถเรียกเอาสติของมันกลับมาได้เลย”เหล่าเซียงตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ ท่าทางหลี่เย่เองก็จนปัญญา การทำให้คนเสียสติเพราะธาตุไฟแตกซ่านกลับมาเป็นปกตินั้นไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเพราะลำพังรักษาบาดแผลให้หายก็ยากลำบากมากแล้วแท้ๆ แต่นี่เหล่าเซียงกลับซ่อมแซมบาดแผลจนสามารถใช้พลังวิญญาณได้แถมยังคิดจะทำให้อาการสติฟั่นเฟือนของชายชราหายไปอีกต่างหาก

“ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงช่วยอะไรอาจารย์ไม่ได้”หลี่เย่พูดออกมาหลังจากคิดอยู่พักใหญ่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนางก็หาทางรักษาอาการนี้ไม่ได้จริงๆ

“เจ้าไปนั่งรอก่อนก็แล้วกัน ข้าจะอยู่กับสหายของข้าสักพัก”เหล่าเซียงตอบเหมือนจะบอกว่านางไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ทำให้หลี่เย่ได้แต่เดินออกไปพร้อมมองมาทางอาจารย์ของนางด้วยท่าทีเป็นห่วง อาจารย์ทุ่มเททุกอย่างให้กับการรักษาชายชราคนนี้ หากเป็นไปได้นางก็อยากช่วยเช่นกัน

.

.

“…….”หลังจากหลี่เย่เดินออกไปแล้ว เหล่าเซียงก็นั่งลงตรงก้อนหินที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับชายชราช้าๆ ก่อนจะเหม่อมองดูชายชราตรงหน้าเหมือนกำลังนึกย้อนถึงความหลังในอดีต

“ข้าคงต้องเข้าไปด้วยตนเองเสียแล้ว”เหล่าเซียงพูดออกมาช้าๆก่อนจะลุกขึ้นยืน ในเมื่อนางไม่อาจหาวิธีเข้าไปได้อย่างถูกต้อง นางก็มีแต่ต้องลองเสี่ยงเข้าไปเท่านั้นกระมัง