ตอนที่ 575 ฟู่เจวี๋ยเยมาถึง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 575 ฟู่เจวี๋ยเยมาถึง

“ศิษย์น้องเล็ก นี่คือคนที่จะให้ข้ารักษาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ซูเจวี๋ยขยับหมวก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ช่างให้เกียรติพี่ใหญ่เสียจริง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “มา… ดูบาดแผลนี้สิ”

ซูเจวี๋ยคุกเข่าลงด้านข้าง ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปที่ลำคอของเฉินซีหยุน ใบไผ่ยังคงฝังอยู่ในนั้น ตัดเข้าที่กล่องเสียงพอดิบพอดี ปรากฏบาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ต้องเป็นปรมาจารย์เท่านั้นใช่หรือไม่ถึงจะสามารถทำแบบนี้ได้ ? ”

ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วมุ่นและจดจ้องอยู่เนิ่นนาน “เห็นผู้ลงมือหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “มิเห็นแม้แต่เงา”

แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกล โจมตีเพียงคราเดียวแล้วหายไป เห็นได้ชัดว่ามั่นใจต่อการโจมตีนี้เสียเหลือเกิน

“ผู้มีฝีมือระดับสูงที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ปรมาจารย์เยี่ยงข้ายังมิบรรลุความแม่นยำได้ถึงเพียงนี้”

“นั่นหมายความว่า คนผู้นี้ย่อมเป็นปรมาจารย์ที่กรำศึกมาอย่างยาวนานใช่หรือไม่ ? ”

ซูเจวี๋ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “สามารถควบคุมกำลังภายในได้ตามใจชอบ การควบคุมพลังก็มิเลว…” ทันใดนั้น เขาก็หันหน้ามามองฟู่เสี่ยวกวนทันที “เขาต้องการฆ่าปิดปาก แล้วเหตุใดเขาถึงมิลงมือกับพวกเจ้ากัน ? ”

“…เรื่องนั้นข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร ? ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็อดที่จะตื่นกลัวขึ้นมามิได้ หากคนผู้นั้นลงมือกับพวกเขาทั้งสามคนอย่างแท้จริง ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่พวกเขาจะถูกสังหารไปแล้ว

“ข้าคาดว่า… เขาคงมิมั่นใจ หรือบางทีอาจจะรู้ว่าศาสตราเทพที่ศิษย์น้องเล็กพกติดตัวเอาไว้อันตรายถึงชีวิตของเขา”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว “จะบอกว่าเขารู้จักข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ถ้าหากมิใช่ จะอธิบายว่าเยี่ยงไรเล่า ? ”

เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดไปได้กัน ?

ในใต้หล้านี้ เขารู้แล้วว่าผู้ที่มีฝีมือระดับปรมาจารย์อยู่ที่แคว้นอู๋เป็นหลัก ปัจจุบันบิดาอ้วนของตนก็เป็นถึงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ มิมีทางที่จะลอบสังหารเขาได้เป็นแน่

เป่ยหวังฉวนถูกปืนยิงใส่หนึ่งครา ต่อให้หายเป็นปกติแล้ว แต่คราหนึ่งเขาก็เคยช่วยชีวิตของตนเอาไว้ จึงมิมีเหตุผลที่จะมาที่นี่เพื่อสังหารเศษเดนคนหนึ่งของลัทธิจันทรา

โหยวเป่ยโต้วมิสามารถออกจากแคว้นอู๋ได้ ขันทีเจี่ยก็ต้องอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ปรมาจารย์ที่เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่ก็เหลือเพียงจัวเปี๋ยหลี… ที่คอยคุ้มกันให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์อยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู วรยุทธ์ของเขาและศิษย์พี่ใหญ่น่าจะมิแตกต่างกันสักเท่าใดนัก กล่าวได้ว่าตัวเขาเองก็ไร้หนทางที่จะบรรลุการโจมตีที่แม่นยำถึงเพียงนี้ได้

ยังมีผู้ใดอีกกัน ?

เจ้าสำนักภูเขาดาบเซี่ยฟานหยุนเยี่ยงนั้นหรือ ?

จนถึงวันนี้ ก็มิได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดกับภูเขาดาบนี่ อีกทั้งยังติดต่อกับคนของภูเขาดาบน้อยมากยิ่งนัก พวกเขามิน่าจะรู้จักอาวุธสังหารของข้าได้

เจ้าสำนักป่ากระบี่ลู่เสี้ยวเฟิง… !

ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็คิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาทันพลัน จั่วซีสุ่ยและจั่วเฮิ่นฮวาแห่งป่ากระบี่ล้วนตกตายด้วยปืนของตน เยี่ยงนั้นป่ากระบี่ก็ต้องรู้ถึงอาวุธสังหารนี้ของตนเป็นแน่ หากเจ้าสำนักป่ากระบี่ออกจากหุบเขามาด้วยตนเอง เป้าหมายของเขาย่อมเป็นตัวข้ามิใช่หรือ เหตุใดต้องลงมือกับเฉินซีหยุนจนตกตายด้วยกัน ?

คิดเท่าใดก็คิดมิตก

เขากัดริมฝีปากแน่น ลุกขึ้นยืนและกล่าวกับเฟ่ยอันว่า “ต้องขอให้ท่านแม่ทัพตั้งกระโจมให้ข้าสักหนึ่งหลัง นำร่างเศษเดนของลัทธิจันทรานี้ไปไว้เพียงลำพัง และมิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้”

“เจ้าคิดจะทำอันใดกัน ? ”

“อยากลองดูว่าจะสามารถตกปลาตัวนั้นได้หรือไม่… ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่ จงทำยาวิเศษที่ใช้รักษานางขึ้นมา ต้องหาวิธีช่วยชีวิตนางให้จงได้”

“นางมีความลับอันใดซ่อนอยู่กัน ? ”

“เกรงว่าจะเป็นความลับที่ทำให้ตกตะลึงได้ทั้งใต้หล้า ! ”

ตำแหน่งหยิ่นเหมินและอั้นเหมินของลัทธิจันทราปรากฏตัวแล้ว แต่ทว่าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนศาสดาสิ้นใจไปจนเกือบจะหมดแล้ว ตัวตนของนักบุญสาวถูกเปิดโปงมาเนิ่นนานแล้ว เหลือเพียงเช่อเหมินที่ลึกลับที่สุดเท่านั้น จนถึงตอนนี้ มิใช่เพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่มิรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับเช่อเหมิน แม้แต่สายลับก็ยังมิได้รับข่าวคราวอันใดเลยด้วยซ้ำ

ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน เฉินซีหยุนอยู่ที่อารามซุ่ยเยว่มานานหลายปี เกรงว่านางจะมีการติดต่อกับผู้คนในเช่อเหมิน และซ่อนความลับบางอย่างของเช่อเหมินเอาไว้

ส่วนจะจับปรมาจารย์ได้หรือไม่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิมั่นใจ เพียงแค่ลองดูเท่านั้น

……

……

เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว จึงมีการสร้างกระโจมขึ้นมาใหม่ที่ด้านข้างของค่ายทหาร ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยเดินเข้าเดินออกอยู่สามครา สุดท้ายฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินออกมา เฟ่ยอันจัดให้ทหาร 300 นายล้อมรอบและคอยเฝ้ากระโจมนี้เอาไว้

สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนอาภรณ์ กินมื้อกลางวันอย่างสบายใจ ดื่มชาหนึ่งกา แล้วเดินออกมาจากกระโจมอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางเมืองเจี้ยนเหมินทันที

ยามเว่ยแดดคล้อยกำลังพอดี การดื่มชาและเล่นไพ่นกกระจอกในยามนี้จะสบายถึงเพียงใดกัน…

เซวี๋ยติ้งชานผู้นั้นสมควรตายอย่างยิ่ง !

ฟู่เสี่ยวกวนขบกรามอย่างแค้นใจ เขายืนอยู่ด้านล่างหอคอยเมืองเจี้ยนเหมินโดยรายล้อมไปด้วยผู้คนกลุ่มหนึ่ง สองมือป้องปาก แหงนคอขึ้นแล้วตะโกนออกไปว่า

“เซวี๋ยติ้งชาน ฟู่เจวี๋ยเยของพวกเจ้ามาแล้ว จงออกมาหากเจ้ามิใช่คนขี้ขลาด พวกเรามาสู้กันตัวต่อตัว ! ”

เฟ่ยอันเหลือบมองแผ่นหลังของเด็กนั่น ฮั่วหวยจิ่นรู้สึกปวดแก้มเล็กน้อย

ฟู่เสี่ยวกวนหาได้สนใจไม่ เขายังคงตะโกนต่อไป “เหล่าทหารกองทัพชายแดนตะวันตก ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ราชบุตรเขยของฝ่าบาท… ! ”

เมื่อทหารบนหอคอยได้ยิน ว่าเยี่ยงไรนะ ?

ฟู่เสี่ยวกวนฟู่เจวี๋ยเยมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

พวกเขาชะโงกหน้าออกไปมอง… มิรู้จัก ! แต่ด้วยชื่อเสียงของฟู่เจวี๋ยเยที่ลอยมาไกลถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะกล้าสวมรอยกัน ?

ดังนั้น ฟู่เจวี๋ยเยมาถึงแล้ว !

ทันใดนั้นก็ได้เกิดเสียงซุบซิบดังเซ็งแซ่ขึ้นบนหอคอย มีคนกำลังโบกมือ และมีคนกำลังตะโกนเสียงดังว่า “เหล่าสหายเอ๋ย รีบมาดูเร็วเข้า ! ฟู่เจวี๋ยเย ฟู่เจวี๋ยเยตัวจริง ! ”

ดังนั้น จึงเกิดความโกลาหลขึ้นบนหอคอยทันพลัน ทหารจำนวนมากปรี่ไปประตูทางเหนือ เพื่อดูว่าฟู่เจวี๋ยเยที่กล่าวขานถึงนั้นมีรูปลักษณ์เป็นเยี่ยงไร

กล่าวตามจริง คือในยามนี้ต้องการเห็นผู้มีพรสวรรค์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วหล้า ผู้ก่อตั้งกองทัพทหารดาบเทวะ คนผู้นี้คือต้นแบบความคิดของผู้คน

“บุรุษทั้งหลาย พวกเจ้าคือทหารของต้าหยู ล้วนเป็นราษฎรของฝ่าบาททั้งสิ้น พวกเจ้าถูกวาจาหลอกลวงของกบฏเซวี๋ย เซวี๋ยติ้งชานทำให้ลุ่มหลง ดังนั้นฝ่าบาทจึงส่งข้ามาที่นี่ด้วยพระองค์เอง เพื่อนำข้อความมาบอกกับพวกเจ้า ฝ่าบาทยังเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้าโดยมิมีข้อกังขาใดใด เพียงชูธงคุณธรรมขึ้น และจับกุมกบฏเซวี๋ยติ้งชานเอาไว้ อดีตของพวกเจ้า มิเพียงแต่จะถูกลืมไปเท่านั้น ฝ่าบาทยังรับปากเอาไว้อีกว่าจะให้พวกเจ้าได้พัก 1 เดือน !

พวกเจ้าคอยปกป้องด่านชายแดนตะวันตกกันมาอย่างยากลำบาก ให้พวกเจ้าได้กลับบ้านไปดูแลภรรยาและลูก และให้พวกเจ้าได้กลับบ้านไปแสดงความกตัญญูเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา… ! ”

เพียงประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา เหล่าทหารบนกำแพงเมืองล้วนมิสามารถสงบนิ่งได้อีกต่อไป !

ตลอดหลายวันมานี้ เพลงฉู่ก็ได้ทำให้พวกเขาอยากกลับบ้านมากอยู่แล้ว พอได้ยินการรับประกันจากฟู่เจวี๋ยเย ทั้งยังเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทเองอีกด้วย ดังนั้นยังจะต้องสู้เพื่ออันใดอีกกัน !

ต้องยอมจำนนโดยเร็วที่สุด !

“ข้าอยากกลับบ้าน ! ”

“ข้าเองก็อยากเช่นกัน มิได้เจอหน้าภรรยามา 1 ปีแล้ว”

“พ่อแม่ของข้าอายุมากแล้ว หากมิกลับไปเกรงว่าจะมิทันได้ทดแทนคุณ เกรงว่าข้าต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”

“……”

ในแววตาของเหล่าทหารชายแดนตะวันตกทอประกายความต่อต้านออกมา เปลวไฟในใจถูกคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนจุดประกายขึ้นมา จากนั้นก็มีคนเอ่ยขึ้นมาอย่างชิงชังว่า “ไป ! ข้าทนมาพอแล้ว ! หากถูกฝังพร้อมกับแม่ทัพใหญ่ แล้วผู้ใดจะดูแลภรรยาและลูกของข้ากัน ? ”

“เยี่ยงนั้นก็สวามิภักดิ์เถอะ หากจัดการกับเซวี๋ยติ้งชานยังพอมีหนทางรอด ต่อให้ข้าต้องตายตกอยู่ในเงื้อมมือของเซวี๋ยติ้งชานข้าก็ยอม เพียงเพื่อลูกหลานจะได้มิต้องแบกรับนามของผู้ทรยศผู้นี้อีกต่อไป ! ”

“โปรดอยู่ในความสงบ… ภายในราตรีนี้ จงรอฟังข่าว ! ”