ตอนที่ 85-2 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์

จำนนรักชายาตัวร้าย

แต่ ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่เหลียนจิ่นก็ยังให้คนของหอนภาหอมส่งข่าวนี้ให้กับอวี้เฟยเยียนได้รู้

 

 

อวี้เฟยเยียนถึงกับตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าคนของหอนภาหอมล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง

 

 

แต่ว่า นางและหอนภาหอมเป็นพันธมิตรที่ร่วมงานกันมา ซึ่งก็เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด บวกกับหอนภาหอมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักษาความลับให้แก่นาง อวี้เฟยเยียนจึงทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

และเมื่อรู้ว่าหลี่รุ่ยจะหานางเพื่อช่วยให้ตนเองได้ตั้งครรภ์ อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมา

 

 

นี่ส่งตัวเองมาให้ทรมาทรกรรมถึงที่เลยเชียวหรือ

 

 

ข้าไม่หาเรื่องท่าน นับว่าข้าเป็นคนดีมากแล้วนะ!

 

 

เดิมทีตระกูลอวี้และตระกูลหลี่เป็นพันธมิตรกัน แต่หลังจากที่เกิดเรื่องอวี้เชียนเสวี่ยขึ้น ตระกูลหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เหยียบย่ำตระกูลอวี้ โดยไม่นึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้สองตระกูลแตกหักกันมานานแล้ว

 

 

หลี่รุ่ย คนอย่างเจ้าก็รู้จักขอร้องคนเช่นกันหรือ

 

 

“เรื่องนี้รอให้กลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากัน พวกท่านยื้อไว้ก่อน บอกไปว่าข้าไม่อยู่ในแคว้นต้าโจว”

 

 

คำพูดของอวี้เฟยเยียน พ่อบ้านไหนเลยจะกล้ามิปฏิบัติตาม

 

 

ประมุขมีคำสั่งลงมา อวี้เฟยเยียนก็เป็นประมุขแห่งหอนภาหอมเช่นกัน

 

 

ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือเจ้านายแห่งหอนภาหอม แล้วจะมีบ่าวไพร่ที่ไหนกันที่จะกล้ามิฟังคำสั่งของเจ้านาย! หากว่าทำให้ประมุขเหลียนมิพอใจละก็ ประมุขจะต้องไม่เอาเขาไว้เป็นแน่!

 

 

เมื่อหอนภาหอมนำข่าวที่สืบได้มาบอกแก่หลี่รุ่ย ทำให้นางดีใจเป็นอย่างมาก

 

 

หอนภาหอมให้สัญญากับหลี่รุ่ยว่า หากอวี้หลัวช่ามาถึงแคว้นต้าโจวเมื่อไหร่ พวกเขาจะแจ้งข่าวกับหลี่รุ่ยในทันที

 

 

เมื่อฟังเช่นนั้น หลี่รุ่ยก็ดีอกดีใจตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงกับจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับหอนภาหอมอีก

 

 

ขอเพียงได้พบอวี้หลัวช่า ความหวังที่อยากจะมีลูกของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที!

 

 

หลี่รุ่ยไหนเลยจะรู้ว่า บุคคลที่นางตามหาอยู่นั้นจะเป็นหลานสาวของชายที่นางเคยทอดทิ้งนั่นเอง

 

 

หากในตอนนั้นนางไม่ผิดคำสัญญา แต่งเข้าตระกูลอวี้ละก็ เท่ากับว่าอวี้เฟยเยียนก็เป็นหลานสาวของนางเช่นกัน ไหนเลยจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เฉกเช่นวันนี้!

 

 

เดินทางกันมากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดคณะของอวี้เฟยเยียนก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงในฤดูใบไม้ผลิพอดิบพอดี

 

 

“ที่นี่สวยจังเลย!”

 

 

มู่เหนี่ยนซีมองดูถนนหนทางที่กว้างขวางของเมืองหลวงด้วยสายตื่นตะลึง ถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของมากมาย ทั้งยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้แตกต่างจากชีวิตฆ่าฟันกันที่ทะเลหมอกโดยสิ้นเชิง

 

 

“ท่านป้าสาม อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาท่านปู่แล้ว เดี๋ยวพวกเรามาเดินเล่นกันนะ!”

 

 

“ที่นี่มีที่สนุกๆ มากมายเลย!”

 

 

กล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็ส่งสายตาไปหาอวี้เชียนเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังมู่เหนี่ยนซีแล้วกล่าวขึ้น

 

 

“ท่านลุงสาม ถึงตอนนั้นท่านต้องเตรียมเงินไว้ให้มากหน่อยนะ เดินเล่นเป็นเพื่อนหญิงสาวไม่เพียงแต่ใช้พลังกายเท่านั้นนะ ยังต้องเตรียมทุนทรัพย์ไว้ให้ละลายอีกด้วย!”

 

 

ได้ยินคำพูดติดตลกของอวี้เฟยเยียน อวี้เชียนเสวี่ยก็หัวเราะแล้วตอบว่า

 

 

“เสี่ยวเยียนเยียน วางใจเถอะ หลายปีมานี้ ลุงเก็บเงินได้เป็นจำนวนไม่น้อย! พวกเจ้าอยากได้อะไร ขอแค่บอกมา ข้าจะซื้อให้พวกเจ้าเอง!”

 

 

ท่วงท่าที่สง่างาม แสดงถึงจิตใจที่กว้างขวางของอวี้เชียนเสวี่ยทำให้มู่เหนี่ยนซียิ้มออกมาไม่หยุด

 

 

มู่เหนี่ยนซีรูปร่างหน้าตางดงามหมดจด รอยยิ้มนาง ราวกับดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น มันทำให้อวี้เชียนเสวี่ยตะลึงตาค้าง

 

 

“ทึ่มเอ้ย!”

 

 

เห็นอวี้เชียนเสวี่ยจ้องมองตรงมาที่ตนเอง มู่เหนี่ยนซีก็เอี้ยวตัวไปเดินข้างๆ อวี้เฟยเยียน โดยไม่สนใจอวี้เชียนเสวี่ยอีก

 

 

หลังจากการปรากฏตัวของหลี่รุ่ย ระหว่างมู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยก็แลดูแปลกไป  

 

 

มู่เหนี่ยนซีก็เป็นสตรี แน่นอนว่าจะต้องมีสัญชาตญาณของสตรีอยู่แล้ว

 

 

พระชายาคนนั้นจะต้องสำคัญกับอวี้เชียนเสวี่ยมากเป็นแน่ มิเช่นนั้นเขาคงไม่เสียอาการเช่นนี้

 

 

ถึงแม้ว่าอวี้เชียนเสวี่ยจะพยายามแสดงออกว่าไม่รู้สึกรู้สา แต่มู่เหนี่ยนซีก็มองเห็นความเจ็บปวดจากแววตาเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่เหนี่ยนซีพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้

 

 

จนถึงตอนนี้ มู่เหนี่ยนซีถึงได้เข้าใจว่าอวี้เชียนเสวี่ยเจ็บปวดเพราะใคร

 

 

แต่ไม่มีสตรีคนไหนพบเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจะดีใจหรอกนะ!

 

 

มู่เหนี่ยนซีเองก็เช่นเดียวกัน

 

 

เรื่องราวในอดีตที่ผ่านก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ แต่อวี้เชียนเสวี่ยกลับเลือกจะเก็บงำเอาไว้

 

 

การต่อสู้ในสนามรบ เขาเชี่ยวชาญยิ่งนัก

 

 

แต่สำหรับการเอาอกเอาใจสตรี ปลอบโยนให้นางดีใจละก็ อวี้เชียนเสวี่ยแทบไม่ได้เรื่องเลยก็ว่าได้

 

 

ยิ่งอวี้เชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ ในใจมู่เหนี่ยนซีก็ยิ่งเคลือบแคลงตะขิดตะขวงใจ ถึงแม้ใครๆ ต่างก็บอกว่าทุกคนย่อมต้องมีรักแรก มีคนรักคนแรกที่ยังอาลัยอาวรณ์มิลืมเลือน แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นคือบุคคลที่สามที่ส่งผลกระทบกับความรักของคนสองคนต่างหาก

 

 

คนหนึ่งไม่ยอมอธิบาย อีกคนก็เอาแต่หึงหวง

 

 

จนสุดท้าย ก็เป็นอวี้เฟยเยียนคอยเป็นคนกลาง อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นให้มู่เหนี่ยนซีฟัง คนทั้งสองถึงได้กลับมาคืนดีกันดังเดิม

 

 

เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงที่จากไปเสียนาน คณะของอวี้เฟยเยียนก็ถึงเวลาต้องบอกลากันเสียที

 

 

โดยแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง ไปหามารดาของตน

 

 

เซวียเฉียงขอตัวเป็นคนแรก ต่อมาเหลียนจิ่นและมั่วซางก็ขอตัวกลับบ้านตระกูลเหลียน ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับต้องการจะไปส่งอวี้เฟยเยียนที่จวนจงอี้กงให้จงได้

 

 

“หลินเจียงอ๋อง ท่านกลับไปเถอะ!”

 

 

“พวกเรารู้เส้นทางแล้ว! ท่านมิต้องไปส่งหรอก จริงๆนะ ท่านกลับไปเถอะ!”

 

 

เบื้องหน้าก็คือจวนจงอี้กงแล้ว ได้มายืนอยู่ที่หน้าบ้านของตนเอง อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกมีกำลังใจฮึกเหิม

 

 

เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนตามติดอวี้เฟยเยียนราวกับแมลงวันตามก้น ก็ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยต้องแสดงอำนาจในความเป็นผู้ใหญ่ออกมา

 

 

ถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะแสดงพฤติกรรมที่น่าชื่นชมตลอดระยะเวลาที่เดินทางด้วยกันมา แต่ว่า อวี้เฟยเยียนยังเด็กนัก จึงยังไม่ควรรีบร้อนที่จะแต่งงาน

 

 

ใครๆ ล้วนแต่กล่าวว่าลูกสาวที่เพียบพร้อม บ้านไหนก็อยากแต่งเป็นสะใภ้กันทั้งนั้น

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นอวี้เฟยเยียนยังเก่งกาจเช่นนี้ ไม่กลัวหรอกว่าจะไม่ได้แต่งงาน

 

 

อวี้เฟยเยียนคือสมบัติล้ำค่าหนึ่งเดียวของตระกูลอวี้ สามีนางจึงต้องเลือกเฟ้นเป็นอย่างดี คิดไตร่ตรองให้มาก มิอาจเลือกแบบขอไปทีได้

 

 

ฮันจื่อหันซ้ายมองที่ซย่าโหวฉิงเทียนที หันขวามองที่อวี้เฟยเยียนที ไว้อาลัยให้กับโชคชะตาที่แสนรันทดของเจ้านายทั้งสอง

 

 

ลุงสามนางปฏิเสธถึงขนาดนี้แล้ว นายท่าน ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

ว่าแล้วฮันจื่อก็นั่งลงด้านข้างเพื่อเฝ้ามองสถานการณ์

 

 

สำหรับท่าที ‘พรากคนรักออกจากกัน’ ของอวี้เชียนเสวี่ยนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นจนเคยชิน

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนก็เป็นมนุษย์ประเภทที่ว่าไม่ยี่หระกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ รอบกายเสียด้วย เขายังคงทำตามวิถีทางของตนเอง จึงไม่มีทางที่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของอวี้เชียนเสวี่ยจะมาสั่นคลอนได้

 

 

“พอดีเลย ข้าอยากไปคารวะผู้อาวุโสอวี้อยู่พอดี!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนก้าวเดินออกมาด้านหน้า กุมราชสีห์ที่หน้าประตูแล้วเคาะเบาๆ

 

 

ตึงตึง

 

 

“หา จะชั่วดีอย่างไรท่านก็เป็นถึงอ๋อง อย่าหน้าด้านหน้าทนให้มันมากนักเลย!”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยไม่เคยเจอผู้ใดที่ ไร้ยางอาย เช่นนี้มาก่อน

 

 

“หน้าด้านหน้าทน และกระทำจนถึงที่สุด!”

 

 

ถูกซย่าโหวฉิงเทียนตอกกลับมาเช่นนี้ ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยแทบกระอักเลือด

 

 

ในตอนนั้นเองที่ประตูใหญ่ถูกเปิดขึ้น

 

 

แอด!

 

 

อวี้เฟยเยียนได้เขียนจดหมายมาบอกกล่าวกับอวี้จิงเหลยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วถึงวันเวลาที่จะเดินทางกลับถึงเมืองหลวง ดังนั้นสองสามวันมานี้พ่อบ้านเซี่ยงได้คอยเฝ้าดูที่หน้าประตูโดยตลอด

 

 

เมื่อได้พบกับอวี้เฟยเยียน พ่อบ้านเซี่ยงก็น้ำตารื้น

 

 

“คุณชายสาม ท่านกลับมาแล้ว!”

 

 

“ลุงเซี่ยง ข้าเอง!”

 

 

เดิมทีทุกคนต่างก็คิดว่าอวี้เชียนเสวี่ยและอวี้ซิงฉยงคงเกิดเรื่องแล้ว ทุกคนจึงเตรียมทำใจในกรณีเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดขึ้นกับคนทั้งสอง

 

 

นึกไม่ถึงว่าอวี้เฟยเยียนจะตามหาอวี้เชียนเสวี่ยกลับมาได้จริงๆ!

 

 

“คุณชายสาม คุณหนูใหญ่ แม่นางมู่ เชิญขอรับ!”

 

 

พ่อบ้านเซี่ยงถึงกับปาดน้ำตาในขณะที่ทุกคนเดินเข้ามา จนมาถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนสุดท้าย…ซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

“ท่านอ๋อง เชิญขอรับ!”

 

 

ความไม่ลงรอยระหว่างอวี้เชียนเสวี่ยและซย่าโหวฉิงเทียนนั้นพ่อบ้านเซี่ยงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เชิญบุรุษชุดม่วงเข้ามาภายในจวนตามปกติ

 

 

อวี้จิงเหลยได้รับสาส์นจากอวี้เฟยเยียนจึงรออยู่ที่ห้องโถงอยู่เป็นเวลานานแล้ว

 

 

ซึ่งถึงแม้ว่าในจดหมายของอวี้เฟยเยียนจะเขียนในส่วนของรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าผู้เป็นปู่ไม่เห็นหลานทั้งสองตัวเป็นๆ ท่านยังคงไม่วางใจ

 

 

“ท่านแม่ทัพ คุณชายสามกลับมาแล้ว! คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”

 

 

พ่อบ้านเซี่ยงเดินแกมวิ่งเข้ามา

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของพ่อบ้านเซี่ยง อวี้จิงเหลยก็อดรนทนไม่ไหวก้าวยาวๆ ออกมา

 

 

ชายหนุ่มวัยกลางคนท่าทางสง่างามที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใครกัน