ผีหลอก (3) โดย Ink Stone_Fantasy

“เธอ…เธอชื่อเยี่ยเทียนล่ะสิ?นี่…เส้นผมของเธอทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?”

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยถึงเยี่ยตงหลัน ก็นึกได้ว่าตอนนั้นที่เขาออกจากเรือนสี่ประสานนั้น เขาได้ติดต่อธุระกับพวกเยี่ยตงผิงหลายครั้ง แต่ช่วงนั้นเยี่ยเทียนกลับภูเขาเหมาซานไปแล้ว จึงไม่ได้พบกันอีก

เทียบกับเมื่อสองปีที่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงของเยี่ยเทียนก็คือเส้นผมสีดำขลับ แม้จะรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้หน้าคุ้น  แต่ผู้อำนวยการหม่ายังไม่กล้าทักทาย

“ผู้อำนวยการหม่า ผมคือเยี่ยเทียน ส่วนเส้นผมของผม….เพราะว่ามีผู้ใหญ่ในครอบครัวเสียชีวิตไป จึงเสียใจเกินเหตุทำให้เป็นแบบนี้…”

เยี่ยเทียนจำได้ว่าเมื่อก่อนป้าใหญ่เคยให้กาารสนับสนุนผู้อำนวยการหม่า ความสัมพันธ์กับบ้านเยี่ยจึงถือว่าสนิทชิดเชื้อ และไม่มีอะไรปิดบังต่อกัน ส่วนเรื่องสีผมของเขา ถ้ามองในมุมของคนทั่วไปคงอธิบายได้เพียงเหตุผลนี้อย่างเดียว

คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ตำรวจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้อำนวยการหม่ามองเยี่ยเทียนด้วยสายตาอ่อนลง ความเสียใจต่อการจากไปของคนในครอบครัวจนทำให้เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหัว จิตใจของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย

พอทราบถึงสถานะของเยี่ยเทียน ผู้อำนวยการหม่าชี้ไปที่ตำรวจที่มาด้วยแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักกับเจ้าหน้าที่อู๋จี๋ เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจในเขตของเรา เขามีเรื่องจะถามเธอหน่อย…”

อายุของผู้กำกับอู๋ยังไม่มาก ดูแล้วประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี เขาเคยเป็นตำรวจสืบสวนประจำเมือง ถึงอายุยังน้อย แต่ก็เคยทำคดีสืบสวนมาแล้วไม่น้อย ท่าทางภูมิฐานมีแววเด็ดขาดน่าเกรงขาม

“เจ้าหน้าที่อู๋ มีธุระอะไรหรือครับ?” เยียเทียนมีแววตื่นตระหนก สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ท่าทางของเยี่ยเทียนในสายตาของคนทั่วไปดูออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ในสายตาของผู้กำกับอู๋ถือเป็นเรื่องปกติ

ตำรวจเป็นตัวแทนของผู้รักษากฎหมาย ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยได้ติดต่อสัมพันธ์กับตำรวจ จึงรู้สึกหวาดเกรง เปรียบได้กับตอนเรียนหนังสือ เมื่อถูกคุณครูซักถาม ก็รู้สึกเครียดเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไปทำอะไรผิดมา

อู๋จี๋เคยเข้าฝึกอบรมด้านจิตวิทยาในผู้ต้องหาเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของเยี่ยเทียนแล้วตัดเยี่ยเทียนออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยทันที

“เยี่ยเทียน ไม่ต้องตื่นเต้น ผมแค่อยากถามอะไรหน่อย…”

ตอนนี้พระอาทิตย์เลยเส้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว ยืนอยู่ใต้แสงแดดออกจะร้อนไปสักหน่อย ผู้กำกับอู๋มองไปรอบๆ ชี้ไปที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงสวนด้านหน้า บอกว่า “ไป เราไปคุยกันตรงนั้น….”

เมื่อทุกคนนั่งลงบนม้าหินแล้ว ผู้กำกับอู๋เปิดสมุดบันทึกในมือ ถามต่อ “เยี่ยเทียน เธอได้ซื้อเรือนสี่ประสานหลังนี้ไว้หรือ?”

เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า “ใช่ครับ ซื้อไปแล้วครับ เมื่อวานเพิ่งเริ่มทำเรื่องโอนย้ายเสร็จ…”

“ถ้างั้นเมื่อคืนวาน เธอได้มาที่บ้านนี้ไหม?” ผู้กำกับอู๋ถามต่อ ดวงตาจ้องเขม็งที่เยี่ยเทียน

“มาครับ ผมให้คนของบริษัทย้ายบ้านมาขนเอาของที่ลานด้านหลังออกไป…”

เยี่ยเทียนเปิดเผยชัดเจนและสบตาตอบผู้กำกับอู๋กลับไป พลางมองไปรอบด้าน ลดเสียงลงพูดว่า “ทางเข้าเรือนด้านหน้า เรือนกลาง และเรือนด้านหลังเดิมทีนั้นเชื่อมต่อกัน แต่บ้านสองหลังด้านหน้ามีคนอาศัยอยู่แล้ว ผมอยากจะทำประตูด้านหลังเพื่อเปิดเป็นโรงแรมเล็กๆ แบบนี้….ไม่ผิดกฎหมายใช่ไหมครับ?”

“ไม่ผิดกฎหมายหรอก ถ้าจะปรับปรุงเป็นโรงแรม เธอก็ไปที่สำนักงานที่เกี่ยวข้องทำเรื่องได้เลย พวกเราไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้…”

การเป็นผู้กำกับ เขาก็ยังเคยเข้าไปประนีประนอมกับผู้อยู่อาศัยที่ไม่ยอมย้ายออกหลายคราว ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไหร่ ตอนนี้ถูกเยียเทียนถามขึ้นมา ผู้กำกับอู๋อดกระอักกระอ่วนเป็นไม่ได้

“อย่างนั้นก็ดี….” เยี่ยเทียนรู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น

“นี่ ผมอยากจะถามอะไรหน่อย?”

เมื่อถูกเยี่ยเทียนขัดจังหวะ เจ้าหน้าที่อู๋เสียสมาธิ หยุดคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องจะถามคุณ เยี่ยเทียน พอคุณออกจากบ้านนี้ไปแล้ว ได้กลับมาอีกไหม?”

ความจริงแล้ววันนี้ตั้งแต่เช้าได้มีคนในครอบครัวหนึ่งไปแจ้งความที่สถานี พอดีกับช่วงที่ผู้กำกับอู๋เข้าเวรอยู่จึงรีบรุดมา จากการพิจารณาสถานที่เกิดเหตุแล้ว เขาเชื่อว่าที่นี่จะต้องมีคนแกล้งหลอกผีทำให้คนอื่นตกใจ

เมื่อวิเคราะห์ตามแนวคิดนี้ เจ้าของที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างเยี่ยเทียนเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้มา ผู้กำกับอู๋ก็ต้องไปหาเขาอยู่ดี

แต่เมื่อได้พบกับเยี่ยเทียนแล้ว ผู้กำกับอู๋ลดระดับความน่าสงสัยของเยี่ยเทียนลงไปอยู่ต่ำสุด เด็กหนุ่มที่อายุเพิ่งจะยี่สิบ เกรงว่าไม่น่าจะมีเล่ห์กลอะไรมากมาย?

“เปล่านะครับ?เมื่อวานพอออกไปจากที่นี่ผมก็กลับบ้านไปนอนเลย…”

ท่าทางเยียเทียนร้อนรน พอตอบจบสีหน้าก็ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นทันใด “ผู้..ผู้กำกับอู๋ คุณหมายความว่าอย่างไร?เมื่อวานผมไม่ได้มาที่นี่ เรื่องผีอะไรนั่นไม่เกี่ยวกับผมสักนิด!”

“เธอรู้เรื่องผีด้วยเหรอ”

ผู้กำกับอู๋รู้สึกประหลาดใจ แต่เรื่องผีนี้ได้ลือกันไปทั่วแล้วเกือบทุกคนที่อยู่ในเรือนสี่ประสานต่างรู้กันหมด เยี่ยเทียนไม่รู้สิแปลก

“ป้าใหญ่บอกตอนผมเพิ่งตื่นนอน แกให้ผมมาดู มี….มีผีจริงๆเหรอ?” เยี่ยเทียนละล่ำละลักถาม

ผู้กำกับอู๋โบกมือ กล่าวต่อ “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องไปเชื่อข่าวลือ เยี่ยเทียน ไม่มีอะไรแล้ว คุณกลับไปเถอะ….”

ถึงจะแน่ใจแล้วว่ามีคนกลั่นแกล้ง จากการถามลองเชิงเมื่อสักครู่ ผู้กำกับอู๋ยังไม่สามารถหาเบาะแสสำคัญอย่างอื่นได้

ตอนนี้สิ่งที่ผู้กำกับอู๋ต้องทำคือทำให้ความหวดกลัวเรื่องผีสางคลายไปจากใจของผู้คน ในเมื่อหมดความสงสัยในตัวเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงไม่อยากเสียเวลาอีก

“ผม…ผมขอเข้าไปดูข้างในได้ไหม?” เยี่ยเทียนถามอย่างระมัดระวัง

ผู้กำกับอู๋ได้ฟังก็หัวเราะออกมา “ได้แน่นอน ที่นี่เป็นบ้านของเธอนะ เยี่ยเทียน ไม่ต้องรู้สึกกดดันขนาดนั้น เรื่องนี้ต้องมีคนกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน เธออยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ…”

“โธ่โว้ย ทำไมเข้าไปแล้วรู้สึกวังเวงน่ากลัวจัง?”

เยี่ยเทียนผงกศีรษะ เดินเข้าไปในเรือนด้านหลัง ยังไม่ถึงห้าวินาทีก็รีบวิ่งออกมา สีหน้าตื่นตระหนก สบถคำหยาบ

“เอาล่ะ อย่าพูดซี้ซั้ว วังเวงที่ไหน รีบกลับบ้านไปซะ เราจะจับหาตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว…”

ได้ยินเสียงร้องของเยี่ยเทียน ผู้กำกับอู๋หน้าตึงขึ้นมา ที่จริงแล้วเขารู้สึกเหมือนกันกับเยี่ยเทียน ตอนที่ผู้กำกับอู๋เข้ามาในสวน ก็รู้สึกเย็นวาบขนลุกไปทั้งตัว

“ครับ ผู้กำกับอู๋ ผู้อำนวยการหม่า ผมกลับละ หากทั้งสองท่านมีธุระอะไรไปหาผมที่บ้านนะ…”

เยี่ยเทียนผยักหน้าตอบรับ มองไปรอบลานบ้านด้วยแววตาหวาดหวั่น บ่นพึมพำ “เฮี้ยนจริงๆ กลางวันแสกๆ ทำไมข้างในถึงเย็นได้ปานนั้น?”

เสียงบ่นของเยี่ยเทียนถึงจะไม่ดังมาก แต่ทั้งผู้กำกับอู๋และผู้อำนวยการหม่ายังมีชาวบ้านหลายคนรอบข้างต่างได้ยิน อย่างชัดเจน หน้าเปลี่ยนสีไปตามๆกัน

ผู้กำกับอู๋ไม่สามารถตอบคำถามของเยี่ยเทียนได้ ผู้อยู่อาศัยคนอื่นในบ้านต่างก็แน่ใจว่าเป็นผีหลอก ตำรวจมาก็ไม่ช่วยอะไร?

“ผู้กำกับอู๋ เรื่องนี้ คุณต้องรีบสืบให้ชัดเจนโดยด่วน ไม่อย่างนั้น…พวกเราจะกล้าอยู่ต่อเหรอ?”

เยี่ยเทียนยังไม่ทันออกไป ผู้อาศัยหลายคนเข้าไปล้อมผู้กำกับอู๋เอาไว้ เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนต้องหาตำรวจ ประโยคนี้สามารถใช้ได้ดีก็ตอนนี้

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกคุณแต่แรกอยู่แล้ว…” ผู้กำกับอู๋แอบไม่พอใจ พูดออกมาว่า “ทุกคนไม่ต้องกลัว ในโลกนี้ไม่มีผี คืนนี้ผมจะมาอยู่ที่นี่ เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่ปั้นเรื่องหลอกตาเรา!”

                “คุณจะอยู่ที่นี่? เง็กเซียนฮ่องเต้มาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์!” เยี่ยเทียนที่เพิ่งเดินออกประตูไป ได้ยินเสียงลอยมาจากในสวน ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา

ฮวงจุ้ยในพระราชวังต้องห้ามนั้นดีเยี่ยม แต่ยังมีสถานที่ที่กระแสพลังพิฆาตไปรวมตัวกันอยู่ เพียงแค่ถูกผู้มีวิชาอาคมควบคุมไว้ให้อยู่ในที่หนึ่ง เหมือนกับตำหนักเย็นตำหนักฉางชุนที่คุมขังสนมนางในเอาไว้ คือตำแหน่งที่ใช้สำหรับกักเก็บพลังพิฆาต

ตอนนี้เยี่ยเทียนได้เปิด “ประตูผี” ระบายเอาพลังพิฆาตที่สะสมไว้สี่ห้าร้อยปีในพระราชวังต้องห้ามออก ถ้าหากเป็นหมอดูฮวงจุ้ยขี้ขลาดคนอื่น คงจะตกใจตายไปแล้ว

วิธีของเยี่ยเทียหากต้องการระบายพลังงานพิฆาตให้หมดไป น่าจะต้องกินเวลาสักเดือนสองเดือน อย่าว่าแต่ตำรวจเลย ต่อให้อาจารย์ฟื้นคืนชีพขึ้นมา อาศัยแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ยังทำอะไรไม่ได้

ส่วนที่เป็นผีหลอกนั้น ความจริงก็คือพลังพิฆาตที่เกิดเป็นรูปร่างขึ้น

คนทั่วไปเมื่อพูดถึงผีสางเทวดา มักจะพูดว่าถ้าเชื่อก็มี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี คำกล่าวนี้หมายถึงผีสางที่มนุษย์ทั่วไปต่างก็วาดภาพจินตการขึ้นในใจตน

สถานที่ที่พลังงานพิฆาตสะสมอยู่นั้น พลังงานชั่วร้ายจะรบกวนกระแสความคิดของคนปกติ ผู้ที่เชื่อว่ามีผีจริง จะเกิดภาพลวงตาขึ้นในสมอง จึงเชื่อว่า”เห็น”ผีจริงๆ

เหมือนพี่เหยียนเมื่อวาน ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ในสมองของเธอจึงสร้างภาพเงาของผีนางใน ทำให้ตัวเองเห็นภาพหลอน

คนที่ตามออกมาคือคนแซ่จาง ก็ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของพี่เหยี่ยน ตอนนั้นคงคิดถึงเรื่องของนางในอยู่ ดังนั้นเมื่อได้รับพลังพิฆาต จึงเกิดภาพหลอนเช่นเดียวกันกับพี่เหยียน

แต่จิตของตาเฒ่าอู๋ค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่เชื่อเรื่องผีมาก่อน ดังนั้นพลังพิฆาตจึงไม่ทำให้เขาเกิดภาพหลอนได้ ในสถานการณ์เดียวกัน คนแซ่จางก็จะมองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกัน

สหายบางคนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้อาจไม่เข้าใจ คนที่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้จะถูกคุกคามได้ แต่ตาเฒ่าอู๋เคยออกรบฆ่าทหารฝ่ายตรงข้ามมาก่อน เขาจึงไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ทำไมยังมีไข้สูงถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเล่า?

ถ้าพูดถึงจุดเด่นข้อที่สองของพลังพิฆาตแล้ว นอกจากจะทำให้คนจิตอ่อนเกิดภาพหลอนแล้ว พลังพิฆาตยังเป็นภัยต่อร่างกายมนุษย์อีกด้วย

ความเย็นยะเยือกของพลังพิฆาตเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว ทำให้อินหยางเสียสมดุล เกิดอาการหนาวสั่นจากการพร่องของพลังหยาง ไม่ต่างกับคนที่มีอาการไข้หวัดหลังจากโดนความเย็น เป็นหลักการเดียวกัน

ตาเฒ่าอู๋ไม่กลัวผีสางเทวดา ย้ายเข้าไปอยู่ในสวนด้านหลังเพียงคนเดียว แม้แต่ผ้าห่มก็ยังไม่เอาไป พลังพิฆาตมหาศาลจึงเข้าสู่ร่างกาย อย่าว่าแต่ตาเฒ่าอู๋ที่อายุปาเข้าไปห้าหกสิบปีเลย คนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าซึ่งมีพลังหยางล้นเหลือ ยังทนไม่ไหว