บทที่ 379.1 ภิกษุชุดขาว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ยี่สิบวันต่อมา พวกเฉินผิงอันก็เดินทางผ่านภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ลาดชันดุจคิ้วของหญิงสาว พอเดินข้ามเขตชายแดนมา เดินบนทางเล็กในภูเขาครู่สั้นๆ แค่หนึ่งก้านธูปก็ได้เจอกับชายหญิงสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนสิบกว่าคนที่มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวย ส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนาง องค์รักษ์ผู้ติดตามหลายคนล้วนพกดาบยาวลักษณะเดียวกันทั้งหมด มีทั้งแก่เด็กและชายหญิง อีกกลุ่มหนึ่งมีกลิ่นอายยุทธภพเต็มร่าง รวมแล้วมีทั้งหมดหกคน สี่คนคือบุรุษอายุประมาณห้าสิบปี ลมหายใจหนักแน่นมั่นคง ยามเดินไร้เสียง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นพวกที่มีวรยุทธ์อันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนอย่างแน่นอน ผู้นำคือผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยวงองุ้มคนหนึ่ง สายตาเฉียบคม ข้างกายมีเด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งติดตามมา แม้ว่าหน้าตาของนางจะไม่โดดเด่น แต่กลับมีดวงตาที่ใสกระจ่าง ส่องประกายเรืองรองน่ามอง

คนสองกลุ่มต่างก็เดินขึ้นไปบนภูเขา ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเจอกับกลุ่มคนที่มาจากทางการก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปถามถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่แห่งนี้ อีกฝ่ายแนะนำให้ฟังอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าบนยอดเขาชิงเย่าแห่งนี้มีอารามจินกุ้ยอยู่ลูกหนึ่ง ในอารามเต๋ามีเทพเซียนฝึกบำเพ็ญตน เพียงแต่ว่าตลอดทั้งปีมักจะปิดประตูไม่รับรองแขก หน้าหนาวของปีที่แล้ว อารามเต๋าให้นายพรานนำความมาแจ้งต่อว่าเตรียมจะรับลูกศิษย์เก้าคน ขอแค่อายุต่ำกว่าสิบหกปีลงไป ไม่ถามชาติกำเนิด ดูแค่บุพเพวาสนา ดังนั้นช่วงนี้จึงมีคนไม่ต่ำกว่าสามร้อยคนพาเด็กหนุ่มเด็กสาวบ้างก็เด็กชายเด็กหญิงในตระกูลเดินทางมาไม่ขาดสาย พากันกรูเข้ามาในภูเขาชิงเย่า

เฉินผิงอันคิดถึงว่าตอนนี้ยังมีทั้งกระบี่เจินอู่และมีดสั้นฝากไว้ที่จวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงไม่คิดจะไปร่วมความครึกครื้นนี้ ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาลงห้วยมาจนปรุ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นงานสัมมนามหายานของแคว้นชิงหลวนและงานพิธีหลัวเทียนของแคว้นชิ่งซานมาก่อน จึงไม่สนใจการรับลูกศิษย์ของภูเขาลูกหนึ่งมากนัก ส่วนเรื่องที่ว่านักพรตของอารามจินกุ้ยเป็นเทพเซียนตัวจริงหรือตัวปลอม คนทั้งกลุ่มก็ยิ่งไม่เก็บเอามาใส่ใจ

ในแคว้นปกติทั่วไปของแจกันสมบัติทวีป เซียนดินโอสถทองถือว่าเป็นบุคคลที่สูงส่งจนไม่อาจปีนป่ายแล้ว ถึงอย่างไรบุคคลที่เป็นมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนอย่างคนของราชวงศ์ต้าหลี มองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็มีให้เห็นไม่มากนัก

เมื่อกองทัพม้าเหล็กของสกุลซ่งต้าหลีเหยียบย่ำบนทิศเหนือห่างจากสำนักศึกษากวานหูไปไม่ไกล นอกจากสถานศึกษาจะมอบชื่อที่ถูกต้องเหมาะสมให้แล้ว ในความเป็นจริงแล้วตอนนี้เท่ากับต้าหลีควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของหนึ่งทวีปไปแล้ว ยิ่งนานคำกล่าวที่บอกว่าต้าหลีคือราชวงศ์ใหญ่อันดับสิบในใต้หล้าก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

ตอนที่เจอกับคนกลุ่มที่สอง ความตกตะลึงที่วูบผ่านดวงตาของเด็กสาวหน้ากลมไม่เคยหยุดพัก คนหนุ่มชุดขาวที่สะพายหีบไม้ไผ่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดหนึ่งใบ เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่ขี่อยู่บนหลังวัวดินสีเหลือง ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ไม้ไผ่ โฉมสะคราญงามล้ำที่สะพายกระบี่เล่มยาว…และยังมีนักพรตหนุ่มกับมือดาบเคราดก ช่างเป็นกลุ่มนักเดินทางที่ประหลาดจริงๆ หรือว่านี่ก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่ท่านปู่เคยพูดถึง?

ยังดีที่ถึงแม้มองปราดๆ ผู้เฒ่าชุดดำจะไม่เหมือนคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ในฐานะคนเก่าแก่ในยุทธภพก็ยินดีที่จะเคารพกฎเกณฑ์ของยุทธภพ เพียงไม่นานก็ห้ามปรามเด็กสาวที่สอดส่ายสายตามองไปทั่วอย่างไร้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ เขายังผงกศีรษะให้เฉินผิงอัน ถือเป็นการขออภัยแทนเด็กรุ่นหลัง

เฉินผิงอันกุมหมัดส่งยิ้มไปให้ ถือเป็นการเคารพกลับคืน

เดินทางอยู่ในยุทธภพ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการพบปะกันอย่างผิวเผินเช่นนี้ เพียงแต่ว่าคนสองกลุ่มที่เดิมทีควรต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทางกลับได้มาเจอกันอีกครั้งเพราะฝนกระหน่ำที่มาเยือนกะทันหัน

พายุฝนโหมแรงที่หาได้ยากทำให้ดินโคลนบนทางเล็กในภูเขาเหนียวแฉะเดินยาก เดิมทีอากาศหนาวของฤดูใบไม้ผลิก็หนาวเข้ากระดูกอยู่แล้ว เมื่อลมภูเขาพัดผ่าน พายุฝนครั้งนี้จึงยิ่งหนาวเหน็บเยียบเย็นเป็นพิเศษ เผยเฉียนถูกฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบใส่จนมึนงงไปหมด ยามที่เม็ดฝนกระแทกลงบนใบหน้าจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน เพียงไม่นานริมฝีปากก็ซีดเขียว สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นี่ยังเป็นสภาพร่างกายหลังจากที่เผยเฉียนฝึกวรยุทธ์แล้วด้วย หากเป็นก่อนจะฝึกวรยุทธ์ คาดว่าเวลานี้ที่ต้องตากลมตากฝนก็มากพอจะทำให้เผยเฉียนล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้นแล้ว

เฉินผิงอันบอกให้จูเหลี่ยนไปตรวจสอบเส้นทาง ดูว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีสถานที่ให้หลบฝนหรือไม่ ผู้เฒ่าหลังค่อมเรือนกายปราดเปรียวดุจวานรที่ตีลังกาหมุนกระโดดไปมาอยู่ท่ามกลางต้นไม้และก้อนหิน เพียงไม่นานก็ย้อนกลับมา บอกว่าเบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีช่องโพรงหินขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งพักเท้าอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังก่อไฟสร้างความอบอุ่น เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนขึ้นหลัง สวมงอบกันฝน แล้วยังหยิบเอาชุดกันฝนชุดหนึ่งออกมา พยายามให้เผยเฉียนโดนลมและฝนน้อยที่สุด

จางซานเฟิงแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เขาเดินอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดเตือนเสียงดัง “ฝนใหญ่ครั้งนี้ผิดปกติ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองที่วัสดุค่อนข้างจะธรรมดาแผ่นหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่มีระดับขั้นต่ำที่สุดของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เมื่ออยู่ท่ามกลางภูเขาแม่น้ำ วัดร้าง อารามเก่าโทรมหรือสุสานไร้ญาติ เฉินผิงอันจะต้องใช้ยันต์แผ่นนี้เปิดทาง ตรวจสอบระดับความเข้มข้นของปราณชั่วร้ายที่มีอยู่ในพื้นที่แถบนั้น เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบยันต์ สะบัดเบาๆ หนึ่งที กรอกปราณวิญญาณแท้จริงลงไปข้างในแล้วยันต์ก็ติดไฟลุกไหม้ทันที โชคดีที่ความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์บนปลายนิ้วไม่เร็วมาก เทียบกับเมื่อครั้งที่บุกเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองไฉ่อีเพียงลำพังแล้วนับว่าน้อยกว่ามาก เพื่อความไม่ประมาท เฉินผิงอันจึงไม่ได้ดับไฟบนยันต์ในทันที แต่ถือยันต์เปิดทาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องหน้ามีกับดัก

ศึกกลางหุบเขา ไม่เพียงแต่ผูกปมแค้นกับเซียนดินโอสถทอง ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้นเกิดใจละโมบอยากได้ทรัพย์สินของเขา ไม่ระวังตัวไม่ได้

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เฉินผิงอันยังสอบถามวัวดินสีเหลืองตัวนั้นว่าบนภูเขาแถบนี้มีปีศาจใหญ่ที่ทำตัวเป็นราชันแห่งขุนเขาหรือไม่ แม้วัวดินจะยังไม่จำแลงร่างเป็นมนุษย์ แต่กลับพูดภาษาคนได้ มันส่ายหน้ากล่าวว่า “ในช่วงเวลาห้าร้อยปีที่สติปัญญาข้าเปิดกว้าง ไม่พูดถึงช่วงสองร้อยปีล่าสุดที่จำศีลอยู่ใต้ดิน ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแคว้นชิงหลวนมีภูตผีปีศาจอาละวาด แต่เมื่อสามร้อยปีก่อน เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่ภิกษุสอนพระธรรม ดอกกุ้ยตกลงมาดั่งเม็ดฝนในวัดพุทธแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไปสามร้อยลี้ มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ตอนนั้นมีข่าวลือว่าดอกกุ้ยสีทองที่ตกอยู่เต็มพื้นของวัดมาจากต้นกุ้ยที่อยู่บนภูเขาชิงเย่าแห่งนี้”

สวีหย่วนเสียใช้มือประคองงอบ หัวเราะเสียงดัง “วัดพุทธแห่งนั้นข้ากับจางซานเฟิงเคยไปเยือนมาแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่ไปไม่ได้ เพียงแต่ว่านอกจากคำขวัญตัวใหญ่ที่เขียนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว อย่างอื่นก็มองประวัติความเป็นมาอะไรไม่ออกอีก ซากปรักของสถานที่ที่เคยเกิดคดีซับซ้อนทางพุทธศาสนาก็ถูกล้อมปิด ไม่อนุญาตให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าไป พวกเราสองคนเดินเล่นกันเป็นครึ่งๆ วันกลับได้พบภาพเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ข้าต้องเขียนไว้ในบันทึกการเดินทาง ท่ามกลางแสงสนธยามีเณรน้อยสองรูปที่รับผิดชอบขนตู้บริจาค คงเป็นเพราะรู้สึกว่าคนมาทำบุญมีบางตา ไม่มีคนนอกแล้ว เณรน้อยสองรูปจึงเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือไปควานหาเงินในตู้บริจาค คลำอยู่นาน สุดท้ายเณรน้อยที่หยิบเงินเหรียญหนึ่งออกมาได้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง คนทั้งสองแบกตู้บริจาคไว้บนไหล่อีกครั้ง เณรน้อยที่ควักเงินมาได้เดินอยู่ด้านหน้า ข้ากับจางซานเฟิงเห็นแล้วก็หัวเราะขำ ที่แท้พวกเขาต้องขนตู้บริจาคไปไว้ที่ด้านหลัง และยังต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกไกล แน่นอนว่าคนที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องได้เปรียบ คนที่ต้องแบกตู้อยู่ด้านหลังย่อมต้องลำบาก”

สำหรับเรื่องของพระพุทธศาสนา เฉินผิงอันมีความเข้าใจไม่มากนัก ศาสนาพุทธในแจกันสมบัติทวีปไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นทวีปที่มีควันธูปน้อยที่สุดในเก้าทวีปใหญ่ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวต้องไปเยือนวัดซินเซียงซึ่งอยู่ติดกับตรอกจ้วงหยวนเป็นประจำถึงพอจะสัมผัสกับพระธรรมมาบ้าง จึงกล่าวอย่างสงสัยว่า “ไหนบอกว่าสองมือของภิกษุห้ามแตะต้องเงินทองไม่ใช่หรือ?”

จางซานเฟิงคลี่ยิ้ม “ใต้หล้านี้มีกฎเกณฑ์ใดที่ฟ้าผ่าแล้วไม่สั่นคลอนบ้างเล่า”

สวีหย่วนเสียเอ่ยสัพยอก “ไม่เสียแรงที่ไปเยือนวัดวาอารามเหล่านั้น คำพูดนี้พูดได้อย่างมีนัยซะซับซ้อนมากเลย”

น้อยครั้งนักที่วัวดินจะเปิดปากพูด เว้นเสียแต่ว่ามีคนเอ่ยถาม มันถึงจะพูด

คราวนี้จึงเงียบเสียงไป เพียงแต่มันจำได้อย่างชัดเจนว่าวัดโบราณแห่งนั้นสร้างอยู่บนตีนเขาของภูเขาลูกหนึ่ง ตอนนั้นมันที่เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วได้มองวัดแห่งนั้นอยู่ท่ามกลางผืนป่ารกครึ้มบนยอดเขา เพราะไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ควันธูปของโลกมนุษย์มากเกินไป ทั้งกลัวว่าจะรบกวนผู้คนบนโลก ยิ่งกลัวว่าจะทำให้บุคคลที่เป็นดั่งเทพเซียนรังเกียจ มันจึงแค่มองดูภิกษุหนุ่มที่สวมชุดสีขาวหิมะคนหนึ่งอยู่ไกลๆ เขายืนอยู่ใต้ชายคาที่ผูกม้าเหล็ก ยื่นมือออกมา ดอกกุ้ยสีทองก็ร่วงตกลงบนฝ่ามือของเขาเหมือนเม็ดฝน

ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดคุยเล่นกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย ฝีเท้าก็เดินไปอย่างว่องไวราวกับบิน เขาเก็บยันต์ส่องไฟที่เหลืออยู่ครึ่งแผ่นกลับลงไป เพราะพวกเขามาถึงโพรงหินที่จูเหลี่ยนพบแห่งนั้นแล้ว ขนาดค่อนข้างใหญ่คล้ายศาลบรรพชนในหมู่ชาวบ้าน มากพอจะบรรจุคนได้สักสามสิบสี่สิบคน

ตลอดทางที่เดินมานี้ ยันต์ปราณหยางส่องไฟเผาไหม้อย่างเชื่องช้า อีกทั้งเมื่ออยู่ห่างจากเส้นทางขึ้นเขาเส้นนั้นมากเท่าไหร่ ความเร็วในการลุกไหม้ก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น ฝนอึมครึมเยียบเย็นที่มาเยือนกะทันหันครั้งนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเป็นการกระทำของผู้ฝึกลมปราณที่มีต่อการรับลูกศิษย์อย่างเอิกเกริกของอารามจินกุ้ยครั้งนี้

กลุ่มคนที่มาถึงช่องโพรงหินก่อนล้วนเป็นสตรี มีประมาณเจ็ดแปดคน คนที่อายุมากสุดคือหญิงชราผมขาว คนที่อายุน้อยสุดคือเด็กสาวที่อายุแค่ประมาณสิบสามปี เพราะเจอกับฝนห่าใหญ่ ผ้าคลุมหน้าที่เดิมทีใช้อำพรางรูปโฉมจึงกลายมาเป็นภาระ จึงถูกวางไว้ข้างเท้าพร้อมกับงอบและชุดกันฝน เวลานี้พวกนางกำลังนั่งผิงไฟ เห็นพวกกลุ่มของเฉินผิงอัน สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา หลายคนในนั้นขยับเปลี่ยนตำแหน่งเข้าไปใกล้กับกองไฟ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการจะพูดคุยสื่อสารกับพวกเฉินผิงอันให้มากความ

เฉินผิงอันอดหันไปชำเลืองตามองจูเหลี่ยนไม่ได้ ฝ่ายหลังยิ้ม ‘ซื่อ’ ส่งมาให้

สตรีที่มาจากสำนักเดียวกันเหล่านี้น่าจะเข้ามาในโพรงหินตั้งแต่ตอนฝนเริ่มตก จึงสามารถเก็บรวบรวมกิ่งไม้แห้งมาได้ตั้งแต่แรก ตอนนี้นอกโพรงหินลมพัดแรงจนทำให้บ้านปลิวได้ ฝนเทกระหน่ำเช่นนี้ พวกเฉินผิงอันจึงได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆ จางซานเฟิงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ แม้ตบะจะไม่สูง แต่ก็สามารถก่อไฟด้วยวิธีที่เข้าขั้นบางอย่างได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าออกมานอกบ้าน การร่ายเวทคาถาตามใจชอบคือข้อห้ามใหญ่ในการฝึกตน

เฉินผิงอันช่วยตั้งกระโจมหนังวัวให้เผยเฉียน จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าสะอาดในหีบไม้ไผ่ของนางออกมา บอกให้สุยโย่วเปียนช่วยเปลี่ยนให้เผยเฉียน

รอจนเผยเฉียนเดินกระโดดโลดเต้นออกมาจากกระโจมได้ กลุ่มชาวยุทธ์ที่เจอกันก่อนหน้านี้ก็ย้อนกลับมาทางเดิม เข้ามาหลบฝนในช่องโพรงหินด้วยสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างกัน

ฝนครั้งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ในยุทธภพก็ยังต้องก้มหน้าค้อมเอวให้

เฉินผิงอันเห็นผู้เฒ่าจมูกงองุ้มคนนั้นก็เป็นฝ่ายพยักหน้าให้ก่อน ฝ่ายหลังจึงผงกศีรษะกลับ ถือเป็นการทักทายกันแล้ว

ในเมื่อเฉินผิงอันเกรงใจขนาดนี้ พวกจูเหลี่ยนสี่คนจึงขยับเปลี่ยนตำแหน่งเว้นที่ว่างให้อีกฝ่ายเงียบๆ

เด็กสาวหน้ากลมที่มีสภาพเหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางข้ารับใช้เพื่อบดบังสายตาของคนนอกนานแล้ว เพราะถึงอย่างไรฝนก็เปียกซึมเข้าไปในเสื้อผ้า ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของเด็กสาวปรากฎออกมาอย่างชัดเจน

หลังจากคนในยุทธภพเหล่านี้หาที่นั่งกันแล้ว เด็กสาวหน้ากลมก็เริ่มมองประเมินผู้หญิงเหล่านั้น ก่อนจะถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “พวกเจ้าคงจะไม่ใช่โผอี๋ (คำเรียกสตรีที่แต่งงานแล้วหรือภรรยา) ของเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวกระมัง?”

ก่อนหน้านี้เด็กสาวแค่มองประเมินพวกเฉินผิงอันไม่กี่ครั้ง ผู้เฒ่าชุดดำก็ออกปากห้ามปราม แต่ครั้งนี้คำพูดของเด็กสาวแสดงความไม่เคารพจนทบจะใกล้เคียงกับการท้าทาย แต่ผู้เฒ่ากลับยังคงหลับตาทำสมาธิ ทำราวกับไม่ได้ยิน

ทางฝั่งนั้น สตรีแต่งงานแล้วอายุยังน้อยที่ระหว่างคิ้วตาเต็มไปด้วยความคมกริบหันหน้ามาพูดอย่างเดือดดาล “บังอาจ!”

เด็กสาวหน้ากลมไม่กลัวแม้แต่น้อย นางยิ้มตาหยีถามกลับ “แค่ถามนิดๆ หน่อยๆ จะมาบอกว่าข้าบังอาจได้อย่างไร?”

สตรีพวกนี้มาจากเรือนแยนจือชนชั้นสูงในยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเซียวจริงๆ เด็กสาวอายุสิบสามปีที่เยาว์วัยที่สุดคางแหลมดั่งไข่ห่าน ใบหน้างามพิสุทธิ์ นางเบิกตากว้าง มองประเมินคนวัยเดียวกันที่พูดจาโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย คนที่กล้าท้าทายเรือนแยนจือเช่นนี้ ในยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเซียวมีน้อยจนนับนิ้วได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมาจากพรรคใหญ่บางแห่งของแคว้นชิงหลวนหรือแคว้นชิ่งซานสินะ?

เด็กสาวคางแหลมผู้นี้ยื่นนิ้วโป้งออกมาลูบตัวอักษรจารึกบนดาบสั้นที่ทำขึ้นอย่างประณีตบนเอวตามจิตใต้สำนึก ฝักดาบทำมาจากไม้ไผ่สีเหลือง เรียบลื่นแวววาวน่ามอง สลักสองคำไว้ว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’

ศิษย์พี่หญิงสำนักเดียวกับนาง สตรีแต่งงานแล้วอายุยังน้อยที่ตรงเอวห้อยดาบยวนยางหนึ่งคู่ เวลานี้กำด้ามดาบ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง พูดเสียงหนัก “ถ้าอย่างนั้นก็มาลองประมือกัน ดูว่าใครฝีมือลึกล้ำ ใครฝีมือตื้นเขินไหมล่ะ?”

ประมือคือการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคนกับคนในยุทธภพซึ่งค่อนข้างจะสง่างาม เป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างสุภาพ เห็นเลือดได้ยาก เพราะขอแค่ฝ่ายแพ้เลือดตกยางออก ก็ถือว่าฝ่ายชนะได้ชัยชนะมาอย่างไม่สมเกียรติ ไม่ใช่เรื่องที่มีหน้ามีตาสักเท่าไหร่

เด็กสาวหน้ากลมทำหน้าทะเล้นใส่สตรีแต่งงานแล้ว “อาศัยอายุมาก เรียนทักษะการต่อสู้มาหลายสิบปีมารังแกเด็กรุ่นหลัง นับว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงได้อย่างไร?”

สตรีแต่งงานแล้วโมโหไม่น้อย ตอนนี้นางยังอายุไม่ถึงสามสิบ อะไรที่เรียกว่าเรียนทักษะการต่อสู้มาหลายสิบปี?

หญิงชราผมขาวสีหน้าท่าทางสุภาพอ่อนโยนพูดกับสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ข้างกายเบาๆ ว่า “จะโมโหเด็กคนหนึ่งไปทำไม? ฝึกฝนด้านการระงับอารมณ์ไม่เข้าขั้น ความสำเร็จในการเรียนวรยุทธ์ก็คงไม่สูงไปยังไง”

เห็นได้ชัดว่าสตรีแต่งงานแล้วเคารพหญิงชรามาก จึงรีบก้มหน้าลงทันที “ข้าจดจำไว้แล้ว”

เด็กสาวหน้ากลมที่ห่างไปไม่ไกลยิ้มหวาน “ยังคงเป็นหมัวมัวผู้เฒ่าท่านนี้ที่เข้าใจมารยาท”

อันที่จริงนี่ก็ยังเป็น ‘คำพูดน่าฟัง’ ที่ไม่ชวนฟังอยู่ดี

เฉินผิงอันวางตัวอยู่นอกเรื่องราว รู้สึกเพียงว่าเด็กสาวหน้ากลมมีความสามารถในการใช้มีดทิ่มแทงใจคนอื่นของไม่น้อยเลยจริงๆ

หญิงชราไม่ถือสาการล่วงเกินประเภทนี้ นางย้ายสายตาไปมองผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยว “ใช่หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋แห่งพรรคต้าเจ๋อหรือไม่?”

ผู้เฒ่าชุดดำลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ออกจากสำนักมาเกือบสามสิบปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนรู้จักชื่อของข้าด้วย?”

หญิงชรายิ้มบางๆ “ต่อให้ผ่านไปอีกสามสิบปี ในยุทธภพก็ยังคงจดจำชื่อเสียงและบารมีของหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ได้อยู่ดี”

หลังจากที่หญิงชราพูดตัวตนของอีกฝ่ายออกมา เหล่าสตรีของเรือนแยนจือก็หน้าเปลี่ยนสีกันไปเล็กน้อย

มารเฒ่าจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อมีชื่อเสียงเรื่องความโหดร้ายเลื่องลือไปทั่ว เมื่อสามสิบปีก่อนชอบนั่งรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งเดินทางท่องไปทั่วทิศ ห้อตะบึงผ่านยุทธภพของหลายแคว้น เปรอะเปื้อนเลือดนับไม่ถ้วน คนของฝ่ายธรรมะที่ตายด้วยน้ำมือของคนผู้นี้หากไม่มีร้อยคนก็แปดสิบคน จู๋เฟิ่งเซียนยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นลูกศิษย์อีกแปดคน มีฉายาว่ามัจจุราชแปดตำหนัก ชื่อเสียงบารมีเลื่องระบือไปแปดทิศทั่วแคว้นชิงหลวน เพียงแต่ว่าเมื่อสามสิบปีก่อนพรรคต้าเจ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัส จู๋เฟิ่งเซียนจึงเริ่มปิดด่าน ลูกศิษย์แปดคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนในพรรคที่เดิมทีมีห้าหกพันคนก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปเกินครึ่ง นับแต่นั้นมาเรื่องราวของอดีตผู้นำแห่งยุทธภพที่เคยออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้าในแคว้นชิงหลวนจึงเงียบหายไปเป็นระยะเวลาสามสิบกว่าปี

—–