บทที่ 502 ใจอ่อน

บัลลังก์พญาหงส์

ข่าวที่ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้วนั้นย่อมต้องทำให้ราชสำนักที่ยุ่งวุ่นวายกลับมาสงบลงอย่างรวดเร็ว บรรดาขุนนางใหญ่ที่กระสับกระส่ายลังเลไม่รู้ว่าจะเอียงไปทางไหนดีก็ต้องลบความคิดเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เพราะว่าเรื่องนี้ฎีกาฟ้องร้ององค์รัชทายาที่ส่งไปนั้น และบรรดาขุนนางที่เสนอปลดองค์รัชทายาทก็มากขึ้นกว่าที่ถาวจวินหลันและหลี่เย่คาดการณ์เอาไว้กว่าครึ่งหนึ่ง

 

 

เพียงไม่นาน อำนาจขององค์รัชทายาทภายในราชสำนักนั้นก็ลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือ องค์รัชทายาทที่แต่เดิมหลีกภัยหลบอยู่อย่างสบาย ในตอนนี้กลับต้องใช้ข้ออ้างรักษาตัวไม่กล้าออกมา มิเช่นนั้นแล้วคงจะต้องตายไปเพราะน้ำลายคนมิใช่หรือ?

 

 

แอบมีความสัมพันธ์กับสตรีขอองบิดา แล้วยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขอีกด้วย เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในราชสำนัก ย่อมทำให้บัณฑิตและบรรดาขุนนางที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์รับไม่ได้ แม้แต่คนที่แต่เดิมเคยสนับสนุนองค์รัชทายาท คราวนี้ก็เปลี่ยนท่าทีไป

 

 

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็แทบไม่มีคนพูดออกหน้าแทนองค์รัชทายาท

 

 

ถ้าฮ่องเต้ยังคงไม่มาว่าราชการ เกรงว่าเรื่องปลดองค์รัชทายาทคงจะได้เริ่มดำเนินการไปนานแล้ว

 

 

แน่นอนว่าลับหลังเรื่องนี้หลี่เย่เองก็จะต้องผลักดันด้วยเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นไฉนเลยจะครึกครื้นได้ถึงขนาดนี้

 

 

ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาวันที่สาม ถาวซินหลันก็ส่งข่าวออกมา ว่าฮองเฮาประชวร

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาจะต้องโมโหจนล้มป่วยไปอย่างแน่นอน หรือไม่ก็จงใจแสร้งป่วย แต่นางเอนเอียงไปที่เหตุผลอย่างหลังมากกว่า อย่างที่คาดคิดเอาไว้ ข่าวที่ฮองเฮาประชวรก็ถูกแพร่กระจายออกมา ภายในวังหลวงก็มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น

 

 

นางกำนัลที่แอบมีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทถูกสอบสวนจนยอมบอกว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกขององค์รัชทายาท และนางเองก็ตั้งใจยั่วยวนองค์รัชทายาท ใครจะรู้ว่าถูกโยกย้ายไปข้างกายฮ่องเต้กะทันหัน เพราะไม่กล้าพูดออกมา ถึงได้ปิดบังมาโดยตลอด ในตอนนี้เรื่องแดงขึ้น แต่เดิมนึกว่าองค์รัชทายาทจะช่วยนางได้ ถึงได้พูดกำกวมทำให้คนนึกว่าเด็กในท้องของนางเป็นลูกขององค์รัชทายาท

 

 

เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ เทียบกับโทษที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้แล้วยังเข้าไปยุ่ง การอธิบายเช่นนี้ทำให้องค์รัชทายาทตกอยู่ในจุดที่น่าสงสาร อย่างน้อยเมื่อเป็นเช่นนี้เหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจโทษองค์รัชทายาทได้ กลายเป็นว่าองค์รัชทายาทพลอยเสียหายไปด้วยเพราะเรื่องนี้

 

 

ถาวจวินหลันไม่เชื่อเรื่องนี้

 

 

ในเมื่อเป็นผู้หญิงที่ตนเองรับเอาไว้ องค์รัชทายาทก็สามารถพูดกับฮ่องเต้ได้ รับมาไว้ในวังของตนเอง ในเมื่อถูกโยกไปข้างกายฮ่องเต้ แต่ขอเพียงแค่พูดทันเวลาก็ไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือ? แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจ แต่อย่างมากก็รู้สึกว่าองค์รัชทายาทเสียสติ แต่ไม่ถึงขั้นที่วุ่นวายเพียงนี้

 

 

สำหรับเด็กคนนั้นที่ไม่ใช่ลูกขององค์รัชทายาท ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกว่าทำได้แค่ยิ้มรับปล่อยผ่านไป ไม่ใช่ขององค์รัชทายาท หรือว่าจะเป็นของฮ่องเต้เล่า? ภายในวังหลวงจะหาผู้ชายสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ขันทีที่ยังพอถือว่าเป็นบุรุษได้ แต่หากขันทีทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ นั่นก็กลายเป็นตำนานไปแล้ว

 

 

แม้ว่าจะยังมีทหารองค์รักษ์เดินตรวจยาม แต่เมื่อทหารองครักษ์เข้าเวรนั้นล้วนเข้าเป็นกลุ่มพร้อมกัน ไม่มีเหตุผลอะไรและเวลาส่วนตัวที่จะเดินไปไหนมาไหนในวังหลวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลอบมีความสัมพันธ์กับนางกำนัลที่ปรนนิบัติเบื้องหน้าฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำไป

 

 

แต่ในใจของถาวจวินหลันรู้ดี ไม่ว่าคำอธิบายนี้จะไม่น่าเชื่อเพียงใด แต่ก็ยังมีคนเชื่ออยู่ดี ดังนั้นนางจึงอดระบายกับหลี่เย่ “ฮองเฮาทำเรื่องเช่นนี้จนชิน ความสามารถในการพลิกเรื่องดำให้เป็นขาวนั้นเก่งยิ่งนัก”

 

 

หลี่เย่หัวเราะออกมา “ก็แค่คำพูดแก้ตัว หลอกหลวงคนโง่ก็เท่านั้น แต่ไม่แน่ว่าภายในวังหลวงจะต้องสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดเป็นแน่”

 

 

“เด็กที่อยู่ในท้องของนางกำนัลคนนั้นเป็นขององค์รัชทายาทจริงใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันถามขึ้นมาอีก อย่างไรแล้วก็ยังสงสัยอยู่

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “มีความเป็นไปได้แค่องค์รัชทายาทแล้ว” นอกจากองค์รัชทายาท ภายในวังหลวงยังมีใครกล้าถึงเพียงนั้น? ลอบมีความสัมพันธ์ยังน้อยเกินไป แล้วยังมีลูกออกมาอีกต่างหาก

 

 

ถาวจวินหลันกะพริบตา รู้สึกรำพึงรำพัน “องค์รัชทายาทอยากได้ผู้หญิงแบบไหนไม่เอา แต่กลับต้องหลบๆ ซ่อนๆ ช่างหาเรื่องให้ตนเองยิ่งนัก” อี๋เฟยก็เช่นเดียวกัน นางกำนัลคนนั้นก็เช่นเดียวกัน

 

 

“นางกำนัลคนนั้น ที่จริงแล้วก็แอบคล้ายอี๋เฟยอยู่บ้าง” หลี่เย่ยิ้มเย็นออกมา “ช่วงนี้อี๋เฟยเก็บตัว ไม่กล้าออกมาพบองค์รัชทายาทอีก องค์รัชทายาทย่อมแปรความสนใจอยู่แล้ว เจ้าไม่รู้อะไร บ่าวรับใช้ที่หยวนซื่อหามาล้วนมีส่วนที่คล้ายกับอี๋เฟยอยู่บ้าง” สุดท้ายแล้วก็เคยปรนนิบัติรับใช้อี๋เฟยมาก่อน หยวนฉงหวาไม่เพียงแค่เรียนจนตัวเองเหมือน แล้วยังหาคนที่เหมือนมาอีกด้วย

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้องค์รัชทายาทจะไม่ตกหลุม ไม่หลงใหลได้อย่างไร?

 

 

ถาวจวินหลันอ้าปากค้างตกใจ กลับทำได้แค่เพียงส่งเสียงร้องออกมา แสดงความตกใจของตนเองออกมา องค์รัชทายาทนั้นหลงใหลอี๋เฟยมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ลอบมีความสัมพันธ์กับอี๋เฟยยังไม่พอ แล้วยังลอบมีความสัมพันธ์กับคนที่คล้ายอี๋เฟยอีกด้วยอย่างนั้นหรือ?

 

 

นี่…ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทหลงเสน่ห์หรือควรจะพูดว่าองค์รัชทายาทเลอะเทอะกันแน่

 

 

หลี่เย่แกะเม็ดเกาลัดส่งให้ถาวจวินหลัน ยิ้มและพูดว่า “คิดว่าฮองเฮาอยากจะเก็บเด็กคนนั้นเอาไว้ แต่คนที่ต้องการปลดองค์รัชทาทายาทนั้นมีเยอะเกินไป นางทำได้เพียงเท่านี้ พูดขึ้นมาแล้วคราวนี้เกรงว่าฮองเฮาคงจะเจ็บปวดใจน่าดู” องค์รัชทายาทไม่มีบุตรชาย บุตรชายเพียงคนเดียวก็ยังเกิดจากการลอบมีความสัมพันธ์

 

 

ฮองเฮาต้องไม่ชอบเป็นแน่ ดังนั้นจะต้องคิดหาวิธีให้องค์รัชทายาทมีสายเลือดสืบทอดอื่นอีก

 

 

“หากฮ่องเต้เชื่อจริงว่าเด็กคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท เกรงว่าจะต้องสืบให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นผู้ชายที่เข้าออกภายในวังหลวงคงจะต้องถูกสงสัย อีกทั้งไม่รู้ว่าจะสืบพบเรื่องสกปรกอีกมากมายเพียงใด” ถาวจวินหลันเคยเป็นนางกำนัลมาก่อน ย่อมต้องรู้เรื่องราวน่าไม่อายเหล่านั้นภายในวังหลวง ถ้าหากว่าสืบอย่างชัดเจน เกรงว่าคนบริสุทธิ์คงเหลือไม่กี่คน

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วพลางพูดความคาดเดาในใจของตนเองออกมา “ท่านว่าหากตรวจพบเรื่องของอี๋เฟยจะเป็นเช่นไร?”

 

 

หลี่เย่ขมวดคิ้ว สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด ร่างกายของเสด็จพ่อรับความทรมานไม่ไหว ถ้าหากเรื่องของอี๋เฟยและองค์รัชทายาทถูกเปิดเผยออกมา เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องเป็นแน่”

 

 

“หากเปิดเผยเรื่องที่อี๋เฟยลอบมีความสัมพันธ์จนคลอดออกมาเล่า?” ถาวจวินหลันลังเล พลางแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ “เด็กคนนั้นไม่ใช่เลือดเนื้อของฮ่องเต้ หยดเลือดทดสอบก็ตรวจดูได้ ถึงเวลานั้นไม่จำเป็นต้องลากองค์รัชทายาทเข้ามาเกี่ยวข้อง ขอเพียงแค่อี๋เฟย…”

 

 

หลี่เย่ยังคงส่ายหน้า “ช่างเถิด ครั้งนี้เสด็จพ่อกริ้วมาก อีกอย่างเรื่องอี๋เฟย ถ้าไม่ลากองค์รัชทายาทเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีประโยชน์อะไร รออีกสักหน่อยเถิด”

 

 

ในเมื่อหลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่ปล่อยไป แต่เดิมนางคิดว่า ถ้าหากเรื่องของอี๋เฟยถูกเปิดเผยออกมา ถึงเวลานั้นความผิดฐานปิดบังของฮองเฮาก็จะต้องทำให้ฮ่องเต้รังเกียจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปลดฮองเฮา พูดแค่การที่ฮ่องเต้ยึดอำนาจทั้งหมดของฮองเฮาออกมาก็พอแล้ว พูดตามตรงเสาหลักที่ใหญ่ที่สุดขององค์รัชทายาทไม่ใช่ตำแหน่งรัชทายาท และไม่ใช่ตระกูลหวัง แต่เป็นฮองเฮา

 

 

แน่นอนว่าในใจของนางนั้นเข้าใจว่าทำไมหลี่เย่ถึงได้ต่อต้านเรื่องนี้ถึงขนาดนี้ อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นพ่อแท้ๆ ของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ มีความโกรธความแค้น แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกในสายเลือดนั้นก็ไม่อาจตัดขาดได้ เขาทำใจไม่ลง แม้ว่าเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว แต่เขาก็ไม่ยินยอมซ้ำเติมให้มากขึ้นตอนนี้

 

 

หลี่เย่อาจไม่ได้ถือเป็นคนที่มีจิตใจดีอะไร แต่เรื่องนี้ก็ยังดีกว่าองค์รัชทายาทกว่าพันเท่าหมื่นเท่า ดังนั้นหลี่เย่จึงได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ ได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้องค์ก่อน นั่นถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

 

 

อย่างน้อยถาวจวินหลันก็คิดเช่นนั้น

 

 

ตอนที่พูดอยู่นั้นก็จัดการกินเกาลัดคั่วจนหมด ถาวจวินหลันยังคงรู้สึกอยากกินอีก แต่หลี่เย่กลับไม่อนุญาตให้นางใส่ลงไปในเตาผิงเพิ่มแล้ว พลางส่งเสียงเรียกให้บ่าวรับใช้ยกเม็ดเกาลัดดิบที่เหลือออกไป พูดว่า “กินอีกก็จะเป็นร้อนในแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกินใหม่เถิด”

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่ยอมตามน้ำ พลางหัวเราะตนเอง “มิน่าล่ะ หงหลัวถึงได้ให้คนเตรียมไว้แค่จานเล็ก คงเพราะรู้ว่าข้าห้ามปากตนเองไม่ได้ ซวนเอ๋อร์และหมิงจูนั้นอยากอาหาร คงเป็นเพราะตามข้ามา”

 

 

“อย่าให้ซวนเอ๋ฮร์กินเยอะเกินไป สิ่งนี่ย่อยยาก แล้วยังทำให้เป็นร้อนในได้ง่าย” หลี่เย่อมยิ้มพลางพูดออกมา มองถาวจวินหลันด้วยสายตาแฝงไว้ด้วยความรักใคร่ พลางกำชับเช่นนี้อย่างเอาจริงเอาจัง

 

 

ถาวจวินหลันรับคำ พลางถอนหายใจออกมา “ซวนเอ๋อร์ดื้อเกินไป อากาศหนาวขนาดนี้ยังจะอยากออกไปเล่นข้างนอก อยู่ในห้องเพียงแค่ครึ่งเดียวก็ไม่ยอมอยู่ แม่นมแทบจะดูแลไม่ไหวแล้วเพคะ สุดท้ายแล้วก็เคยตัวเกินไป”

 

 

จากที่ไทเฮาดูแล้วนั้นในเมื่อเป็นลูกหลานของตระกูลสวรรค์ ย่อมต้องเกิดมาพร้อมกับเกียรติยศ ย่อมต้องไม่เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป ซวนเอ๋อร์ขอเพียงแค่ไม่ดื้อจนเกินไป ไทเฮาก็ไม่ให้คนไปคอยห้ามเอาไว้ จึงทำให้มีนิสัยเช่นนี้มาถึงตอนนี้

 

 

หลี่เย่หัวเราะพลางส่ายหัว “ซวนเอ๋อร์ยังเด็ก ช้าๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง แต่ก็ถูกแล้วที่ห้ามเขามากเกินไป รอจนเขาเป็นหวัด ล้มป่วยสักครั้งก็จะรู้เองว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อีกอย่างในตอนนี้ข้าเองก็คิดอยู่ว่าสมควรหาคู่หูให้เขาแล้ว มีเพื่อนเล่น จะได้เริ่มสั่งสมความรู้ใจกันตั้งแต่เด็ก”

 

 

“ซวนเอ๋อร์เพิ่งจะอายุสาบขวบกว่า ต้องหาเด็กอายุเท่าไรถึงจะเหมาะสมเพคะ?” ถาวจวินหลันรู้สึกลังเล “เด็กเกินไปก็กลัวว่าคงดูแลตนเองไม่ได้ โตเกินไปก็เกรงว่าจะเล่นด้วยกันไม่ได้”

 

 

“เดี๋ยวข้าจะเข้าไปคุยกับคนดูแลจวนสักครั้ง มีเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ ตระกูลโปร่งใสให้เลือกมาสองคน” หลี่เย่ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ปีนี้เกิดมหันตภัย น่าจะมีเด็กที่โดนขายจำนวนมาก ภายในวังหลวงเองก็ซื้อมาเยอะเหมือนกัน”

 

 

เมื่อพูดเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ผู้ลี้ภัยที่กลับไปยังบ้านเดิมเหล่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้มีสถานการณ์เช่นใดบ้าง”

 

 

“เรื่องนี้หลายวันก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็เคยพูดขึ้นว่า คิดว่าคงอยากส่งคนให้ไปดูทางนั้น” จู่ๆ หลี่เย่ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงยกขึ้นมาพูด “ไม่แน่ว่าครั้งนี้จะส่งข้าและเจ้าเจ็ดไป”

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วในทันใด “ทำไมทุกครั้งที่เป็นเรื่องเช่นนี้จะต้องตกมาถึงท่านทุกครั้งเล่า? ข้อศอกของท่านยังไม่ทันหายเลยนะเพคะ” ตอนที่นางมองข้อศอกของหลี่เย่ ก็เห็นว่าที่จริงดีขึ้นมามากแล้ว แต่พอเห็นรอยช้ำเขียวขนาดใหญ่ นางก็ยังคงคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้นอยู่ดี

 

 

คิดไปคิดมาถาวจวินหลันก็หัวเราะออกมาในทันใด เบนหน้าถามหลี่เย่ “เรื่องลำบากเช่นนี้ ไม่สู้ว่าให้องค์รัชทายาทไปจะดีกว่า ถือว่าเป็นการกู้ภาพลักษณ์ของตนเองกลับมาด้วย”

 

 

หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างตกใจ ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมา “เป็นเช่นนั้นจริง เรื่องลำบากเช่นนี้ให้องค์รัชทายาทไปจะดีกว่า” องค์รัชทายาทและขุนนางทางนั้นแต่เดิมก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไปคราวนี้ไม่รู้ว่าการทุจริตเรื่องมหันตภัย เอาของกลางเข้าเป็นของตนเองนั้น องค์รัชทายาทจะร่วมกับคนเลวกระทำชั่วหรือว่าทำผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่เห็นแก่ญาติมิตรเล่า?

 

 

แต่ไม่ว่าเป็นเช่นไร เขาก็มีวิธีที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้