หืม เหมือนจะเป็นเจ้าโง่อีกตัว ติดกับง่ายมากเปลือกตาของหวังเป่าเล่อกระตุก เขาลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแววเย็นเยียบ ริมฝีปากผุดยิ้มเยือกเย็น
ชายหนุ่มมีวิธีมากมายในการจัดการกับสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้า อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักหลอมอาวุธเวท การหลอมอาวุธเวทจำเป็นต้องใช้ความตั้งมั่นและความแข็งแกร่งทางจิตใจ แม้หวังเป่าเล่อจะยังไม่อาจใช้ผลต้นเฟิงซิ่นจากกระบี่กระบี่สำริดเขียวโบราณและกระบวนเวทต่างๆ ในการต่อสู้ได้เต็มที่ แต่เขาก็สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและดวงวิญญาณเมื่อพักจากการต่อสู้ได้
เขาไม่ได้ทำเช่นนี้ในตอนแรกและมัวสนใจแต่การฟื้นฟูสภาพร่างกาย เพราะต้องการจะทดสอบดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในวิชาดวงตาปีศาจ!
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาตรวจสอบก่อนหน้านี้เพราะมัวง่วนอยู่กับการต่อสู้และการหาทางหลบหนี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาละเลยไม่สนใจ ชายหนุ่มคอยจับตาดูมันอยู่ตลอด
ทำให้เขาเลือกฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างสุดท้ายและทำเป็นว่าจะพักผ่อน ชายหนุ่มอยากรู้ว่าดวงจิตจะแสดงท่าทีหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ เมื่อสัมผัสได้ว่ามันตื่นขึ้น หวังเป่าเล่อก็เรียกผลต้นเฟิงซิ่นออกมา จากนั้นก็กินโอสถเข้าไปชุดใหญ่ทันที มืออีกข้างสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และใช้เคล็ดที่ได้รู้มาอีกเล็กน้อยเพื่อช่วยคลายความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ของจิตใจและปรับสภาพให้จิตใจสมดุลแข็งแกร่งเหมือนเป็นป้อมปราการ
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววสงสัยใคร่รู้ เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณลึกลงไปภายในเพื่อค้นหาดวงจิตของวิชาดวงตาปีศาจที่กำลังปลดปล่อยพลังอย่างบ้าคลั่ง
รูปแบบการปรากฏตัวของมันบ่งบอกว่ามันมีชีวิตอยู่ในร่างกายข้า ตอนสู้กับหัตถ์ยักษ์มันไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แสดงว่ามันมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ถึงรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่มันเข้าแทรกแซง มันก็เสี่ยงจะโดนทำลายได้เหมือนกัน
“แต่กลับติดกับการล่อหลอกง่ายๆ รึ เหมือนว่ามันจะไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น หรือว่ามันจะอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ กัน” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาฉายแววเฉียบคม ทันใดนั้น ตัวตนคล้ายหมอกสีดำก็เริ่มเข้าบดบังแววเฉียบคมในดวงตา เปลี่ยนสีตาของชายหนุ่มให้กลายเป็นสีดำสนิท
หรือว่าจะทำได้แค่กลบทับสติข้าด้วยความรู้สึกกระหายเลือดและความโหยหิวความตายระหว่างที่ข้าสู้รบชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาใคร่ครวญถึงความกระสับกระส่ายที่ปะทุขึ้นภายในและความคิดอยากสังหารที่ผุดขึ้นในหัว มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนคนขาดยา หากไม่ยอมทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนก็จะโดนมันกลืนกินแทน
ทำได้แค่นี้เองหรือ เสียเวลาชะมัดหวังเป่าเล่อส่ายหน้า เมฆหมอกสีดำบดบังดวงตา ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนอมนุษย์ไม่มีผิด ถึงกระนั้นในหัวกลับมีสติแจ่มชัด ร่างกายและจิตใจของเขาเหมือนจะแยกออกจากกัน หวังเป่าเล่อคอยเฝ้าดูอย่างเรียบเฉย ปราศจากอารมณ์ใดๆ
เขาเฝ้าดูอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าดวงจิตที่เกิดจากวิชาดวงตาปีศาจไม่มีกลยุทธ์อื่นใดอีกจึงหมดความสนใจไป ชายหนุ่มกำลังจะสั่งให้มันเงียบ ทันใดนั้นดวงจิตก็ดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับการยัดจิตสังหารใส่หัวหวังเป่าเล่อเพียงอย่างเดียว ก็เริ่มเคลื่อนตัวไปหาวิญญาณจุติ
หวังเป่าเล่อแปลกใจ มือที่สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นหยุดชะงัก ตัดสินใจเฝ้าดูต่อ
ดวงจิตดังกล่าวเป็นเหมือนเกลียวเชือกสีดำที่รวมตัวขึ้นในร่าง ไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของร่างกำลังจับตาดูตนอยู่ มันเลื้อยไปข้างหน้าราวกับเป็นงู มุ่งหน้าไปหาวิญญาณจุติ
เล็งวิญญาณจุติอย่างนั้นหรือ ไม่งั้นพอเข้าไปใกล้วิญญาณจุติได้ ก็อาจจะเข้าครอบงำหรือกลืนกินดวงวิญญาณของข้าที่สถิตอยู่ในวิญญาณจุติก็เป็นได้หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเมื่อพบว่าดวงจิตกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด เมื่อผู้ฝึกตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ดวงวิญญาณของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในวิญญาณจุติ เมื่อบรรลุขึ้นไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ ดวงจิตเทพก็จะกลายเป็นดวงวิญญาณเทพ!
ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีความสำคัญกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมหาศาลทั้งยังต้องการการปกป้องอย่างดี ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบเมื่อศึกษาวิญญาณจุติของตัวเอง ภายในนั้นมีทั้งฝักกระบี่และเปลวไฟสีดำอยู่ เปลวไฟสีดำก่อกำเนิดขึ้นมาตอนที่เขากลายเป็นบุตรแห่งความมืด และเป็นหลักฐานที่แสดงว่าเขามาจากสำนักแห่งความมืด และสิ่งที่อยู่ในเปลวไฟสีดำก็คือดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขานั่นเอง
*ต้องปลอดภัยไว้ก่อน…*ชายหนุ่มใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดปลดปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเล็กน้อยผ่านเปลวไฟสีดำที่อยู่ในวิญญาณจุติ ตั้งใจจะทดสอบดูว่าดวงจิตนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
เขาปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเพียงน้อยนิด แต่ทันใดที่พลังพวยพุ่งออกมา เกลียวเชือกสีดำของดวงจิตที่กำลังพุ่งไปหาวิญญาณจุติก็สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับว่าได้พบตัวตนอันน่าสะพรึงกลัว มันสั่นเทิ้ม และเกือบจะสลายหายไป
“หืม” หวังเป่าเล่อตกใจ รีบลดทอนพลังแห่งความมืดลงไปเหลือเพียงหนึ่งส่วนสิบเพื่อช่วยให้ดวงจิตวิชาดวงตาปีศาจมีชีวิตรอด และให้โอกาสมันได้ปะทะกับพลังแห่งความมืดดู
ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นดวงจิตเข้าปะทะกับพลังแห่งความมืด เขาเฝ้าดูด้วยความสงสัย ก่อนจะเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ ขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มดุเดือด ดวงจิตต้องใช้พลังสุดความสามารถในการต่อกรกับพลังแห่งความมืด พอตระหนักได้ถึงความดื้อดึงของเจ้าของร่าง มันก็ชะลอการเข้าไปใกล้วิญญาณจุติ รีบถอยไปซ่อน นอกจากนี้ยังลบจิตสังหารไปอีกด้วย
“สุดยอดไปเลย!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับว่าตนได้กระทำเกินกว่าเหตุ
เขาปลอบใจตัวเองพร้อมกับพูดพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง “เหมือนว่ามันจะมีจิตอันแรงกล้า เป็นความบ้าคลั่งบางอย่าง ราวกับว่ามันเคยเป็นผู้ปกครองฟ้าดินแห่งนี้ มันมีเชาวน์ปัญญาประมาณหนึ่งและมีลักษณะเหมือนเชื้อไวรัสหรือไม่ก็การครอบงำอะไรสักอย่างที่มีเขียนอยู่ในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาล!”
ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้เห็นอย่างหนักอยู่เป็นนาน มันคือตัวแทนของปีศาจ หวังเป่าเล่อคิดว่าคำนี้ช่างเหมาะสมกับมันยิ่งนัก
*ช่างเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว มันสามารถต่อกรกับพลังแห่งความมืดที่ลดทอนพลังลงไปสิบเท่าได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!*หวังเป่าเล่อลูบคาง จ้องมองไปยังวิญญาณจุติในร่าง พยายามคิดว่าถ้าตนเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวตนนี้ หากจะเข้าครอบงำดวงวิญญาณของตน มันจะยากเย็นสักเพียงใด
ถ้าข้าเป็นปีศาจ ข้าจะต้องป้องกันตัวเองจากพลังแห่งศาสตร์มืด เริ่มจากลองต้านทานพลังหนึ่งส่วนพัน จากนั้นก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนสามารถต้านพลังแห่งศาสตร์มืดเต็มขั้นได้ เมื่อทำได้อย่างนั้นแล้วก็จะสามารถเข้าไปใกล้วิญญาณจุติได้…ข้าก็จะได้เห็นวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งแตกต่างจากวิญญาณจุติอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง มาถึงตรงนี้ ข้าจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และลองเข้าแทรกแซงวิญญาณจุติดวงดาราซ้ำๆ หากโชคไม่ดี ข้าอาจบังเอิญต้องเผชิญหน้ากับฝักกระบี่ประหลาด และต้องจบชีวิตลง…
แต่ถ้าโชคเข้าข้าง ข้าก็จะหลบฝักกระบี่และเข้าแทรกแซงวิญญาณจุติได้ จากนั้นข้าก็จะสามารถปล่อยตัวตามสบาย เตรียมลิ้มรสอาหารชั้นยอด พอข้ากำลังจะเข้าครอบงำดวงวิญญาณ ข้าก็จะพบเปลวไฟสีดำ พลังวิญญาณที่แผ่พุ่งออกมาคือพลังเดียวกับที่พบตอนอยู่ด้านนอกวิญญาณจุติ!
จากนั้น…ข้าก็ต้องกัดฟันอดทนต่อสู้กับเปลวไฟสีดำ พอข้าได้เจอดวงวิญญาณของเจ้าของร่าง ข้าก็จะพบว่าดวงวิญญาณนี้มีคุณสมบัติพิเศษเป็นบุตรแห่งความมืด มีพลังเหนือชั้นกว่าเปลวไฟสีดำหลายเท่า…
ข้าจะต้องพยายามอย่างหนัก ถ้าโชคเข้าข้าง ข้าก็จะเอาชนะบุตรแห่งความมืดได้ จากนั้นพอข้าคิดว่าสามารถเข้าครอบงำดวงวิญญาณของเจ้าของร่างได้แล้ว…ข้าก็จะเผชิญกับ สวรรค์ เมล็ดดูดกลืนที่แอบเฝ้าดูอยู่ รอให้ถึงตาของมันอย่างหิวกระหายหวังเป่าเล่อกระแอมกระไอขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาคิดว่าตนควรจะเลิกทำตัวเป็นปีศาจได้แล้ว และกลับมาใคร่ครวญถึงต้นกำเนิดของตัวตนนี้
มีบางอย่างแปลกๆ ข้าไม่ได้นึกคลางแคลงใจพลังของวิชาดวงตาปีศาจ วิชานี้เป็นเคล็ดเวทที่สุดแสนจะอันตราย แต่ก็น่าแปลกที่ดวงจิตปีศาจนี้กลับไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิดชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้สองประการ ข้อแรกคือเคล็ดเวทและดวงจิตนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วคือตัวตนที่แยกจากกัน ข้อที่สองคือตัวตนของเขานั้นชั่วร้ายและวิปริตกว่าวิชาดวงตาปีศาจหลายเท่านัก…
*ข้อที่สองคือเรื่องจริงแท้แน่นอน!*หวังเป่าเล่อแตะจมูกเบาๆ จากนั้นก็ขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจดูปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจไม่ทำลายมันในทันที ความคิดพิเรนทร์ผุดขึ้นในหัว
ข้าควร…เลี้ยงอสูรไว้เป็นสมุนอีกตัวดีไหมนะชายหนุ่มนึกลังเลใจ ก่อนจะตระหนักขึ้นได้ว่าตนลืมอะไรบางอย่างไป
“ข้าลืมอะไรไปนะ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะนึกสงสัย ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันใด
“เจ้าลา!” ชายหนุ่มตบหน้าผากตนเอง รีบค้นกำไลคลังเวท เขาพบเจ้าลาที่ตนเองลืมไปเสียสนิท มันตัวผอมแห้งจนติดกระดูก แทบจะไม่หายใจแล้ว
เจ้าลาเตะขาทั้งสี่ข้างอย่างไร้สติหลังจากถูกพาตัวออกมาจากกำไลคลังเวท มันหิวหนักจนถึงขั้นที่ว่าแค่หายใจก็ถือเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว มันมึนงงอยู่สักพัก จากนั้นน้ำตาก็ไหลเป็นสายธารจากดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่นที่แฝงไปด้วยความทุกข์ระทมเกินจะทนไหว…
“ลูกข้า…”
……………………………….