บทที่ 469 ผู้ที่อยู่หน้าประตู

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 469 ผู้ที่อยู่หน้าประตู

ในห้องเงียบสงบ

ควันสีขาวม้วนตัวขึ้นมาจากถ้วยน้ำชา

คุณชายเหลียนซานยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอยู่หลายอึก ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความหดหู่สิ้นหวัง

จูปี้ฉีนั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะน้ำชา

ด้านตรงข้ามชายชราในขณะนี้ เป็นบุรุษวัยกลางคนที่สวมใส่มงกุฎผู้หนึ่ง

แล้วก็ยังมีชายฉกรรจ์อีกหนึ่งคนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ชายคนนี้สวมใส่ชุดเกราะของหน่วยนักรบมังกรดำ เหงื่อเม็ดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก ใบหน้าที่ขาวซีดกำลังแสดงออกถึงความหวาดกลัวสุดขีด

“หมายความว่าทั้งซูเต๋อแล้วก็ซูฉือที่เป็นหัวหน้าหน่วยนักรบมังกรดำของพวกเรา พร้อมด้วยนายทหารฝีมือดีอีกนับร้อยชีวิต ต่างก็ถูกฆ่าตายอยู่บนภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งอย่างนั้นหรือ…ท่านช่วยบอกข้าทีว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวหรืออย่างไร?”

คุณชายเหลียนซานมองนายทหารจากหน่วยรบมังกรดำที่ยืนอยู่ไกลสุดจากโต๊ะน้ำชา พูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “กำลังเสริมของพวกเรารีบรุดไปที่นั่นในเวลาก้านธูปเดียว หลินเป่ยเฉินเพียงลำพังใช้เวลาเท่านั้น ก็สามารถฆ่าคนของเราได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?”

“กราบเรียนคุณชาย พวกข้าน้อยได้รับทราบข่าวมาเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ”

นายทหารหนุ่มผู้มีนามว่าซูเอ้อร์กัดฟันกรอด

“หลินเป่ยเฉินลงมือด้วยตัวเพียงคนเดียวเท่านั้นขอรับ”

คุณชายเหลียนซานว่าต่อ “แต่มันเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วงมาได้ไม่นาน ร่างกายไม่น่าฟื้นฟูพลังลมปราณขึ้นมาได้มากมายขนาดนั้น ด้วยความสามารถของหลินเป่ยเฉินเพียงตัวคนเดียว คงไม่สามารถสังหารนายทหารฝีมือดีของพวกเราได้ทั้งหมดแน่”

ซูเอ้อร์ใบหน้าซีดขาวรายงานเพิ่มเติมว่า “แต่ข้าน้อยได้สืบสวนเพิ่มเติมและพบว่าหลินเป่ยเฉินมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากเลยนะขอรับ นอกจากมันจะมีทักษะการต่อสู้เก่งกาจแล้ว ยังมีความรอบรู้เรื่องยาพิษอีกด้วย บางทีมันอาจจะวางยาพิษพวกเราก็เป็นได้”

คุณชายเหลียนซานมีแววตาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาก็กำลังคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แต่แล้วอยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าพูดว่า “หน่วยนักรบมังกรดำของเราก็มีผู้ชำนาญการใช้ยาพิษอยู่เช่นกัน ดังนั้น การใช้ยาพิษจึงไม่ได้ผลกับหน่วยรบของพวกเราแน่ๆ …นั่นหมายความว่าหลินเป่ยเฉินต้องใช้วิธีการอื่น”

นายทหารหนุ่มแสดงความคิดเห็นตอบกลับไป “หรือบางทีอาจเป็นคนของวิหารเทพกระบี่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง”

“ไม่ใช่”

คุณชายเหลียนซานว่า “นักพรตหญิงชินไม่มีทางลงมือในขณะนี้ นางทราบดีว่าถ้าพวกตนเองลงมือฆ่าคนก่อนการตรวจสอบวิหารจะเริ่มต้น นั่นเท่ากับเป็นการทำผิดกฎร้ายแรงและคนของเราจะมีสิทธิ์บุกโจมตีวิหารได้โดยทันที… ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ หรือนี่จะเป็นฝีมือของอดีตเซียนกระบี่ ติงซานฉือ?”

ซูเอ้อร์ขมวดคิ้ว “แต่ข้าน้อยให้คนจับตาดูติงซานฉืออยู่ตลอดเวลา เขายังคงพักอยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม ไม่ได้ออกไปไหนเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าใช่ติงซานฉือขอรับ”

คุณชายผู้เป็นรองหัวหน้าใหญ่หยุดชะงักเล็กน้อย “หรือจะมียอดฝีมือคนอื่นซุ่มซ่อนตัวอยู่? ถ้าอย่างนั้น การโจมตีวิหารของพวกเรา คงต้องเรียกกำลังเสริมมาเพิ่มเติมแล้ว”

จูปี้ฉีพลันสอดขึ้นว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งไม่ชอบมาพากลขอรับ”

คุณชายเหลียนซานหันกลับมามองหน้าจูปี้ฉี

ชายชราพูดด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย “ติงซานฉือในอดีตมีฝีมือสูงล้ำ เคยได้รับการยกย่องว่าในอนาคตต้องเป็นเซียนกระบี่อันดับ 1 ของเมืองไป๋หยุน แต่เพราะเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวัง ชีวิตของบุคคลผู้นี้จึงดิ่งลงเหว ตอนที่ข้าน้อยไปถึงเมืองไป๋หยุน ภาพลักษณ์ของติงซานฉือก็เหลวแหลกยับเยิน ได้ยินว่าเขาพ่ายแพ้ในการประลองครั้งหนึ่ง ต่อให้ไม่ถึงแก่ความตาย แต่ระดับพลังก็ลดลงมาหลายขั้น”

“แต่เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ข้าน้อยเดินทางไปที่ตำหนักไม้ไผ่และได้พบหน้าเขาอีกครั้ง ปรากฏว่าติงซานฉือกลับมีระดับพลังสูงล้ำขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ข้าน้อยเคยต่อสู้กับเขาเพื่อแย่งชิงหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์ ตอนนั้นเขายังไม่มีระดับพลังแข็งแกร่งเช่นนี้เลย เพราะฉะนั้น ข้าน้อยจึงคิดว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง!”

“หืม?”

คุณชายเหลียนซานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วเขาจะเลื่อนระดับพลังกลับขึ้นมาเองไม่ได้หรือไร? อย่าลืมสิว่าในอดีตเขาเคยเป็นมือกระบี่ยอดอัจฉริยะ มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วจักรวรรดิ ท่านต้องไม่ประมาทเขาเด็ดขาด อีก 3 วันหลังจากนี้ ไม่ทราบว่าผู้เฒ่าจูมีความมั่นใจแค่ไหนในการประลองกับติงซานฉือ?”

จูปี้ฉีก้มหน้าตอบว่า “คุณชายเหลียนซานได้โปรดวางใจ ต่อให้ติงซานฉือเลื่อนระดับขึ้นมาได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าน้อยอยู่ดี”

คุณชายหนุ่มพยักหน้า “ท่านต้องไม่ลืมว่าลูกศิษย์มีความแข็งแกร่งอย่างไร อาจารย์ก็มีความแข็งแกร่งอย่างนั้น การต่อสู้ในครั้งนี้ ผู้เฒ่าจูจำเป็นต้องกำจัดติงซานฉือให้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว เขาต้องกลับมาช่วยเหลือลูกศิษย์ของตนเองตอนที่พวกเรายกกำลังพลไปจู่โจมวิหารในอีก 7 วันหลังจากนี้แน่นอน”

จูปี้ฉีรับคำว่า “คุณชายเหลียนซานไม่ต้องเป็นกังวล การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าน้อยต้องได้รับชัยชนะอย่างไม่มีปัญหา”

สีหน้าของคุณชายเหลียนซานพลันอ่อนโยนลงเล็กน้อย ก่อนถามว่า “อาการของเสี่ยวเจียงเป็นอย่างไรบ้าง?”

จูปี้ฉีตอบกลับมาด้วยความเศร้าใจ “ข่าวดีคือการโจมตีของหลินเป่ยเฉินไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เสี่ยวเจียงเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัสและบัดนี้ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือแขนทั้งสองข้างของเขาขาดเสมอไหล่ ต่อให้รับประทานสมุนไพรวิเศษหมดทั้งโลก ก็ไม่มีหนทางที่จะทำให้แขนของเขางอกคืนกลับมาได้อีกแล้ว จึงสรุปได้ว่าเสี่ยวเจียงของพวกเรากลายเป็นบุคคล… เฮ้อ ไร้ประโยชน์เสียแล้วขอรับ”

คุณชายเหลียนซานได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน “น่าสงสารจริงๆ เลยนะ”

แต่เขาก็เพียงถอนหายใจ

เจียงจี้หลิวที่มีสถานะกลายเป็นคนพิการ มีคุณค่าพอให้เขาถอนหายใจได้ครั้งเดียวเท่านั้น

ไม่กี่อึดใจต่อมา ชายหนุ่มรองหัวหน้าใหญ่ก็กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “การบุกโจมตีวิหารเทพกระบี่ในอีก 7 วันข้างหน้า พวกเราจะใช้กลยุทธ์แบบกองทัพ สังหารทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้แต่เป็ดไก่สักตัวก็อย่าให้เหลือรอด ต่อให้ก่อนหน้านี้เราต้องสูญเสียกำลังพลของหน่วยนักรบมังกรดำไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะพ่ายแพ้ ดังนั้นขอให้พวกท่านคิดว่านี่คือการทำสงครามเต็มรูปแบบก็แล้วกัน”

“สงครามเต็มรูปแบบหรือขอรับ?”

ชายวัยกลางคนที่สวมใส่มงกุฎยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาของเขาเป็นประกายด้วยความชั่วร้ายอำมหิต พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายเสมือนสัตว์ป่าหิวโหย

“ข้าน้อยชอบการทำสงครามเต็มรูปแบบมากเลยขอรับ ได้ยินมาว่านักพรตหญิงชินเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งประจำวิหาร ข้าน้อยจึงอยากรู้นัก ว่านางจะมีกระบวนท่าเร้าใจสักแค่ไหนกันเชียว ฮิฮิ”

ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่มงกุฎแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

คุณชายเหลียนซานพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านกระบี่เหินหาวช่างมีจิตวิญญาณของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม แต่ก่อนที่พวกเราจะบุกโจมตีวิหาร ข้ามีงานบางอย่างอยากมอบหมายให้ท่านทำสักหน่อย”

ชายวัยกลางคนที่สวมใส่มงกุฎอยู่บนศีรษะก็คือเจียงฟาน องครักษ์ลำดับที่สามประจำตัวเว่ยหมิงเฉินนั่นเอง

เจียงฟานขมวดคิ้วถามกลับไปว่า “งานอะไรหรือขอรับ?”

คุณชายเหลียนซานตอบ “ไปเยี่ยมเยือนท่านเจ้าเมืองคนใหม่สักหน่อยสิ ส่งคำเตือนให้เขารับรู้เป็นครั้งสุดท้าย ว่าห้ามมาแทรกแซงการตรวจสอบวิหารของพวกเราเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว… เขากับลูกชายสุดที่รักจะต้องหายตัวไปตลอดกาล”

ดวงตาของเจียงฟานเป็นประกายสดใสราวกับดวงอาทิตย์ ในขณะที่ฉีกยิ้มรับคำสั่ง “เป็นงานที่น่าสนุกยิ่ง ข้าน้อยจะไม่ทำให้คุณชายผิดหวัง”

หลังจากนั้น มือกระบี่เหินหาวก็ลุกขึ้นยืน

แล้วตัวคนก็หายวับไปในอากาศ

คุณชายเหลียนซานหันกลับมามองหน้าซูเอ้อร์ที่ยืนอยู่ตรงปากประตูอีกครั้ง “บอกให้คนของหน่วยนักรบมังกรดำที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาถอนกำลังกลับมาเดี๋ยวนี้ เราจะไม่เสี่ยงให้เกิดการสูญเสียกำลังพลโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว ส่วนในเวลาระหว่างนี้ ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากให้ท่านช่วยสืบสวนดูสักหน่อย”

นายทหารหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ข้าน้อยน้อมรับคำบัญชา”

คุณชายเหลียนซานหันหน้าไปทอดสายตามองสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง “ไปสืบสวนดูว่าพวกหัวหน้าคณะอาจารย์ทั้งสามท่านของสถานศึกษากระบี่ที่สาม สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้อย่างไร โดยเฉพาะกับบุคคลที่ชื่อว่าฉู่เหิน แขนเทียมที่เขาใช้นั้นไม่ใช่แขนธรรมดา มันเป็นแขนชนิดใด ใครเป็นผู้จัดทำ เรื่องราวเหล่านี้ท่านสืบสวนได้คำตอบเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”

“รับทราบขอรับ”

ซูเอ้อร์รับคำสั่งเสร็จเรียบร้อย ก็หมุนตัวเดินจากไป

คุณชายเหลียนซานหันหน้ากลับมามองจูปี้ฉีเป็นคนสุดท้าย “ความสูญเสียเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับมือกระบี่ หวังว่าผู้เฒ่าจูคงสามารถสลัดความโศกเศร้าได้ในเร็ววัน”

แววตาที่เย็นชาของจูปี้ฉีพลันสลายหายไปตอนที่รับคำว่า “การได้ตายเพื่อนายท่านเว่ยหมิงเฉิน ถือเป็นเกียรติสูงสุดของพวกข้าน้อยขอรับ”

ลูกศิษย์ก็แค่มีไว้ประดับบารมีเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือผู้เป็นอาจารย์ยังคงอยู่ต่างหาก

เมื่ออาจารย์ยังคงอยู่ ก็สามารถสร้างลูกศิษย์คนใหม่ขึ้นมาได้เสมอ

นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

คุณชายเหลียนซานถามออกมาอีกครั้งว่า “แล้วนี่ผู้เฒ่าจูไม่ต้องกักตัวโคจรพลัง ปรับร่างกายให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ในอีก 3 วันหลังจากนี้หรือ?”

จูปี้ฉีส่ายศีรษะตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ “ไม่ขอรับ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยย่อมสามารถเอาชนะติงซานฉือได้เหมือนสุนัขข้างถนนตัวหนึ่งอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า ถ้าคุณชายเหลียนซานมีงานอันใดอยากให้ข้าน้อยทำ ก็สามารถบอกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็ยิ้มด้วยความโล่งอก

“งานที่สำคัญต่อแผนการของนายท่านมากที่สุด ย่อมต้องให้ผู้เฒ่าจูเป็นคนลงมือแล้ว”

“ก่อนหน้านี้ ข้าได้ออกคำสั่งให้หยิงอู๋จีไปจัดการเรื่องราวของภูเขาเสี่ยวซี แต่บังเอิญว่าระหว่างการถ่ายทอดสด หลินเป่ยเฉินได้พูดถึงเรื่องเหมืองแร่หินบูชาออกไปแล้ว ผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิต่างก็เกิดความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก… มีคนจำนวนไม่น้อยอยากจะยึดครองเหมืองแห่งนี้เป็นของตนเอง หยิงอู๋จีมีตำแหน่งสูงส่งเพียงพอ แต่น่าเสียดายที่ฝีมือกระบี่ของเขายังไม่เพียงพอ!”

“ดังนั้น ข้าจึงอยากให้ผู้เฒ่าจูคอยดูแลและช่วยเหลือเขาอยู่ห่างๆ ถ้ามีมือกระบี่ระดับสูงบุกเข้ามาโจมตีหยิงอู๋จีโดยไม่ทันตั้งตัว ก็มีเพียงแต่ผู้เฒ่าจูเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องเขาได้”

“เหมืองแร่หินบูชาแห่งนี้นับว่าสวรรค์ประทานพรให้แก่นายท่านโดยแท้ มันจะยิ่งทำให้แผนการของนายท่านประสบความสำเร็จรวดเร็วมากกว่าเดิมถึง 10 ปี พวกเราจะต้องยึดครองเหมืองแร่หินบูชาแห่งนี้มาให้ได้ งานที่ข้าอยากจะให้ท่านทำ ก็มีเพียงเท่านี้”

คุณชายเหลียนซานอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

จูปี้ฉีพยักหน้ารับคำสั่ง “ไม่มีปัญหาขอรับ ตราบใดที่เป็นการทำงานเพื่อนายท่าน ข้าน้อยย่อมไม่มีปัญหา”

หลินเป่ยเฉินเปิดประตูอย่างมีความสุข

ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ

แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องยืนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

เพราะที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่นักพรตหญิงชิน

ไม่ใช่เยว่เว่ยหยาง

ไม่ใช่นักบวชสาวคนอื่นๆ

ไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ

ขนสีเงินของมันเปียกน้ำฝนไปทั้งตัว

อดีตราชันหนูอสูรยืนอยู่หน้าประตู กระดานชนวนประจำตัวแขวนอยู่ที่ลำคอ เมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายเปิดประตู เจ้าหนูก็ฉีกยิ้มร่าและกระโดดมาข้างหน้า หมายจะพุ่งเข้ามาในห้องพักอันอบอุ่น

ภาพหลอน!

นี่ต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ

จะเป็นอากวงไปได้ยังไง?

ลองปิดแล้วเปิดใหม่ดีกว่า

ฉับ

หลินเป่ยเฉินปิดประตูห้องอีกครั้ง

โครม!

อากวงกระเด็นกลับออกไปเพราะจมูกกระแทกประตูเข้าอย่างแรง

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ที่เดิม สูดหายใจลึกสามครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูอย่างแช่มช้า

ผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือ…

อากวงที่กำลังเลือดกำเดาไหลทะลัก

“กราบเรียนนายท่าน พ่อบ้านหวังส่งข้าน้อยมาเพื่อคอยช่วยงานนายท่านขอรับ”

อากวงรีบเขียนข้อความลงบนกระดานชนวน

“อ้าวเหรอ…”

หลินเป่ยเฉินชะโงกหน้าออกไปมองนอกประตูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่อีกแล้ว จากนั้น เด็กหนุ่มก็แกล้งทำเป็นพูดออกมาด้วยความประหลาดใจระคนตื่นเต้น “นับว่าเจ้ามาที่นี่ได้ถูกเวลายิ่งนัก ข้ากำลังรออยู่พอดี เข้ามาก่อนสิ”