บทที่ 97 อย่าทิ้งข้าไป

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

โรสมอนด์ถามอย่างไม่เชื่อหู

“อะไรนะ…?”

“เจ้าเป็นหมัน”

“อย่ามาล้อเล่น เจ้าเป็นใครถึงมาเป็นตัดสินเรื่องนั้น คนที่เป็นหมันไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้า ได้ยินหรือไม่ว่าเจ้าต่างหากที่เป็นหมัน! ไม่ใช่ข้า!”

“ใช่ ข้ามีลูกไม่ได้” แพทริเซียเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่เจ้าเองก็เช่นกัน”

“พูดบ้าๆ เจ้ามีหลักฐานรึ”

“มีสิ” แพทริเซียตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าคือหลักฐาน”

“พูดบ้าอะไร…”

“ข้าทำให้เจ้าเป็นหมัน” แพทริเซียอธิบายต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “จำน้ำหอมที่ข้าให้เจ้าเป็นของขวัญเมื่อไม่นานมานี้ได้หรือไม่ ในนั้นมีส่วนผสมของดอกไม้หายากที่พบได้เฉพาะในเกาะบรัมส์ มีฤทธิ์ทำให้เป็นหมัน”

“…”

“เจ้าอาจจะใช้มันเพราะกลิ่นหอม แต่มันทำให้เจ้าเป็นหมัน ผลของมันก็แน่นอนเสียด้วยสิ”

“ไม่นะ…”

โรสมอนด์พึมพำอย่างไม่เชื่อหู ในขณะที่แพทริเซียยังคงไร้สีหน้าแม้เพิ่งจะสารภาพความจริงไปก็ตาม นางไม่ได้เก็บความรู้สึก แต่นางไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เสียมากกว่า เพราะความรู้สึกของนางนั้นเหือดแห้งราวกับทะเลสาบที่แห้งแล้งมานาน

“ข้าไม่รู้สึกผิดต่อเจ้าสักนิด เพราะเจ้าเองก็ทำกับข้าเอาไว้เหมือนกัน”

“อา…ไม่นะ…”

“จงตายไปอย่างเงียบๆ เสีย อย่าได้หลงเหลือสิ่งใดไว้”

“ไม่…ไม่…!”

ราวกับอีกฝ่ายรับไม่ได้กับคำพูดของแพทริเซีย และเอาแต่พูดคำว่า ‘ไม่’ ด้วยสีหน้าซีดเผือด สำหรับโรสมอนด์ ลูกคือไพ่ตายที่จะเปลี่ยนสถานะของนางและทำให้ตำแหน่งของนางมั่นคง แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรกับคนใกล้ตาย แต่ถึงกระนั้นความจริงที่ว่านางไม่สามารถมีลูกได้ก็น่าสะเทือนใจเกินไป

“ไม่!!!”

ในท้ายที่สุด โรสมอนด์ทึ้งหัวตัวเองและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ช่างน่าเวทนา ดูเหมือนว่านางจะรับความจริงไม่ได้จนเสียสติไปแล้ว เสียงกรีดร้องนั้นดังสั่นสะเทือนแก้วหูของแพทริเซีย เหล่าผู้คุมถึงกับใช้ผ้ามัดปิดปากโรสมอนด์ไม่ให้ส่งเสียง แพทริเซียมองภาพนั้นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป

ทุกอย่างจบลงแล้ว แพทริเซียกล่าวลาศัตรูคู่อาฆาตที่คอยราวีนางมานานแสนนานและเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างเงียบๆ

“ลาก่อน”

หวังว่านี่จะทำให้พวกเราหลุดพ้นจากบ่วงกรรมของกันและกันเสียที

***

หลังจากนั้นสองวันก็ถึงวันประหารโรสมอนด์

ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นครหลวงคาร์วูดตั้งแต่เช้า เมืองหลวงที่เคยเงียบสงบพลันคึกคักอย่างผิดปกติ แต่ทว่าบรรยากาศกลับดูไม่ค่อยดีนัก

กิโยตีนที่น่าพรั่นพรึงตั้งตระหง่านกลางลานประหารที่รายล้อมด้วยผู้คน ลานประหารนี้ตั้งอยู่ในจตุรัสเจอร์เบียเน็นใกล้กับพระราชวัง จักรพรรดินีแพทริเซียและจักรพรรดิลูซิโอผู้เป็นพระสวามีนั่งอยู่ไม่ไกลจากกิโยตีนเพื่อรอเวลาลงทัณฑ์นักโทษ

“…”

“…”

ในเวลาแบบนี้ทั้งแพทริเซียและลูซิโอไม่ได้พูดคุยกัน ในตอนนั้นเองดยุกวีเธอร์ฟอร์ดที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง

“เบิกตัวนักโทษ!”

สิ้นเสียง นักโทษโรสมอนด์ก็ถูกนำตัวเข้ามาในลานประหาร ครั้นเห็นใบหน้าที่น่าสาปแช่งนั้น แพทริเซียก็นิ่วหน้าก่อนจะกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา นางมองสำรวจสภาพของโรสมอนด์อย่างสุขุม

โรสมอนด์ถูกผู้คุมสองคนประคองเข้ามาในลานประหาร ร่างผอมบางอยู่ในชุดเดรสสีขาวขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดูทรุดโทรมเสียจนมองไม่เห็นเค้าของใบหน้าที่เคยงดงาม เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเล็บราวกับนางทำร้ายตัวเองตลอดสองวันที่ผ่านมา แต่ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นสีหน้าของนาง นางจ้องมองท้องฟ้าด้วยแววตาว่างเปล่า ภาพนั้นน่าขนลุกจนน่ากลัวว่าจะเก็บไปฝัน

“นักโทษโรสมอนด์ประทุษร้ายจักรพรรดินีของจักรวรรดิมาวินอสนับเป็นความผิดร้ายแรง เรา ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส…”

ขณะที่พูด แพทริเซียรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของลูซิโอกำลังสั่นแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร หญิงสาวกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

“ในนามของจักรพรรดิ เราขอสั่งให้ประหารชีวิต”

ความพินาศย่อยยับหวนกลับมาอีกครั้ง

แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าซับซ้อน ทุกอย่าง…จบลงแล้วจริงๆ

“เริ่มการประหารได้”

แพทริเซียลืมตาขึ้นมองโรสมอนด์เป็นครั้งสุดท้าย โรสมอนด์เดินลากเท้าราวกับสัตว์ที่ถูกลากเข้าโรงเชือด แม้สีหน้าของนางจะดูว่างเปล่าไร้ความรู้สึก แต่แพทริเซียก็มองออกอย่างชัดเจนว่าแม้จะอยู่ต่อหน้าความตายนางก็ยังมิอาจละทิ้งความโกรธและเยื่อใยได้ รวมถึง…

‘ความน้อยใจ’

โธ่ โรสมอนด์ เจ้าน้อยใจอันใดถึงเพียงนั้น ในเมื่อคนที่ทำร้ายข้า คนที่คิดจะแย่งชิงตำแหน่งของข้าก็คือเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้ายังน้อยใจเรื่องอันใดอีกเล่า

ตอนนั้นเอง สายตาของโรสมอนด์ก็มุ่งมาที่แพทริเซีย แพทริเซียจ้องกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อสายตาสองคู่สบกัน สายตาของโรสมอนด์ก็ดุดันยิ่งขึ้น แม้มีความตายมารออยู่ตรงหน้าโรสมอนด์ก็ไม่คิดจะเก็บซ่อนความเกลียดชังที่มีต่อแพทริเซีย

แพทริเซียยอมรับสายตาของโรสมอนด์อย่างปล่อยวาง นางมองโรสมอนด์ที่เบนสายตาไปหาลูซิโอ สีหน้าของนางสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ แพทริเซียกัดริมฝีปากเมื่อเห็นความรู้สึกผิดแล่นผ่านสีหน้าของโรสมอนด์ชั่ววูบ สุดท้ายโรสมอนด์ก็ไม่ได้พูดความจริงเบื้องหลังเรื่องราวในอดีตออกไป แพทริเซียเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโรสมอนด์อย่างเต็มตา

“กรี๊ด!”

“เฮือก!”

คอของโรสมอนด์ถูกสะบั้นตามมาด้วยเสียงอุทานที่ดังระงมทั่วทุกสารทิศ แพทริเซียกัดริมฝีปากจนเลือดไหล

ทุกอย่างจบลงแล้ว โรสมอนด์ตายแล้ว แพทริเซียสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงผ่านสองข้างแก้ม นางปาดน้ำตาเงียบๆ น้ำตาแห่งโศกนาฏกรรมสำหรับโรสมอนด์นั้นแค่สองหยดก็เพียงพอแล้ว แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้วจริงๆ

***

แพทริเซียในชุดเดรสสีขาวปล่อยผมสยายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าวังในฐานะจักรพรรดินี เรือนผมสีน้ำเงินอมเขียวดูคล้ายระลอกคลื่นพาดลงมาบนบ่าและหน้าอกของนาง นางสวมรองเท้าสีดำเดินไปยังตำหนักกลาง

“พระจักรพรรดินีขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“ให้เข้ามา”

สิ้นเสียง ประตูก็ถูกเปิด แพทริเซียก้าวอย่างเนิบช้าเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลูซิโอในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีดำตกใจเล็กน้อยกับสภาพของอีกฝ่าย นอกจากตอนที่ยังเป็นเลดี้แล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นนางปล่อยผมอีกเลย ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามอะไร หญิงสาวก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“หม่อมฉันประสงค์จะออกจากพระราชวังเพคะ”

………………………………………………

ส่วนที่ 5 They go off into the sunset.

(และแล้วพวกเขาก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่)

“…อะไรนะ?”

ผ่านไปครู่ใหญ่ลูซิโอถึงได้ถามกลับอย่างงุนงง

“ตามที่หม่อมฉันกราบทูลเพคะ” แพทริเซียตอบเสียงเรียบ

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะออกจากวัง”

“ตามที่หม่อมฉันกราบทูล…”

“ไม่สิ เราหมายถึง” เขาเดินเข้าไปหาแพทริเซีย เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาว เขาก็เอ่ยถามอย่างวิตกกังวล “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร เหตุใดจู่ๆ…”

“มิใช่ ‘จู่ๆ’ หรอกเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียอย่างสุขุม “เพราะหม่อมฉันคิดมาตลอด หากการต่อสู้ระหว่างหม่อมฉันกับโรสมอนด์จบลง หม่อมฉันอยากจะลงจากตำแหน่งนี้”

“…”

“หม่อมฉันเหนื่อยเหลือเกิน หม่อมฉันไม่อยากอยู่ในพระราชวังอีกต่อไปแล้วเพคะ”

“จักรพรรดินี”

“หม่อมฉันไม่อยากใช้ชีวิตในฐานะจักรพรรดินีอีกต่อไปแล้วเพคะ”

“เรา…” เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เราทำความผิดไว้มากมาย”

“…”

“เรารู้ว่าเจ้าเบื่อเรา เกลียดเรา แต่…” ลูซิโออ้อนวอน “ได้โปรดอย่าพูดว่าจะไปจากที่นี่ อย่าพูดว่า…จะไปจากเรา”

“ฝ่าบาท”

“จักรพรรดินี ได้โปรด…”

“หม่อมฉันเหนื่อยล้าเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันรู้สึกสิ้นหวัง” แพทริเซียตอบด้วยเสียงห้วน “หม่อมฉันรู้สึกว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปหม่อมฉันคงกลายเป็นบ้า…เพราะฉะนั้น…”

“เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจะทิ้งเราไปอย่างนั้นหรือ ทิ้งเราไว้คนเดียว…” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว “อย่างน้อยก็เพื่อเรา…มิใช่เพื่อเจ้า แต่เป็นเพื่อเรา…”

“…”

“เพื่อคนเห็นแก่ตัวอย่างเรา…เจ้าทำให้มิได้หรือ”

“หม่อมฉันก็อยากมีชีวิตของหม่อมฉันนะเพคะ”

“เจ้าปรารถนาสิ่งใดเราจะให้ทุกอย่าง หากเจ้าต้องการทรัพย์สมบัติอันใดเราก็จะหามาให้”

“ทรัพย์สินเงินทองหาได้มีความหมายกับบุตรีตระกูลขุนนางอย่างหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท”

“หากเจ้าปรารถนาสิ่งอื่นใด เราจะมอบให้ทั้งหมด ไม่ว่าความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด เราจะรับฟังทั้งหมด”

“…”

“ขอเพียงอยู่เคียงข้างเรา เจ้าจะโกรธจะเกลียดเราอย่างไรก็ล้วนทำได้ทั้งสิ้น”

“ตอนนี้หม่อมฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะโกรธจะเกลียดพระองค์แล้วเพคะ” แพทริเซียตอบอย่างสุภาพแต่มีความตั้งใจที่แน่วแน่ “หม่อมฉันแค่อยากไปจากที่นี่และมีชีวิตอยู่อย่างสงบที่บ้านของตัวเอง ที่ที่มีอิสระ ไม่ต้องขัดแย้งกับใคร และไม่ต้องใช้เล่ห์กลอันใด…”

“นอกจากเจ้าแล้ว เราจะไม่แตะต้องสตรีคนใดในพระราชวังนี้อีก เราสาบาน เราจะมองแต่เจ้าคนเดียวไปชั่วชี…”

“ฝ่าบาท” แพทริเซียเอ่ยขัดอย่างนุ่มนวล และพูดต่อพร้อมกับมองสีหน้าสลดของอีกฝ่าย “สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาอย่างแท้จริงคือการได้ออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ หม่อมฉันไม่อยากมีชีวิตเป็นนกน้อยในกรงทอง แต่เป็นนกป่าที่มีอิสรเสรีเพคะ”

“…”

“ทรงอย่ามองแค่หม่อมฉันเพียงคนเดียวเลยเพคะ หม่อมฉันรับน้ำพระทัยไว้ไม่ไหว”

“เรามิได้ต้องการสิ่งใดจากเจ้า เราจะไม่ปรารถนาสิ่งใด จะไม่เรียกร้องสิ่งใด ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างเรา เรายอมทำทุกอย่าง ช่วยอยู่กับเรา…ไม่ได้หรือ”

“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”

“จักรพรรดินีแพทริเซีย ได้โปรด…”

“หม่อมฉันทำไม่ได้เพคะ”

“เราขอร้อง อย่า…”

อย่าทิ้งข้าไป คำพูดนั้นที่เขาไม่กล้าพูดออกไปยังคงติดอยู่ที่ปาก แพทริเซียรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่นางก็ยังคงส่ายหน้า เพื่อตัวข้า รวมถึงตัวท่านเอง… นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

แพทริเซียเอ่ยคำพูดสุดท้าย “หม่อมฉันต้องการไปจากพระราชวังเพคะ ฝ่าบาท ได้โปรดปลดหม่อมฉันโดยที่มิต้องรับโทษตายด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉัน…ร้องขอต่อพระองค์”

“เรา…”

ไม่มีทาง ข้าจะทำได้อย่างไร ตอนนี้ข้ารักเจ้าไปแล้ว ในที่สุด…ข้าก็แยกแยะความรักกับความสงสารได้แล้ว ในที่สุด…

“ไม่อนุญาต”

…ข้าก็สบตากับเจ้าตรงๆ ได้แล้ว

“ฝ่าบาท”

“เจ้าจะด่าทอว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นไร จะดูหมิ่นว่าเราเป็นจักรพรรดิไร้ยางอายก็ไม่เป็นไร”

“…”

“แต่ห้ามไปจากเรา เรื่องนี้เท่านั้นที่เรายอมไม่ได้…”

“แม้หม่อมฉันจะไม่รักพระองค์หรือเพคะ”

“ความรักของเรา ความอาลัยของเรา หัวใจของเรา ล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”

“…”

“เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าเจ้าจะโกรธจะเกลียดอย่างไร เราไม่สนใจ”

ขอเพียงเจ้า…อยู่เคียงข้างข้าก็พอ