บทที่ 386 นี่เป็นของคุณเพียงคนเดียว

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ฉันทัชดึงเก้าอี้ให้เธอ มีความเป็นสุภาพบุรุษเป็นอย่างมาก หัวใจของยู่ยี่นั้นกลับเต้นแรง เธอกลัวว่าคนเหล่านั้นจะมองทั้งสองคนด้วยสายตาแปลกๆ

ยื่นมือออกมาเอาเส้นผมทัดหู เธอไม่กล้ามองเขา เพียงแต่ก้มหน้าลงแล้วกล่าวขอบคุณเขา : “ขอบคุณค่ะคุณฉันทัช”

“ไม่เป็นไรครับ”เสียงของฉันทัชทุ้มต่ำ เหลือบมองเธอด้วยความลึกซึ้ง ข้างๆของเขาก็เป็นพนักงานผู้หญิงในออฟฟิศอีกคนหนึ่ง เขาก็ยังคงรอบคอบช่วยเธอดึงออกมาให้

พนักงานผู้หญิงคนนั้นรู้สึกปลื้มปิติอย่างไม่คาดฝัน สีหน้าท่าทางตื่นเต้น แววตาที่มองฉันทัชนั้นมีแต่รูปหัวใจ : “ขอบคุณค่ะคุณฉันทัช”

เขายกริมฝีปากขึ้นแล้วส่งยิ้มบางๆอย่างมีมารยาทและอ่อนโยนให้ พนักงานผู้หญิงมีความเคลิบเคลิ้มหลงใหล เรนบีรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก เธอควรจะนั่งอยู่ตรงนั้น

“พอได้แล้ว คุณฉันทัชไม่ชอบคุณหรอก อย่าได้ฝันในสิ่งที่จะไม่มีทางเป็นจริงเลย”ผู้จัดการกดเสียงต่ำลง พนักงานหญิงที่นั่งอยู่พวกนี้กำลังฝันกันอยู่

เรนบีเหลือบมองไปยังผู้จัดการร่างท้วม แล้วก็มองไปยังฉันทัชที่สง่างามและอ่อนโยนอีกครั้ง เธออดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

เสื้อคลุมสีเทาที่อยู่บนร่างเขานั้นยาวมาก ยาวลงมาถึงเข่า และตอนที่นั่งลงนั้น ฉันทัชก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วยื่นส่งให้กับพนักงาน : “ขอบคุณครับ”

พนักงานรีบส่ายหน้า แล้วช่วยเขาเก็บไป

ด้านในมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำ แต่ตรงปกเสื้อและช่วงหัวไหล่กลับมีด้ายสีเงินแพร่กระจายอยู่ ไม่ดูจำเจ แสดงออกถึงความเรียบหรูดูดี

ผู้นำนั่งอยู่ที่โต๊ะ ทุกคนไม่ได้ปลดปล่อยกันซักเท่าไหร่นัก ล้วนแต่มีความเก้ๆกังๆกันอยู่ อาหารเหล่านั้นที่สั่งอยู่บนโต๊ะล้วนแต่เป็นอาหารที่ยู่ยี่ชอบทาน เธอคีบตะเกียบ

ฉันทัชไม่ได้ทานอะไรนัก คืนนี้เขาเป็นตัวหลัก สายตาของทุกคน จุดโฟกัส และประเด็นการสนทนาล้วนอยู่ที่เขา เขาจิบไวน์เบาๆ สีหน้าท่าทางอ่อนโยน เอ่ยพูดบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ไม่ได้ห่างเหินและก็ไม่ได้สนิทสนมจนเกินไป ไม่ให้คนรู้สึกถึงระยะห่างนี้

แล้วจู่ๆ ยู่ยี่ก็รู้สึกถึงมือซ้ายที่ร้อนๆขึ้นมา เธอก้มลงมองเล็กน้อย กลับเห็นว่ามือขวาของเขาจับมือซ้ายของเธออยู่ใต้โต๊ะด้วยความกล้า สิบนิ้วสอดประสานกัน

เธอหน้าแดง ใจเต้น การกระทำที่ดูมีความกล้าของเขานั้นเหนือความคาดหมายของเธอมากจริงๆ ขยับเล็กน้อยอยากจะดิ้น แต่กลับดิ้นไม่หลุด

ตรงที่นั่งกันอยู่รอบๆนั้นล้วนแต่เป็นพนักงานของบริษัท ยู่ยี่กลัวว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองที่มากเกินไปนั้นจะดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ดังนั้นจึงล้มเลิกไป

มือซ้ายของฉันทัชถือแก้วไวน์ แล้วเขย่าแก้วเบาๆ ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้น จิบไวน์เล็กน้อย แล้วพูดคุยกับประธาน

ยู่ยี่แสร้งทำเป็นนิ่ง แต่ใบหูนั้นกลับรู้สึกร้อนผ่าวมาก มือซ้ายที่เขาจับอยู่รู้สึกชาไร้เรี่ยวแรง มือของทั้งสองคนที่แอบจับกันอยู่นั้นวางอยู่บนขาแข็งแรงของเขา นิ้วมือหยาบและอบอุ่นเล่นมือของเธออย่างต่อเนื่องและแนบชิด

ฉันทัชดื่มไวน์ไปสี่แก้ว แต่กลับไม่ได้ทานอาหารเลย เธอถูกปล่อยมือ ยู่ยี่รู้สึกงุนงง และเห็นเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกางเกงสูทของเขา

เปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปลายนิ้วของเขาจิ้มอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ สีหน้าท่าทางอ่อนโยน และมุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่ ดูแล้วอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

สายตาของทุกคนนั้นจ้องมองอยู่ที่ร่างของเขา พอเขายิ้มก็ทำให้พนักงานหญิงหลายๆคนใจละลายตามไปด้วย แล้วซักพักหนึ่ง เขาก็เอาโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง และไม่ได้แตะไวน์อีกเลย

ผู้จัดการเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ : “แฟนของคุณฉันทัชไม่ให้คุณดื่มแล้วหรือเปล่าครับ? นี่คุณถึงไม่ดื่มเลย….”

ฉันทัชไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับด้วยเช่นกัน เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มีความอ่อนโยนที่เกือบจะพูดไม่ออก : “เมื่อครู่ลงมาจากงานเลี้ยง ดื่มไปไม่น้อยเลยครับ ผู้หญิง ก็จะสนใจมากหน่อย…..”

ตอนที่เขาพูดออกมานั้น ก็มักจะเว้นวรรคไปบ้าง แล้วก็จะพูดช้าลงบ้าง ได้ยินแล้วทำให้รู้สึกใจเต้น

ท่าทางแบบนี้ดูคลุมเครือ แต่กลับเป็นการยอมรับทางอ้อมว่ามีแฟนแล้ว ยู่ยี่ไม่ได้เอ่ยพูดออกมา สายตาของเธอมองต่ำลง และทานซุปอยู่ตลอด

“ถึงแม้ว่าจะพูดแบบนี้ แต่เห็นสีหน้าท่าทางของคุณฉันทัชแล้วกลับดูเหมือนจะชอบมากเลยนะครับ ดูแล้วได้รับความพอใจมากเลยนะครับ!”

“คุณฉันทัชโชคดีมากจริงๆ!”

“ใครได้มาเป็นแฟนของคุณฉันทัชต้องมีความสุขมากจริงๆ!”

“แฟนของคุณฉันทัชจะต้องสวยมากแน่ๆ และมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ดีมากด้วย!”

เขายิ้ม แต่ไม่ตอบ ฟังคำพูดของทุกคน แล้วยู่ยี่ก็รู้สึกถึงแรงสั่น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เป็นข้อความฉบับหนึ่ง เธอกดเปิด 【หาข้ออ้างออกไปจากที่นี่ แล้วรอผมตรงมุมทางเลี้ยวของโรงแรม】

คนที่ส่งข้อความมานั้นก็คือผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ยู่ยี่ใจเต้นเร็วขึ้น แต่กลับอยากจะหัวเราะออกมา ผู้ชายอย่างเขาก็โกหกเป็นเหมือนกัน?

ทุกคนกำลังทานอาหาร เธอเองก็ไม่มีข้ออ้างที่จะกลับออกไป รอจนทานอาหารกันไปประมาณนึงแล้ว ยู่ยี่ก็หยิบกระเป๋าขึ้นมา เหลือบมองทุกคน แล้วออกไป

ตอนที่เดินออกมาจากโรงแรม เธอส่งข้อความหาผู้จัดการ บอกว่าประจำเดือนมาก่อนกำหนด รู้สึกปวดท้องและไม่สบายท้องมาก จึงต้องออกมาก่อน

ส่งข้อความเสร็จแล้ว ยู่ยี่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องฟังคำพูดของเขาด้วย ยืนอยู่ตรงทางเลี้ยว และยิ่งไม่รู้ทำไม ถึงได้มีความรู้สึกว่าเป็นขโมยแบบนี้

ผู้จัดการทิ้งข้อความเอาไว้ เห็นยู่ยี่ออกไปแล้ว สายตาของเขาก็มองมาที่ฉันทัช ดูว่าเขาจะเคลื่อนไหวเมื่อไหร่

ฉันทัชกลับนั่งอยู่ไม่ขยับ ยิ้มอย่างเงียบๆ ผู้จัดการนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง เห็นยู่ยี่เดินไปตรงมุมเลี้ยวอย่างชัดเจน

หลังจากนั้นสิบนาที ฉันทัชก็ลุกขึ้น มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วยื่นมือออกมารับเสื้อคลุมสีเทาจากพนักงาน แล้วเอ่ยขอโทษ : “ยังมีเอกสารที่จะต้องจัดการอีก เลยต้องขอตัวก่อนนะครับ วันหลัง ผมเป็นเจ้ามือเอง เชิญทุกคนมาร่วมโต๊ะด้วยกัน รถที่จะพากลับไปจองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หวังว่าทุกคนจะทานอาหารกันอย่างมีความสุข และกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะครับ”

ทุกคนกำลังพูดว่าไม่เป็นไร เขาเอ่ยขอโทษนิ่งๆ จัดแจงคอเสื้อ แล้วเดินออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองตามไปด้วย

รถไม่ได้ขับไปตรงร้านกาแฟตรงมุมทางเลี้ยวตรงนั้น ผู้จัดการขมวดคิ้วขึ้น หรือว่าทั้งสองคนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันจริงๆ เขาจึงนั่งลงอีกครั้ง

รถมูซานสีบรอนด์คันนั้นขับอ้อมไปทางด้านหลังรอบหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็จอดตรงประตูร้านกาแฟ ประตูรถเปิดออก ยู่ยี่ขึ้นไปนั่ง

รถสตาร์ทขับออกไป มุ่งตรงไปทางด้านหน้า แล้วจอดลงที่ร้านข้าวต้ม ยู่ยี่ขมวดคิ้วขึ้น ฉันทัชปลดเนคไทตรงคอลงมา ตรงหว่างคิ้วรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาบ้าง : “รีบมางานถึงสองงาน ดื่มไวน์ไปแปดถึงเก้าแก้ว ยังไม่ได้ทานอะไรเลยซักคำ ทานข้าวต้มเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ……”

ยู่ยี่เห็นความเหนื่อยล้านี้แล้ว ก็ใจอ่อน เธอพยักหน้าลง คนที่อยู่ในร้านยังคงเยอะเช่นเดิม และทั้งสองคนก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องที่เคยนั่งกันเมื่อสองสามครั้งก่อน

เธอขอน้ำอุ่นมาหนึ่งแล้วให้เขาดื่มก่อน หลังจากนั้นก็สั่งข้าวต้มเม็ดบัวหนึ่งถ้วย และสั่งข้าวต้มพุทราจีนมาหนึ่งถ้วย ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามกัน

เธอทานข้าวต้มเม็ดบัว ส่วนฉันทัชทานข้าวต้มพุทราจีน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทานอะไรมาเลย ตอนนี้จึงหิวมากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะทานเร็ว แต่กลับยังคงดูดีเช่นเดิม

มือซ้ายที่เห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจนวางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากบางของฉันทัชกระตุก เสียงทุ้มต่ำพรั่งพรูออกมา : “มือครับ”

ยู่ยี่ขมวดคิ้ว ถึงแม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเอามือวางลงบนฝ่ามือของเขา

มุมปากยกขึ้น มือใหญ่ของฉันทัชพลิกมาจับเอาไว้ แล้วลูบฝ่ามือของเธอเบาๆ พลางทานข้าวต้มต่อ

หัวใจเต้นเร็วขึ้น ยู่ยี่รู้สึกอายและทำตัวไม่ถูก คิดอยากจะดึงมือกลับมา ยังปรับตัวไม่ได้กับการใกล้ชิดของเขาที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันแบบนี้ : “คุณยังกำลังทานอยู่เลยนะคะ”

ฉันทัชจ้องมองเธอแล้วเอ่ยพูดขึ้น : “การทำแบบนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการทานของผมหรอกครับ…..”

“แบบนี้ฉันก็รู้สึกอายอยู่บ้างนะคะ” ยู่ยี่เม้มปากอย่างเคอะเขิน

พนักงานยังกำลังเดินเข้าเดินออกเสิร์ฟข้าวต้มอยู่ แต่เขากลับจับมือเธอวางไว้บนโต๊ะแบบนี้

“คบกันเป็นแฟนก็ควรมีรูปแบบของการคบกันสิครับ….” ฉันทัชเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น เขามองเธอ เหมือนกับมีความมุ่งมั่นมาก

ยู่ยี่เงียบ หน้าแดง หลังจากนั้นพักหนึ่ง เธอก็เอ่ยพูดขึ้น : “ทำไมฉันรู้สึกว่าแต่ละประโยคที่คุณพูดนั้นล้วนแต่มีเหตุผลทั้งนั้นเลยล่ะคะ?”

ไม่ว่าจะเป็นประโยคนั้นที่เอ่ยพูดกับเธอเมื่อคืนนี้ หรือว่าประโยคนี้ มักจะจับประเด็นสำคัญได้ ทำให้ไม่สามารถโต้แย้งได้เลย

ชะงักไปพักหนึ่ง ฉันทัชเลิกคิ้วขึ้นมา หลังจากนั้นก็ตอบเธอ : “ไม่มีเหตุผลผมก็ไม่พูดหรอกครับ…..”

“ขี้อวดจัง”เธอหัวเราะเบาๆ

“เปล่าหรอกครับ นี่ก็คืออายุและประสบการณ์มอบให้ผมมา….”เขาว่า : “ผมเคยบอกแล้ว ว่าชีวิตของผมไม่ใช่กระดาษขาว และยิ่งไม่ได้ว่างเปล่าอีกด้วย มันลึกซึ้งแล้วก็ซับซ้อนด้วย”

ได้ยินแล้ว ในใจของยู่ยี่นั้นก็รู้สึกสงสัยในชีวิตของเขา สงสัยมากจริงๆ ว่าสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูแบบไหนถึงได้ออกมาเป็นผู้ชายแบบนี้ได้

หลังจากที่ทานข้าวต้มกันแล้ว ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ฉันทัชกำลังขับรถอยู่ พลางเอ่ยถามเธอ : “อยากจะเดินไปตามทางให้ย่อยหน่อยไหมครับ?”

ลูบท้องที่เพิ่งจะทานมา ยู่ยี่พยักหน้าลง เดินเสียหน่อยก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน

มูซานสีบรอนด์จอดอยู่ตรงข้างแม่น้ำคูเมือง อากาศหนาวมาก ยิ่งช่วงดึก คนที่ข้างแม่น้ำคูเมืองนี้ก็ยิ่งน้อยมาก

น้ำไหล ลมพัด มีระลอกคลื่นเป็นวง ตอนกลางคืนอากาศเย็น ลมหนาว เสื้อคลุมของยู่ยี่นั้นบาง สองมืออดที่จะกอดตัวเองเอาไว้ไม่ได้

แล้วจู่ๆ ร่างของเธอก็หนักขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้น มือใหญ่เรียวยาวของฉันทัชก็เอาเสื้อคลุมมาคลุมลงบนไหล่ของเธออย่างนุ่มนวล ด้วยสีหน้าท่าทางที่อ่อนโยน

เธอมองเขา เลิกคิ้วขึ้นมา แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย : “คุณเอาใจใส่กับผู้หญิงทุกคนแบบนี้เลยหรือเปล่าคะ?”

“นี่เป็นสิ่งที่ผมได้รับการอบรมมาและบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของผมครับ…..”

ดวงตาดำสนิทของเขาจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง มองไปยังริมฝีปากอมชมพูดของเธอ เข้าใกล้จากทางด้านข้าง โน้มตัวเข้ามา ริมฝีปากอุ่นๆจูบลงบนแก้มข้างซ้ายของยู่ยี่เบาๆ หลังจากนั้นก็ขยับริมฝีปากชมพูที่อุ่น แน่นและบางเบา จูบลงไปอีกอย่างมีขั้นตอน

จู่ๆถูกจูบขึ้นมา ยู่ยี่ก็เหมือนกับเป็นรูปปั้นแกะสลัก เธอตกตะลึง กลิ่นอายที่มีพลังของชายหนุ่มส่งผ่านเข้าไปในจมูก

ระยะห่างของใบหน้าเขากับเธอนั้นใกล้กันมาก แต่ละขอบมุมของใบหน้าเขานั้น เธอเห็นได้อย่างชัดเจน ความลึกซึ้งและความหล่อเหลาเช่นนี้ ทุกๆขอบมุมล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งและความโดดเด่นของเขา

เขาครอบครองริมฝีปากของเธอ มือใหญ่โอบกอดเธอเอาไว้ แล้วเอ่ยพูดเบาๆข้างหูของเธอ : “แต่ผมไม่ได้ใกล้ชิดกับพวกเธอขนาดนี้ นี่เป็นของคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น……”

ความมืดยามค่ำคืนแบบนี้ อ้อมกอดที่อบอุ่น จูบที่ร้อนผ่าว การกระซิบเบาๆที่เกิดอารมณ์ตื่นเต้น จะไม่ให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาได้อย่างไร?

ยู่ยี่คิด ผู้ชายแบบนี้เกิดมาเพื่อทำให้ผู้หญิงสับสน ทำให้ผู้หญิงถลำลึกเข้าไป…..

จนกระทั่งขึ้นมาบนรถ เธอยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำของเขา ผิวที่ขาวเนียนอยู่แล้ว ประกอบกับใส่สีเทาในตอนนี้ ยิ่งทำให้ในความขาวนั้นมีความอมชมพูขึ้นมา

“สวยมากครับ…..” ฉันทัชเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ได้ยินแล้ว ยู่ยี่ก็แกว่งแขนเสื้อที่ยื่นออกมายาวตรงหน้าเขา : “นี่เหมือนกับเด็กที่ขโมยเสื้อผ้าของผู้ใหญ่มาใส่เลยนะคะ จะเรียกว่าสวยได้ยังไง ตลกชัดๆเลย”

“ทุกสิ่งมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เพียงแต่อยู่ที่ว่าคุณจะมองและเปรียบเทียบมันอย่างไรมากกว่า….” ฉันทัชจ้องมองเธอ ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย : “สำหรับผมแล้วเหมือนกับผู้หญิงที่ใส่ชุดแสดงละครอยู่บนเวที แขนเสื้อสะบัดพลิ้วไหว ที่แสดงออกมาให้เห็นนั้นล้วนแต่เป็นเสน่ห์ด้วยกันทั้งสิ้น…..”