เงียบสงบ โดย Ink Stone_Fantasy

ราดน้ำแร่ลงบนศีรษะของลู่ม่อแล้ว สารวัตรหยาง ดึงเขาไปที่หน้าประตู พูดเสียงดังว่า “แกพูดให้รู้เรื่อง ผีอยู่ที่ไหน?”

“คือ…คือ สา…สารวัตรหยาง ผม ผมเห็นจริงๆ…”

มองเข้าไปในบ้านแล้วไม่เห็นมีเงาใครสักคน ลู่ม่อตาค้าง แต่เขาแน่ใจว่าเมื่อสักครู่เขาไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เห็นผีผู้หญิงใส่ชุดนางในห้าตน ผ่านหน้าประตูไป

ถึงเป็นแค่ชั่วพริบตา แต่ลู่ม่อยังเห็นใบหน้าของผีสาวพวกนั้นอย่างชัดเจน เหมือนกับที่คนแซ่จางเคยบอกไว้ ผีตัวสุดท้ายใบหน้าขาวซีด ปากแดงดุจสีเลือด ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรไปได้?

“แกยังจะเถียงอีก?”

สารวัตรหยางโมโหจนอยากลงไม้ลงมือ ตั้งแต่เยี่ยเทียนตะโกนว่าเห็นผี ช่วงเวลาไม่ถึงสามวินาที ในสวนอันว่างเปล่านั้น ไม่มีที่ให้คนซ่อนตัวได้แน่นอน

“สารวัตรหยาง ท่านอย่าเพิ่งโมโห เราออกไปคุยกันข้างนอก…”

ไม่รู้ว่าทำไม ผู้อำนวยการหม่าก็เหมือนจะเห็นเงาคนผ่านไป แต่พอสารวัตรหยางเปิดไฟดวงใหญ่ เงานั้นก็หายไป ทำให้ผู้อำนวยการหม่าชักไม่แน่ใจแล้ว

สารวัตรหยางกลับมาที่เรือนกลาง โบกมือเรียกเยี่ยเทียนที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ พูดอย่างหงุดหงิดว่า “นาย มานี่ เกิดอะไรขึ้น?เมื่อกี้ร้องโวยวายอะไร?”

“ผม…เมื่อกี้ผมเห็นเงาคนตั้งหลายคน พวกเขาทำผมแบบหวีทรงสูง ปลายสองข้างแหลม สูงตั้งขนาดนี้แหนะ…”

เยี่ยเทียนเล่าพลางทำไม้ทำมือบอกรูปร่าง เขากำลังนึกถึงรูปภาพที่เคยเห็นในพระราชวังต้องห้าม เพราะเยี่ยเทียนรู้ดีว่า ยิ่งเขาอธิบายได้ละเอียดเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น

“ใช่แล้ว ผมก็เห็นเหมือนกัน…”

ลู่ม่อที่”เห็นผี”เหมือนกับเยี่ยเทียน พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนก็ร้องตะโกนขึ้นมา ภาพหลอนในสมองของเขาคือรูปภาพเก่าที่เคยเห็นพระราชวังต้องห้ามเหมือนกัน จึงสอดคล้องก้บสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด โดยที่ไม่ได้เตี๊ยมกันมา

“อะไรนะ?ตำรวจก็เห็นผีด้วย?”

“สวรรค์ มีผีจริงๆด้วย?ไม่ใช่คนปลอมขึ้นมา?”

“ไม่ได้ละ ต้องย้ายบ้าน อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!”

ตอนนี้ผู้คนมากมายมามุงดูกันอยู่โดยรอบ พวกเขาต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยเทียน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามีตำรวจที่เห็นผีเหมือนกัน ตอนนี้คำพูดของลู่ม่อทำให้ผู้พักอาศัยต่างกระวนกระวายอยู่ไม่สุข

“แกหุบปากเดี๋ยวนี้!”

สารวัตรหยางอยากจะชักปืนออกมาจัดการลู่ม่อให้รู้แล้วรู้รอด ตำรวจเข้ามาเพื่อจัดการให้เรื่องเงียบลง กลับกลายเป็นว่าลูกน้องของตนดันมาทำให้เรื่องไปกันใหญ่ ทำให้เขาเสียหน้ายิ่งนัก ไม่รู้ว่ากลับไปจะไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี

“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก กลับเข้าบ้านไปนอนกันได้แล้ว ไม่มีผีอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นเหรอว่าพวกเรายังอยู่ดี เมื่อกี้เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเหนื่อยเกินไปจนเห็นภาพหลอน ทุกคนกลับเข้าไปนอนเถอะ…”

“ภาพหลอนอะไร?เมื่อกี้ฉันอยู่ในบ้านยังได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่เลย…”

“อาซ้อหลี่ ได้ยินจริงเหรอ?ฉันก็ได้ยิน มัน….มันเป็นผีร้ายนะเนี่ย แม้แต่ตำรวจก็ยังไม่กลัว…”

“ไม่ได้ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว พ่อเอ็ง ไป วันนี้ไปนอนโรงแรม พรุ่งนี้ค่อยหาบ้านแล้วย้ายออก…”

ซ้อหลี่ที่ได้ยินเสียงผีร้องไห้ยังคงมีเสียงผู้หญิงร้องไห้วนเวียนอยู่ในหัว ยิ่งเห็นตำรวจคนนั้นหน้าซีด ในใจยิ่งรับไม่ได้แล้ว ดึงสามีให้รีบเข้าบ้านไปเก็บของ

ที่จริงสารวัตรหยางได้อธิบายสาเหตุของเรื่องผีหลอกอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ เวลานี้ความหวดกลัวเกาะกุมหัวใจของผู้อาศัย คำพูดของเขาจึงไร้ประโยขน์

พอมีคนจะย้ายออก คนอื่นๆก็เริ่มจะไม่อยู่นิ่งแล้ว ต่างคนต่างกลับเข้าบ้านเก็บเอาของมีค่าติดตัวไว้ หอบลูกจูงหลานออกไปจากเรือนสี่ประสานไป

เพื่อนบ้านในละแวกนั้นเมื่อรู้ว่าที่นี่เกิดเรื่องขึ้นก็เปิดไฟสว่าง แต่กลับไม่มีใครกล้ายื่นหน้าเข้ามาดู กลัวว่าจะเป็นการชักนำให้ผีมาเข้าบ้านตน เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเสียเปล่า?

พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ สารวัตรหยางแทบอยากจะร้องไห้ แต่โบราณมาทุกเรื่องนั้นน่ากลัวที่สุดคือการมีไส้ศึกภายใน ตัวเองอธิบายไปร้อยประโยคยังสู้คำๆเดียวที่ลูกน้องของตนร้องว่า “เห็นผี”ไม่ได้

สารวัตรหยางมาไขคดี แต่ก็ไม่สามารถรั้งชาวบ้านที่จะย้ายออกไปได้ ในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเรือนทั้งสองหลังด้านหน้าที่เคยมีคนอยู่เต็มก็ว่างลง ผู้อาศัยเจ็ดแแปดครอบครัวออกไปกันหมด

“สารวัตรหยาง ผม…ผม แต่ผมเห็นจริงๆนะ…”

ลู่ม่อรู้ว่าการที่ผู้อาศัยพากันย้ายออกไปหมดเหตุเพราะตัวเอง แต่เขาถูกปรักปรำ ความกลัวที่เกิดขึ้นตอนที่เห็นผีทำให้ประสาทของเขาไม่สามารถควบคุมปากและร่างกายได้ ไม่ได้ฉี่ราดเหมือนคนแซ่จางนั่น ก็ถือว่าประสาทยังแข็งอยู่

สารวัตรหยางเงียบไปนาน ยกมือขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ แกอย่าพูดเลย ฉันเชื่อแก ตอนนั้นแกต้องเห็นภาพหลอนแน่…”

สารวัตรหยางออกจะเข้าใจลูกน้องคนนี้ดี ปกติตอนไปจับผู้ร้ายก็แสดงความกล้าหาญบุกนำเป็นคนแรกเสมอ ไม่เคยหวาดกลัวเลย ถ้าไม่ได้เห็นเข้าแล้วจริงๆ คงไม่ตกใจขนาดนี้

“สารวัตรหยาง งั้น…เราจะทำยังไงต่อไป?ยังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ไหม?”

ฟังสารวัตรหยางพูดจบ ผู้อำนวยการหม่าก็รุดเข้ามา เขาไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่าตอนที่พูดฟันกระทบกันกึกๆแล้ว

สารวัตรหยางหยุดคิดสักครู่แล้วพูดต่อ “คุณกับเสี่ยวเยี่ยกลับไปก่อนเถอะ อืม ลู่ม่อ แกก็กลับไปด้วย พักผ่อนให้พอ ช่วงนี้แกหักโหมเกินไปแล้ว ฉันกับคนที่เหลือจะอยู่เฝ้าอีกสักหน่อย…”

สารวัตรหยางผู้ไม่เชื่อเรื่องผี ยังคงไม่หวั่นไหว ตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ เพราะในสวนด้านหลังไม่มีแม้แต่รอยเท้ามนุษย์หรือร่องรอยการจากไปของผู้ใดเลย

ถ้าหากต้องอธิบาย คงจะตอบได้อย่างเดียวว่าผีหลอก สารวัตรหยางเป็นตำรวจสอบสวนมือดี แต่ไม่เคยจับผีนี่ เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็จนปัญญา

“งั้น…งั้นผมกลับก่อนนะ”

เยี่ยเทียนรู้ว่าถ้ากลับออกไปอย่างสบายๆ จะต้องเป็นที่สงสัยของคนอื่นแน่ จึงแกล้งพูดติดอ่างว่า “ผู้…ผู้อำนวยการหม่า ท่าน…ท่านช่วยไปส่งผมที่บ้านได้ไหม?”

“ได้ ได้ เรากลับด้วยกัน คนเยอะหน่อยไม่กลัว!”

ไม่ทราบว่าทำไมอยู่ดีๆผู้อำนวยการหม่าก็เอ่ยคำนี้ขึ้นมา พูดจบถึงรู้ตัวว่าไม่ควร แสดงสีหน้ากระอ่วนกระอ่วนใจออกมา

ถ้าให้ผู้อำนวยการหม่าเดินผ่านตรอกมากมายในละแวกนี้คนเดียวเขาเองก็กลัว เมื่อครู่เขาก็เหมือนจะเห็นอะไรเงาอัปมงคลบางอย่างเหมือนกัน

“ไปเถอะ ไปเถอะ เหล่าหม่า วันนี้รบกวนคุณแล้ว…”

ได้ยินคำพูดของผู้อำนวยการหม่าแล้วสารวัตรหยางก็ทำหน้าไม่ถูก แม้แต่ข้าราชการที่ทำงานหลวงยังใจเสาะขนาดนี้ ชาวบ้านธรรมดายิ่งไม่ต้องพูดถึง

“ได้ เยี่ยเทียน ไป ฉันส่งเธอกลับบ้าน…”

หม่าผิงไม่สนใจว่าสารวัตรหยางจะคิดยังไง ดึงเยี่ยเทียนรีบออกไปจากเรือนสี่ประสาน จะว่าไปก็แปลก พอออกมาจากบ้าน ความรู้สึกเย็นเยือกก็หายไปหมดสิ้น

“จบกันที เรื่องพวกนี้ถือว่าจบลงเสียที!”

พอออกมาจากบ้าน  เยี่ยเทียนก็ผ่อนคลายลง พรุ่งนี้รอให้ผู้อาศัยย้ายออกไป ตนค่อยเข้าไปซ่อมแซมปรับปรุงฮวงจุ้ยในบ้าน คงต้องใช้เวลาสักหนึ่งถึงสองเดือน พลังพิฆาตนั้นถึงจะสลายหมด

เยี่ยเทียนทำแบบนี้อาจจะทำให้คนอื่นสงสัย แต่ในเมื่อตำรวจก็ยังเห็นผีคงไม่มีใครมาว่าๆเขาเป็นคนทำอีกแล้ว รอให้ผ่านไปสักพัก เรื่องก็จะเงียบลงเอง

………………………………

เหตุการณ์เป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดไว้ ในวันรุ่งขึ้นสถานีตำรวจได้จัดให้เจ้าหน้าที่มาทำความเข้าใจกับผู้อาศัยอย่าง ชัดเจนแล้วแต่ในวันเดียวกันนั้นเองก็มีผู้อาศัย สามครอบครัวย้ายออก

ในสามครอบครัวนั้นมีครอบครัวของคนแซ่จางที่ตกใจจนตอนนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลได้ให้คนมาขนของในบ้าน ย้ายออกไป

นอกจากนี้ยังอีกเจ็ดแปดครอบครัวที่ไปหาบ้านเช่าอื่นได้แล้วกลับมาขนย้ายของออกไปภายในสองสามวัน ภายในไม่ถึงสัปดาห์เรือนสี่ประสานที่เคยมีผู้อาศัยอยู่เต็มก็กลายเป็นบ้านผีสิงลือชื่อไปโดยปริยาย

“แกบ้าพอหรือยัง?พอแล้วก็รีบจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้ใครสาวมาถึงตัวได้…”

เยี่ยตงผิงที่วันนี้ไม่ได้ไปทั้งตลาดของเก่าพานเจียหยวน ไม่ได้ไปทั้งบริษัทเก่าของเยี่ยเทียนที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นร้านชา อยู่ที่บ้าน เขากล่าวพลางดึงเยี่ยเทียนไปในห้องหนึ่งหลังบ้าน

คนอื่นอาจจะแค่สงสัยเยี่ยเทียน แต่เยี่ยตงผิงมั่นใจได้เลยว่าเป็นฝีมือของลูกชายอย่างแน่แท้ ตั้งแต่มีข่าวลือเรื่องผีที่เรือนสี่ประสานหลังนั้น เขาก็รู้ได้ทันที

เขาไม่ไปทำลายแผนการของเยี่ยเทียนหรอก เพราะบ้านนั้นซื้อมาด้วยเงินมากโข  ถ้าสามารถทำให้ผู้อาศัยคนอื่นออกไปได้นั้นก็ดี แต่เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยตงผิงยังอดหวั่นใจไม่ได้

“พ่อ ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย…” เยี่ยเทียนทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“เดี๋ยวเถอะ ถ้ายังกล้าพูดว่าไม่เกี่ยวกับแกอีกนะ พ่อจะเฆี่ยนให้…” เยี่ยตงผิงมีวิธีการรับมือกับลูกไม้ตื้นๆของบุตรชาย

“พ่อ ผมจะหาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำงานที่นั่นเลย…”

เยี่ยเทียนลังเลเล็กน้อยแล้วเลือกที่จะพูดกับพ่อตรงๆ เมื่อวานเขาติดต่อไปหาบริษัทรับเหมาหลายแห่ง เพราะอยากจะซ่อมแซมปรับปรุงเรือนสี่ประสานหลังใหม่

แต่ละบริษัทต่างก็ยินดี แต่พอให้วิศวกรไปเข้าดูที่บ้านแล้ว กลับไปต่างก็ขอยกเลิกงานทั้งนั้น เพราะว่าได้ยินข่าวลือว่าเป็นบ้านผีสิง!

“เจ้าเด็กโง่ ทุกทีแกออกจะฉลาด ทำไมอยู่ดีๆถึงสมองทึบขึ้นมา?”

เยี่ยตงผิงเขกหัวลูกชายเข้าทีหนึ่ง กล่าวต่อว่า “แกไปอารามเมฆขาวเชิญนักพรตมาทำพิธี แล้วก็ไปหาบริษัทลุงเว่ยของแก ให้เขาพาคนมาทำงาน แก้ฮวงจุ้ยที่นั่นให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน…”

มีลูกชายอย่างเยี่ยเทียน หลายปีมานี้เยี่ยตงผิงได้รู้วิชาฮวงจุ้ยดูดวงได้แบบไม่ต้องเรียนเลย ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนบอก เขาเดาได้ว่าบุตรชายได้เคยแก้ฮวงจุ้ยในบ้านหลังนั้นไว้ จึงทำให้เกิดเรื่องผีหลอกขึ้น