ตอนที่ 631 เจ้ายังจะพูดขึ้นมาอีก / ตอนที่ 632 ห้ามหลบหน้าข้า

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 631 เจ้ายังจะพูดขึ้นมาอีก 

 

 

 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงคิดมากเกินไปแล้ว…” 

 

 

อวี้อาเหรารู้สึกเบื่อหน่าย เขาเตรียมยาติดตัวมาด้วยเพราะกลัวว่าจะบาดเจ็บหรือ? คงเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ! 

 

 

ฉู่ป๋ายมองนาง จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น กุมมือที่อ่อนนุ่มของนาง “หากข้าไม่เตรียมตัวเอาไว้ เจ้าเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร” 

 

 

คำพูดช่างฉอเลาะนัก แม้แต่อวี้อาเหราที่เคยเห็นคนเจ้าชู้ชอบเกี้ยวพาเหล่านี้เสียจนชินตาก็ยังอดรู้สึกจั๊กจี้หัวใจไม่ได้ และยิ่งเป็นเพราะน้ำเสียงของเขานั้นยังน่าฟัง เมื่อดังเข้ามาในใบหูของนางอย่างไร้ที่ติก็ ไพเราะเสียจนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นหอมสะอาดเฉพาะตัวของเขาด้วย 

 

 

เหมือนในจินตนาการ ฉู่ป๋ายที่เป็นคนเย็นชาอยู่เสมอมากลับกล้าที่จะพูดประโยคน่าอายเช่นนี้ออกมาได้ หากคนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ตกใจเสียจนต้องอ้าปากค้างเลยหรือ? แม้แต่อวี้อาเหราเอง ตอนนี้ก็ตกใจเสียจนไม่อาจเรียกคืนสติได้ เมื่อถูกหิมะเย็นๆ ตกกระทบใส่หน้า นางจึงค่อยได้สติขึ้นมา 

 

 

เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าฉู่ป๋ายทายาได้ดีมาก เพียงไม่ช้าพิษที่อยู่ในนิ้วของนางก็ค่อยๆ หายไป 

 

 

อวี้อาเหราดึงมือของตัวเองออกจากมือของเขา ตอบด้วยน้ำเสียงสะบัดกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ข้าไม่ได้อยากจะใช้ยาของเจ้า อย่าได้ด่าทอที่ข้าบาดเจ็บ ของพวกนี้เจ้าเหลือเอาไว้ให้คุณหนูเซิ่นและจวินเสวียนจีเถิด พวกนางจะต้องชอบแน่” 

 

 

“เจ้ายังจะพูดขึ้นมาอีกหรือ” เขาได้ยินชื่อของคนทั้งสองแล้วก็ไม่ค่อยพอใจนัก ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา 

 

 

“ไม่พูดแล้ว” หางตาของอวี้อาเหราทอดมองท่าทีของเขา จึงหุบปากอย่างรู้งาน  

 

 

ดูแล้ว เขาคงจะไม่ชอบอวิ๋นเซิ่นกับจวินเสวียนจีเสียกระมัง? 

 

 

เมื่อคิดขึ้นมาในยามนี้ ในใจของนางก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง 

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นนางนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา ก็เงยหน้าขึ้นมองหิมะห่าใหญ่ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปกวาดเอาหิมะขาวบนศีรษะของนางออกให้หมด ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสศีรษะของนาง อวี้อาเหราชะงัก มองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึง เมื่อเห็นสายตาอบอุ่นของเขาเข้านางก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้าง 

 

 

เป็นเพราะจินตนาการของนางเองจนทำให้มองผิดไปหรือ? 

 

 

เหตุใดสีหน้าที่มักจะเฉยชาของเขาจึงมีกระแสความอบอุ่นอยู่ในสายตาไปได้เล่า 

 

 

สายตาของเขาช่างอบอุ่นยิ่งนัก อบอุ่นเสียจนราวจะดึงดูดคนที่มองเห็นเข้าไปในนั้นด้วย 

 

 

ในใจของอวี้อาเหราก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ว่านางไม่อาจถูกสายตาของเขามอมเมาไปได้ นางจึงสะบัดหน้าออกมาอย่างแรง ก่อนจะมองไปทางรถม้าแล้วกล่าวว่า “พวกเรากลับจวนกันเถิด” 

 

 

“ตกลง” ฉู่ป๋ายไม่ว่าอะไร จึงจูงมือของนาง อวี้อาเหราก้าวไปข้างหน้าก่อนเพื่อที่จะหลบหน้าเขา 

 

 

ในที่สุดเขาก็สังเกตถึงท่าทีผิดปกติของนางแล้ว จึงก้มหน้าลงมา “เจ้ากำลังหลบข้าหรือ?” 

 

 

“ไม่นี่” อวี้อาเหราใจกระตุก แต่ท่าทีกลับนิ่งสงบยิ่งนัก ราวกับไม่มีท่าทีอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ดวงตาทั้งสองของฉู่ป๋ายมองมองเข้าไปในดวงตานางอย่างทะลุปรุโปร่ง จ้องมองเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา 

 

 

ความนิ่งเงียบของเขาทำให้อวี้อาเหรานึกกลัว นางรีบเงยหน้าขึ้นพลางยิ้ม “เจ้าจ้องข้าทำไมกัน? รีบกลับกันได้แล้ว มิเช่นนั้นหากฟ้ามืดแล้วคงกลับลำบาก” 

 

 

“หากเจ้าไม่พูดออกมา ก็อย่าคิดว่าจะได้กลับ” ฉู่ป๋ายรั้งแขนของนาง เพื่อหยุดเอาไว้ไม่ให้นางไป อวี้อาเหราคิดไม่ออก ทำได้แต่เพียงยืนอยู่ที่เดิมแล้วจ้องมองเขา “เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ” 

 

 

“เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้ ข้าไม่ใช่คนโง่” ฉู่ป๋ายเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

อวี้อาเหราก้มหน้าลงยิ้มขื่น เขามองทะลุถึงจิตใจของนาง เพียงปราดเดียวก็สามารถมองท่าทีที่เปลี่ยนไปของนางออก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองก็ไม่ใช่คนเลอะเลือน ไม่อาจแสดงสีหน้าโง่ออกมาให้เห็นได้ ไม่ต้องคิดมาก นางก็พยักหน้ายอมรับด้วยตัวเอง แล้วพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 632 ห้ามหลบหน้าข้า 

 

 

 

 

 

“ใช่ ข้ากำลังหลบหน้าเจ้า เพราะว่าเจ้าเป็นเซิ่นซื่อจื่อ ข้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง ต่อไปจะต้องแต่งงานกับรัชทายาท เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาไปพูดกัน พวกเราควรรักษาระยะห่างกันไว้ เรื่องวันนี้ให้ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าจำอะไรไม่ได้อีกต่อไป” 

 

 

ฉู่ป๋ายหัวเราะเยาะขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นเป็นเสียงเย้ยหยันที่แสนสั้น ทว่ากลับโจมตีที่กลางใจของอวี้อาเหรา 

 

 

“อวี้อาเหรา เจ้าคิดว่าจะทำเรื่องทั้งหมดโดยไม่รับผิดชอบหรือ? เจ้าอยากที่จะสมรสกับรัชทายาทถึงเพียงนี้เชียวหรืออย่างไร หากหลิงอ๋องทราบว่าเจ้าและข้าทำเรื่องพรรค์นั้นกันในรถม้า เจ้าคิดว่าจะรักษาตำแหน่งพระชายารัชทายาทเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ?” 

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร” อวี้อาเหราหรี่ตาลงมอง 

 

 

ไม่ใช่ว่านางอยากที่จะรักษาระยะห่าง แต่เป็นเพราะนางนั้นไม่ใช่คุณหนูรองหลิง ต่อไปหากสถานะถูกเปิดเผย จะต้องให้นางเลือกหนทางชี้เป็นชี้ตาย แม้ว่าจะมีความรู้สึกต่อฉู่ป๋ายที่แตกต่างจากผู้อื่นอยู่บ้าง แต่นั่นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางจะไม่ยอมให้เขาเข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเองแน่ 

 

 

จำเอาไว้ว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นอุทิศทุกอย่างเพื่อจวินฉางอวิ๋น แต่นางกลับต้องมาตกหน้าผาตายเป็นการตอบแทน 

 

 

ผู้ชายพวกนี้ก็มีดีอะไรกัน? นางไม่อาจรับรองได้ว่าฉู่ป๋ายเป็นคนเช่นไรกันแน่ เขาเป็นคนที่ลึกซึ้งยิ่งนัก อย่างไรก็ไม่อาจเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ บุรุษเช่นนี้ก็ยากเหลือเกินที่จะรับมือด้วย ต่อไปคงจะต้องเสียใจแน่ สู้จัดการไม่ให้เกิดอะไรขึ้นมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า 

 

 

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วขึ้นสูงยิ่งขึ้น 

 

 

“ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยว่า อย่าได้พูดจาส่งเดชต่อหน้าคนอื่นเป็นอันขาด ไม่เพียงแต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อข้าเท่านั้น แต่เจ้าเองก็อย่าหวังว่าจะมีจุดจบที่ดีเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเถิด” อวี้อาเหราเอ่ยกึ่งข่มขู่เพื่อไม่ให้เขาพูดเรื่องที่เขาจูบนางวันนี้ 

 

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจหรือ?” ฉู่ป๋ายถามขึ้นอย่างขบขัน ขณะที่พูดก็เลิกคิ้วขึ้นสูงจนดูเหมือนจะเทียมฟ้าเสียแล้ว แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูแผ่วเบา แต่ความหมายในคำพูดก็ฟังดูหนักแน่นเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นความหยิ่งผยองที่กลายเป็นเขา หรือเขาเองกันแน่ที่เป็นความหมายของคำว่าหยิ่งผยองเสียเอง 

 

 

อวี้อาเหราเงียบงันไป ในความทรงจำของนางนั้น อีกฝ่ายเป็นนักเลงเจ้าชู้ไม่สนใจเรื่องใดๆ เลยขนาดไหนนางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะฉะนั้นจะให้ทำเช่นไรได้ นี่ก็คงไม่มีหนทางแล้ว ทำได้แต่เพียงควบคุมอารมณ์ให้สงบ แล้วเงยหน้าขึ้นถามเขาว่า “แล้วเจ้าคิดเอาอย่างไร” 

 

 

“ง่ายมาก” มุมปากของฉู่ป๋ายโค้งขึ้น “ห้ามหลบหน้าข้า” 

 

 

เพียงแค่นั้นเองหรือ? อวี้อาเหราได้ยินแล้วก็ชะงัก  

 

 

ราวกับฉู่ป๋ายมองออกถึงใบหน้าเคลือบแคลงของนางเข้า จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น  

 

 

อวี้อาเหราคลี่ยิ้ม “ตกลง ข้ารับปากเจ้า” 

 

 

ข้อเสนอของเขาไม่ได้มากจนเกินไป นางแทบจะไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย 

 

 

“ขึ้นรถสิ” ฉู่ป๋ายพยุงนางขึ้นรถม้าไป 

 

 

เมื่อหานสือเห็นทั้งสองก้าวขึ้นรถมาพร้อมกันแล้ว โดยที่ซื่อจื่อของเขามีรอยยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบัง ไม่เหมือนกับยามที่เพิ่งออกมาจากจวนหลิงอ๋องเลยแม้แต้น้อย ดูแตกต่างราวฟ้ากับดิน เสมือนดั่งท้องฟ้าที่แปรปรวนเพราะห่าฝนที่สว่างสดใสในชั่วพริบตา รอยยิ้มเต็มใบหน้า ความมั่นอกมั่นใจแผ่ขยายไปทั่วใบหน้าที่องอาจนั้น 

 

 

เขาก็ไม่ค่อยได้เห็นซื่อจื่อที่ยิ้มแย้มถึงเพียงนี้เลย 

 

 

เมื่อมองไปยังหิมะขาวที่โปรยอยู่บนกาย ความอึดอัดคับข้องใจคงถูกหิมะขาวชะล้างจนสะอาด เขาขับรถไปยังจวนหลิงอ๋องอย่างเบิกบาน 

 

 

อวี้อาเหรานั่งอยู่บนรถ แอบมองสำรวจชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เมื่อหวนคิดขึ้นมาในเรื่องทั้งหมด มุมปากก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเหนื่อยหน่าย ที่แท้ ฉู่ป๋ายยอมเสียเวลามากมาย ก็เพียงเพราะเขาโกรธเท่านั้น ตอนนี้ความอึดอัดสลายหายไปแล้ว ความโกรธขึ้งจึงหายไปด้วย จึงมีรอยยิ้มใบหน้าแทน 

 

 

ท่าทีเช่นนี้ของเขา เมื่อกลับสู่จวนหลิงอ๋องแล้วต้องทำให้ผู้พบเห็นตกใจแน่