1805-4 vs 1806-1 vs 1806-2 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 1805-4
แต่เช่นเดียวกัน โลกนี้มักจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้จักเคารพและหวั่นเกรงอยู่ในใจ เหมือนอย่างที่เนลสัน แมนเดลล่าว่าไว้ หากท้องฟ้ามืดมิด ก็จงใช้ชีวิตกับมันให้ได้ ถ้าหมดแรงจุดไฟสว่าง ก็จงมุดตัวอยู่ที่กำแพง อย่าปกป้องความมืดมิดเพราะตัวเองชินแล้ว อย่ายินดีที่ตัวเองเอาชีวิตรอดอย่างน่าละอาย อย่าเหยียดหยามคนที่กล้าหาญมีน้ำใจสูงกว่าตัวเอง พวกเราสามารถเจียมตัวเหมือนเป็นผงธุลี แต่อย่าทำตัวบิดเบือนเหมือนหนอนแมลง ท้องฟ้าย่อมสว่างเสมอ ไม่ว่ามันจะเคยดำมืดแค่ไหน
เมื่อก่อนป๋อจิ่วก็ไม่เคยเชื่อคำพูดดังกล่าว เพราะเวลาอยู่ตัวคนเดียว มันทรมานใจมาก ไม่มีใครเข้าใจว่าเราพูดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าเราหดหู่เรื่องอะไร ต่อมาเวลาที่เศร้าใจ มักจะมีคนกอดเราไว้ในอ้อมแขน แล้วถามขึ้นด้วยเสียงเบาว่า ‘เธอโง่หรือเปล่า?’
ป๋อจิ่วรู้สึกว่าเธอไม่มีวันเจอกับคนแบบนี้อีกแล้ว คนที่ทั้งปากเป็นพิษและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน เธอเคยคิดอยู่หลายครั้งว่า คนที่ขาวสะอาดจะทำตัวเป็นแสงจากโคมไฟไม่ได้ เพราะอ่อนแอเกินไป ทนคลื่นลมไม่ไหว ไม่เหมือนเขาคนนั้น คนที่มุ่งมั่นแข็งแกร่งเสมือนเทือกเขาคุนหลุน ไม่เพียงแต่จะจุดไฟให้สว่าง แต่ยังทำตัวเป็นเงาจันทร์และดวงตะวันได้ทุกเวลา ดังนั้นเธอถึงได้รักมากๆ
ป๋อจิ่วรู้ว่าตัวเองเริ่มจะหมดสติ เธอซบศีรษะที่พวงมาลัย ไม่รู้ว่าทำไมถึงโกรธหน่อยๆ พอจะขยับก็พบว่าประตูรถถูกเปิดออก จากนั้นอ้อมแขนที่เย็นนิดๆ ก็เข้ามาโอบล้อม ป๋อจิ่วลืมตาไม่ขึ้น แต่จมูกทำงานดีมาก สัมผัสได้ถึงรสมินต์ของบุหรี่ที่เคยคุ้น ทำให้เธอคิดว่าตัวเองไข้ขึ้นเลอะเลือน จึงรู้สึกว่ามีคนมากอด บางทีอาจเป็นเพราะเธอคิดถึงใครบางคนมากไป
เธอบอกตัวเองเช่นนี้ เหมือนมีอะไรเย็นๆ มาแนบบนหน้าผาก จากนั้นแรงกอดก็หนักขึ้น เธอยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยตกอยู่ในอาการมึนงง เสียงที่คุ้นเคยก็ลอยเข้าหู “ป๋อเสียวจิ่ว”
เอ๋? เรียกชื่อเธอเหรอ
“เธอโง่หรือเปล่า?” ฉินมั่วกำลังโกรธตัวเอง ในเมื่อฟื้นความทรงจำได้แล้ว ย่อมต้องรู้ว่าทำไมเธอถึงไข้ขึ้นสูง เขาโน้มตัวเข้าไปวัดไข้ที่หน้าผากเธอ ทรวงอกเหมือนเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
ป๋อจิ่วขมวดคิ้วมุ่น เธอไม่อยากโดนด่าว่าโง่ในขณะที่ป่วย แล้วอีกฝ่ายเป็นท่านเทพจริงๆ เหรอ ไม่น่าเป็นไปได้เลยนะ พอคิดแบบนี้ก็อยากขยับ ทว่ากลับมีคนรั้งมือเธอไว้ก่อน แล้วกักเธอไว้ในอ้อมกอดที่อบอุ่น ราวกับกลัวว่าเธอจะหนาว ก่อนจะดึงมือเธอมาซุกไว้ในเสื้อตัวเอง เมื่อฝ่ามือเธอแนบกับผิวหนังเขา นิ้วมือจึงไม่เย็นอีกต่อไป
ป๋อจิ่วไม่ได้เห็นหน้าฉินมั่วในเวลานี้ ยิ่งไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉินกำลังใช้วิธีนี้ให้ความอบอุ่นแก่เธอ
ทว่าคนที่รู้ทั้งหมดก็คือเสี่ยวเฮย แม้จะมันไม่มีดวงตาก็ตาม มันคิดไม่ถึงว่าจอมมารที่เย็นชาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ จะใช้วิธีนี้ให้ความอบอุ่นต่อเจ้านาย ตอนนี้ข้างนอกคงหนาวมากสินะ ถึงได้ดึงมือเจ้านายเข้าไปซุกในเสื้อตัวเอง เพื่อจะให้เจ้านายของมันสบายขึ้น
บ้าจริง กระทั่งมันเองยังเชื่อว่าจอมมารรักเจ้านายอย่างสุดหัวใจ เพราะเหมือนจะได้ยินเสียงแผ่วเบาราบเรียบดังขึ้นว่า “ขอโทษนะ”
………………………………………………….
ตอนที่ 1806-1
ยากที่จะได้เห็นภาพจอมมารขอโทษ เสี่ยวเฮยรู้สึกว่าตัวเองตกใจแทบแย่ ระบบจีพีเอสสะบัดคลื่นโคลงเคลงหน่อยๆ
“เสี่ยวเฮย” จู่ๆ ก็โดนเรียกชื่อ รถอย่างมันจึงผงะ แต่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉินมั่วเอียงมือส่งป๋อจิ่วไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ ก่อนจะกุมพวงมาลัยด้วยมือข้างหนึ่งพลางเลิกคิ้ว “อยากจะให้ฉันสาดน้ำใส่นายใช่ไหม”
เสี่ยวเฮยจึงไม่เสแสร้งอีกต่อไป รีบเปิดไฟรถทันที ฉินมั่วจึงเอ่ยเสียงเรียบ “หาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้แถวนี้ที่สุด”
“ตอนนี้เริ่มจับตำแหน่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้…” เสียงของเสี่ยวเฮยยังไม่จบ รถแลมโบกินีก็แล่นบนถนนลาดยางราวกับสายลม
อาการไข้ขึ้นช่างทรมาน โดยเฉพาะข้อเข่าที่ปวดเมื่อยเป็นที่สุด เธอทั้งหนาวและร้อนระอุจากภายในไปถึงภายนอกจนทำให้สติของเธอไม่ชัดเจน
จุดที่รถแลมโบกินี่จอไม่ใช่โรงพยาบาลขนาดใหญ่สักเท่าไร หากไปโรงพยาบาลในเวลาที่ไม่ใช่ช่วงกลางคืน คนไข้ย่อมเยอะมาก จุดที่ไปเป็นคลินิกขนาดใหญ่ที่สะอาดมากแห่งหนึ่งแถวบริเวณเขตที่พักอาศัย ดูเหมือนจะมีคุณภาพสูง อุปกรณ์ครบครัน แต่คนที่มาหาหมอในเวลานี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กกับคนแก่ น้อยครั้งที่จะเห็นคนไข้ถูกอุ้มเข้ามา ทว่าคงเพราะความสูงของฉินมั่ว ทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดดูไม่เหมือนคนป่วย แต่กำลังหลับอยู่ มีเสื้อตัวนอกของเขาคลุมไว้ทั้งตัว
เจ้าหน้าที่อดมองมาไม่ได้ เพราะจะได้เห็นคนหล่อบ้างเป็นบางครั้ง แต่หนุ่มหล่อสง่าเช่นนี้ เรียกได้ว่าเห็นเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว ชายหนุ่มดูหยิ่งและสูงส่งชนิดไม่มีใครกล้าอาจเอื้อม แต่กลับมีมารยาท
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนจ้องมองก็คือ หลังจากที่เขาเข้ามาก็ไม่เคยปล่อยร่างในอ้อมแขน กระทั่งวัดไข้เขาก็ยังรับปรอทจากมือพยาบาลมาวัดให้ป๋อจิ่วด้วยตัวเอง
“39 องศา ไข้ขึ้นสูงมาก” พยาบาลเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นปรอท “ต้องตรวจเลือดนะคะ ดูว่ามีอาการอักเสบหรือเปล่า”
ฉินมั่วรับคำ อุ้มป๋อจิ่วเดินไปยังหน้าต่างชั้นสอง ทว่าเมื่อตรวจเลือดก็ต้องใช้เข็มเจาะ แต่ป๋อจิ่วไม่ยอมยื่นแขนออกไปสักที ฉินมั่วเห็นเธอขมวดคิ้ว จึงจุ๊บที่ฝ่ามือ ปลอบเพียงว่า “เป็นเด็กดี”
คงเพราะเป็นเสียงที่คุ้นเคยจึงได้ผล ป๋อจิ่วคลายแรง ทำให้เอาเลือดไปตรวจได้สำเร็จ
พยาบาลดูแล้ว “ต้องให้น้ำเกลือนะคะ คนไข้มีประวัติเป็นหอบหืด ไม่ทราบว่าแพ้ยาอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีครับ” ฉินมั่วพูดพลางไม่ลืมแนบฝ่ามือไว้ที่หน้าผากคนป่วยราวกับทำแบบนี้จะส่งผลให้เธอดีขึ้น
พยาบาลเห็นแล้วอยากถ่ายรูปส่งให้แฟนเธอดูจริงๆ เมื่อต้องคุยกับหนุ่มหล่อ น้ำเสียงจึงดีมาก “เตียงของผู้ป่วยหมายเลข 0271 นะคะ นี่คือใบสั่งยา เดี๋ยวฉันเตรียมยาเสร็จแล้วจะไปหานะคะ”
ฉินมั่วเอ่ยขอบคุณ ทิ้งแผ่นหลังที่ทำให้ใครๆ ต่างอดมองดูไม่ได้ เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลต่างสุมหัวกัน “ใครอะ? ไม่ได้อยู่ในเขตนี้แน่ ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน หล่อกว่าดาราอีกแฮะ หล่อมากจริงๆ น่าเสียดายที่มีเจ้าของแล้ว”
พอจะรับรู้ถึงความเสียดายที่ผสานอยู่ในเสียงนั่นออก ถึงที่นี่จะเป็นคลินิกชั้นเยี่ยม แต่ก็ไม่มีห้องเดี่ยวห้องหนึ่งจะมีเตียงผู้ป่วยสองเตียง เตียงข้างในถูกจับจองไว้แล้ว เป็นเด็กชายตัวน้อยที่กำลังดื่มนมเปรี้ยว เอนตัวนอนรับน้ำเกลือ ไม่รู้ว่าแม่เด็กไปที่ไหน
………………………………………………….
ตอนที่ 1806-2
ฉินมั่ววางร่างป๋อจิ่วลงบนเตียงอีกเตียงหนึ่ง พวกเจ้าหน้าที่จึงได้เห็นคนที่เขาอุ้มมาอย่างชัดเจน ถึงกับตะลึงสติหลุด ใบหน้าดูดีนั่นแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ตอนนี้น่าจะไข้ขึ้นสูง แก้มทั้งสองข้างแดงนิดๆ น้อยครั้งจะได้เห็นผู้ป่วยที่ป่วยได้สวยอย่างนี้ แต่พอจะเห็นได้ว่าผู้ป่วยไม่สบายตัวมาก เรียวปากแห้งกรัง เส้นผมแนบหน้าผาก คิ้วขมวดมุ่น
พยาบาลเอาอุปกรณ์มาเพื่อจะให้น้ำเกลือ เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนที่หน้าตาดีเลิศขนาดนี้ พอเห็นเข็มปุ๊บก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
ฉินมั่วเห็นทุกอย่าง จึงหันไปรั้งตัวป๋อจิ่วให้เอนตัวในอ้อมแขนตัวเอง ก่อนจะยกมือขวาของเธอขึ้น “เป็นเด็กดีหน่อย เดี๋ยวก็หาย”
พยาบาลยืนประหลาดใจอยู่ด้านข้าง เธอคิดไปเองรึเปล่าว่า ผู้ป่วยคนนี้จะไว้วางใจก็พอเมื่ออยู่กับแฟนตัวเอง แต่เธอเองอยู่ในคลินิกแห่งนี้มานาน น้อยครั้งที่จะได้พบกับผู้ชายคนไหนมีความอดทนสูง พูดตรงๆ คือ เธอเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกันกับเด็กน้อยที่ให้น้ำเกลือด้วยป่วยเป็นไข้หวัด ซึ่งมองดูอยู่ข้างๆ บังเอิญแม่เด็กกลับมาพอดี เขาก็นั่งตัวตรง “คุณแม่ คุณแม่ พี่คนนั้นโอ๋แฟนแบบคุณแม่เลย”
แม่เด็กรู้สึกว่าลูกเองยากจะเยียวยา รู้ด้วยว่าชายหนุ่มด้านข้างต้องได้ยินแน่ จึงหันไปยิ้มขออภัย ก็ได้เห็นคนที่อ้อมแขนเขาเหมือนไม่สบายมาก อยากจะขยับมือข้างที่ให้น้ำเกลืออยู่ ทว่ากลับโดนเขาห้ามไว้ เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่พอจะรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนในเสียงนั่น “ทรมานเหรอ? อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวน้ำเกลือก็หมดแล้ว”
เด็กชายเห็นแล้ว ก็ส่ายหน้าเป็นจริงเป็นจัง “ไม่ ไม่เหมือน แค่หนูกระดุกกระดิกนิดเดียว แม่ก็ดุหนูแล้ว”
ในฐานะที่เป็นแม่ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ได้แต่กระแอมกระไอเบาๆ “กินนมเปรี้ยวของลูกซะ”
เด็กน้อยทอดถอนหายใจ เขาก็มีไข้เหมือนกัน แต่ทำไมต่างกันอย่างนี้ เขาล่ะคิดว่าแค่นี้ก็เจ็บปวดพอแล้ว ไม่คิดว่าพี่รูปหล่อจะแกะลูกอมแล้วหันมาป้อนให้คนป่วยในอ้อมแขนตัวเอง
เด็กน้อยเงยหน้ามอง “คุณแม่ หนูอยากกินลูกอมบ้าง”
คุณแม่จนปัญญาชั่วขณะ หนุ่มสาวสมัยนี้ปฏิบัติต่อกันอย่างนี้เลยเหรอ? ใส่ใจเสียยิ่งกว่าเธอเลี้ยงลูกอีก
ทำไมเธอถึงไม่หาสามีแบบนี้บ้างนะ! ยังดีที่น้ำเกลือของเด็กน้อยใกล้หมดแล้ว แต่ด้วยเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แม่ลูกคู่นี้ต้องตกตะลึงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
เด็กน้อยหันมามอง “คุณแม่ หนูก็ไม่ใช่คนเรื่องมากนะ แต่ตอนที่คุณแม่เป็นไข้ ก็ไม่เห็นคุณพ่อจะทำแบบนี้บ้างเลย”
“พ่อแกมันแล้งน้ำใจ…” คุณแม่ชะงัก ก่อนจะยิ้มแทน “ต่อไปในอนาคต ลูกก็ต้องดีกับแฟนหน่อยนะ ทำเหมือนพี่เขา เข้าใจไหม?”
เด็กน้อยพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ นี่ พี่ผู้หญิงที่อ้อมแขนของพี่ผู้ชายเป็นคนป่วยแท้ๆ แต่ทำไมพี่ผู้ชายเหมือนจะเจ็บปวดเสียเอง
หลังจากที่สองแม่ลูกออกไป ก็เหลือเพียงฉินมั่วและป๋อจิ่วอยู่ในห้อง คนในอ้อมแขนยังไม่ฟื้น ฉินมั่วก็ไม่เปลี่ยนกิริยาท่าที เขาถือแก้วกระดาษด้วยมือข้างเดียวแล้วจรดลงที่เรียวปากเธอ
…………………………………………………