กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 968

“ชิ้ว……”

นกพิราบตัวหนึ่งบินออกมา และน่าแปลกที่เท้าของนกพิราบตัวนั้นมีเลือดไหลออกมา เลือดได้หยดลงที่ผนังของประตูหิน ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กู้ชูหน่วนกล่าว “เจ้านำนกพิราบติดตัวมาด้วยอย่างนั้นหรือ”

“เกรงว่าผนังประตูหินนี้ นอกจากเลือดของเจ้าแล้ว ใครก็ไม่สามารถเปิดออกได้กระมัง”

นิ้วมือของเหวินเส่าอี๋ชี้ออกไป และนกพิราบตัวนั้นก็เข้าใจและบินไปทางที่ออกมา

กู้ชูหน่วนหัวเราะยิ้มและกล่าวว่า “หรือว่า……พวกมันจะจดจำเฉพาะคนที่มาถึงเป็นคนแรก จึงได้ยอมรับเฉพาะเลือดของข้า”

“มู่หน่วน ทางที่ดีเจ้าควรจะอธิบายเหตุผลที่แท้จริงกับข้า”

“มันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก วังใต้ดินนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นคนสร้างขึ้นมา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเลือดของข้าสามารถเปิดแผงควบคุมผนังประตูหินของเส้นทางลับได้ เจ้าจะเข้าไปหรือไม่ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้อยากเข้าไปตั้งแต่แรก”

“เดินต่อไปข้างหน้า”

เหวินเส่าอี๋สงสัย ทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรมาก และเพียงแค่บอกให้นางนำทางเดินต่อไปข้างหน้า และในขณะเดียวกันก็พยายามนึกถึงความเกี่ยวข้องระหว่างกู้ชูหน่วนและวังใต้ดินแห่งนี้

เดินไปเดินมาโดยที่ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าได้เดินมานานมากเท่าไร และความอดทนของเหวินเส่าอี๋ก็กำลังจะหมดไป

“เจ้ารู้ทางจริงหรือไม่”

“ใจเย็นๆ ที่นี่มีเส้นทางสลับซับซ้อน และดูเหมือนว่าเส้นทางจะไม่เหมือนกับที่ข้ามาในครั้งแรก ข้าก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย”

กู้ชูหน่วนยกนิ้วขึ้นมาสาบาน

นางเดินวนไปวนมาจนสับสนไปหมดแล้ว

และทันใดนั้น เขาก็เริ่มเข้าใจซึ่งสาเหตุที่จักรพรรดินีผู้ซึ่งมีวรยุทธ์ถึงระดับเจ็ด กลับไม่สามารถไล่ตามนางและท่านผู้เฒ่าหนิงที่หลบหนีออกไปได้ทัน

หากเป็นเขา เขาก็คงไล่ตามจนปวดหัว

เดินต่อไปเป็นเวลานาน กู้ชูหน่วนอดไม่ได้และหันหลังกลับไปมองเหวินเส่าอี๋ “ที่นี่คงไม่มีค่ายกลอะไรแอบซ่อนอยู่ใช่หรือไม่ เหตุผลเราถึงได้เดินไปไม่ถึงเสียที”

“คงไม่มีค่ายกลอะไร แต่เป็นเพราะที่นี่มีขนาดใหญ่อย่างมาก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าวังหลวงหลายเท่า หากข้าเดาไม่ผิด ตำแหน่งที่เรายืนอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นบริเวณชานเมือง”

เหวินเส่าอี๋นั่งลงและหยิบปิ่นหยกสีขาวของตัวเองออกมา จากนั้นวาดอะไรบางอย่างลงไปที่พื้น

กู้ชูหน่วนขยับเข้าไปใกล้และตั้งใจดู จากนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง

“เสี่ยวหูเตี๋ย ความจำของเจ้าช่างดีเหลือเกิน เราเดินอยู่ภายในนี้มาตั้งนาน เจ้ายังสามารถจดจำทางแยกทุกทางได้อย่างแม่นยำ ไม่เลวเลยทีเดียว”

“ข้าไม่สามารถจำได้ทั้งหมด นี่เป็นเพียงการคาดการณ์”

“เพียงพอแล้ว ไปกันเถอะ เราเดินไปทางนี้กันเถอะ”

กู้ชูหน่วนชี้ไปทางหนึ่ง และคว้ามือของเหวินเส่าอี๋เดินตรงไป

เหวินเส่าอี๋ผละมือออกจากนางและรักษาระยะห่างระหว่างนางเอาไว้

“ทางที่ดีเจ้าควรจะตัดสินใจให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยเดินต่อไป อย่าทำให้เกิดข้อผิดพลาดอีก”

“วางใจได้ ไม่มีทางพลาดอย่างแน่นอน”

กู้ชูหน่วนเดินต่อไปตามทางแยกแล้วทางแยกเล่า

นางรู้สึกแปลกใจอย่างมาก นางและเหวินเส่าอี๋เดินเข้ามาไกลมากเช่นนี้แล้ว เหตุใดจักรพรรดินีตัวปลอมถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมา?

เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่รู้อะไรเลย

หรือว่าจักรพรรดินีตัวปลอมก็หลงทางเช่นเดียวกับนาง?

“ซือ……”

กู้ชูหน่วนปวดศีรษะ มีแสงปรากฏขึ้นที่หน้าผากของนางและดวงวิญญาณบนหน้าผากก็เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

ร่างกายของเหวินเส่าอี๋สั่นสะท้านเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลางดงามปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ดวงวิญญาณกำลังส่งสัญญาณถึงกันอย่างแน่นอน

ดวงวิญญาณดวงที่ห้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โกหกเขาจริงๆ ด้วย

“ดวงวิญญาณนั้นน่าจะอยู่ที่นั่น”

กู้ชูหน่วนชี้ไปข้างหน้า

“ไปกันเถอะ” เหวินเส่าอี๋เดินนำไปโดยไม่พูดอะไร เขาคิดอยากจะได้ครอบครองดวงวิญญาณดวงนั้นให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นที่สุด และจากนั้นจึงค่อยแย่งชิงขวานผานกู่

กู้ชูหน่วนจ้องมองเหวินเส่าอี๋ที่เดินออกไปไกล โดยไม่เดินตามไป ทว่านางกลับคิดจะหนีออกไปอีกเส้นทางหนึ่ง

ทว่านางหนีไปได้ไม่เท่าไรก็ถูกเหวินเส่าอี๋จับกลับไปได้

นางกล่าวขึ้นมาอย่างโมโห “ดูเหมือนทางนั้นจะมีอะไรผิดปกติ ข้าจะไปดูเสียหน่อย”

คนโง่ก็พอจะรู้ว่าสิ่งที่กู้ชูหน่วนพูดมาคือเรื่องโกหก

หากมีดวงวิญญาณอีกดวงจริง หน้าผากของนางก็สัมผัสรับรู้ได้ตั้งนานแล้ว

เหวินเส่าอี๋ไม่คิดจะฉีกหน้านาง และเพียงจ้องมองนางเท่านั้น

กู้ชูหน่วนหน้าแดงเดือดด้วยความโมโหและเปลี่ยนเรื่องพูด “ดูเหมือนว่าข้าคงคิดไปเอง ไปกันเถอะ เราไปตามหาดวงวิญญาณดวงที่ห้ากันเถอะ”

หลังจากเดินไปข้างหน้าอยู่นาน ในที่สุดก็เดินมาถึงบริเวณโถงหินที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง

ตรงกลางของโถงหินมีแท่นบัววางอยู่ และบนแท่นบัวก็ได้มีแจกันวางอยู่หนึ่งอัน

ไม่รู้ว่าแจกันนั้นทำมาจากอะไร แจกันมีลักษณะสีดำและดูเหมือนมีกลิ่นหอมจางๆ ออกมา

และหลังจากที่กู้ชูหน่วนมาถึง ขวดนั้นก็ได้เปล่งแสงสีขาวสาดสะท้อนมาที่ดวงวิญญาณบนหน้าผากของนาง

ใบหน้าของเหวินเส่าอี๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม คาดว่าคงจะนึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาระหว่างกู้ชูหน่วน ทว่าไม่นานรอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไป

กู้ชูหน่วนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้ครอบครองดวงวิญญาณดวงที่ห้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นางยิ้มและกล่าวว่า “ดูสิ ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ความจริงใจในครั้งนี้ เจ้าพอใจหรือไม่”

เหวินเส่าอี๋เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวและก้าวขึ้นไปคิดจะหยิบแจกันนั้นออกมา

กู้ชูหน่วนห้ามเขาไว้ “ระวังจะมีกับดัก”

เหวินเส่าอี๋สะบัดแขนเสื้อ และหลังจากความเยือกเย็นเข้าปกคลุม แผงควบคุมบนผนังหินก็ได้พังทลายลงมา

“ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลมากเกินไป เจ้าหยิบเถอะ รีบหยิบดวงวิญญาณแล้วเรารีบออกไปจากที่นี่”

“ชิ้ว……”

ไม่รู้ว่าเหวินเส่าอี๋ลงมือตั้งแต่เมื่อไร มีแท่งน้ำแข็งรายล้อมไปยังแจกันดอกไม้และแท่งน้ำแข็งแท่งหนึ่งก็ได้สัมผัสไปโดนแจกัน ทว่าแจกันนั้นกลับไม่เป็นอะไร ดูไปแล้วคงไม่มีกับดักอะไรแอบซ่อนอยู่

หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆ เหวินเส่าอี๋จึงได้ลงมือดูดแจกันเข้าไปในฝ่ามือ

มันสายเกินไปที่จะพูดออกมา และขณะที่เหวินเส่าอี๋กำลังจะลงมือนั้น ก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องและประตูหินในที่ลับก็ถูกระเบิดออก ผู้หญิงที่สวมชุดสีเหลืองลายมังกรเดินออกมาด้วยสายตาแห่งความชั่วร้าย

แม้ว่านางจะอายุมากแล้ว ทว่านางดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และดูไม่ออกเลยว่านางอายุเท่าไร

หน้าตาของนางก็พอดูได้ ทว่ารัศมีความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนางนั้น ทำให้รู้สึกขนหัวลุกอย่างมาก

“จักรพรรดินี……” เหวินเส่าอี๋เปล่งเสียงออกมา และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

กู้ชูหน่วนไม่ได้ระแวดระวังเหมือนอย่างเหวินเส่าอี๋ สำหรับจักรพรรดินีแล้วนั้น นางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว นางรู้สึกเพียงรังเกียจและเกลียดแค้นเท่านั้น

สภาพการตายของท่านผู้เฒ่าหนิงยังคงตราตรึงอยู่ในหัวของนาง

และภาพที่ลั่วอิ่งถูกนางทรมานก็ยังตราตรึงอยู่ในหัวของนาง

นางจะไม่รังเกียจจักรพรรดินีได้อย่างไร

กู้ชูหน่วนเก็บความโกรธแค้นเอาไว้และหัวเราะออกมาอย่างมีสติ “เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งจะปรากฏตัวออกมาตอนนี้ ข้าก็คิดว่าเจ้าจะมอบดวงวิญญาณดวงนั้นให้พวกข้าเสียแล้วซะอีก แต่ไม่ว่าเจ้าจะให้หรือไม่ให้ บุรุษหนุ่มรูปหล่อข้างกายของข้าผู้นี้ก็จำเป็นต้องได้ดวงวิญญาณมาครอบครอง”

จักรพรรดินีค่อยๆ จัดระเบียบชุดลายมังกรของนางและจ้องมองเหวินเส่าอี๋ ชายหนุ่มรูปงามที่สวมหน้ากากผีเสื้อ จากนั้นได้กล่าวขึ้นมา “เจ้าช่างรู้ดี รู้ว่าควรจะมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังพาคุณชายรูปงามมาด้วยอีกหนึ่งคน”

“เจ้าช่วยเขารวบรวมดวงวิญญาณให้ครบ ไม่แน่เขาอาจจะยอมพลีกายให้กับเจ้า ไม่เชื่อเจ้าลองถามเขาดู”

เหวินเส่าอี๋รู้สึกรังเกียจจักรพรรดินี แต่ก็อยากจะได้ครอบครองดวงวิญญาณ มุมปากของเขาขยับและเขาได้หัวเราะออกมา “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงโปรดมอบดวงวิญญาณดวงนั้นให้กระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ได้ เจ้าจะต้องอยู่คอยปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี”

กู้ชูหน่วนพูดแทรกขึ้นมา “เขาสมควรที่จะปรนนิบัติเจ้า เจ้าคิดจะแต่งงานกับเหวินเส่าอี๋มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? นั่นไม่ใช่เขาหรอกหรือ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังคิดหาวิธีโค่นล้มเจ้าอีกด้วย”

เหวินเส่าอี๋ขมวดคิ้ว

ผู้หญิงคนนี้……

นางยืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่?