เฉินฉางเซิงตัดสินใจแล้ว ไม่อาจรอให้หวังผ้อพ่ายแพ้แล้วค่อยลงมือ จากที่ยืนอยู่บนถนนได้เปลี่ยนมาเป็นกำแพงหน้าหลังสองด้าน มองดูแล้วโศกเศร้าอาดูรคลุกเคล้าไปด้วยความฮึกเหิม แต่ที่จริงแล้วไม่มีความหมายเลย ก่อนหน้าเขาคิดเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มีความมั่นใจอยู่เลย เพียงแค่คิดจะพยายามให้เต็มที่แล้วทำตามลิขิตฟ้า…เขาจะมีพรสวรรค์น่าตกตะลึงขนาดไหน อย่างไรก็เพิ่งบำเพ็ญเพียรได้เพียงหนึ่งปี ไม่ต้องพูดถึงเส้นชีพจรในร่างที่ยังคงขาดสะบั้นอยู่ เพียงแค่พูดถึงตอนนี้ การคิดจะต่อสู้กับแปดมรสุม นี่ก็เป็นเรื่องกำเริบเสิบสานน่าหัวร่อแล้วจริงๆ
เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้อีกสักพักตนชักกระบี่ออกมา ก็เพียงแค่เพื่อให้ได้ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ แต่ว่าในตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว เพราะว่าการล้มลงของผู้บำเพ็ญเพียรทุกคน ได้เพิ่มความมั่นใจให้กับเขาส่วนหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับทะลวงอเวจีก็ไม่อาจจะคุกคามเขาได้แล้ว เมื่อครู่ถึงขนาดมีผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งเข้าสู่ระดับรวบรวมดวงดาวได้ไม่นานผู้หนึ่ง ถึงกับถูกกระบี่ของเขาฟันกลางสายฝนจนล้มลง!
ถ้าหากไม่ใช่ว่าการต่อสู้ที่หัวถนนนั้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไป สะดุดตาเกินไป บางทีอาจจะมีผู้คนมากกว่านี้ที่สังเกตได้ว่าเฉินฉางเซิงกระทำเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการเหล่านี้ได้ ความก้าวหน้าที่ได้รับจากภายในสุสานเทียนซู ผลลัพธ์ที่ได้จากสวนโจว การเรียนกระบี่กับซูหลีตลอดการเดินทางลงใต้ เงาร่างของหวังผ้อกลางห่าฝน ภายในกระบี่นี้ปรากฏเป็นความสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นหวังผ้อฝืนยื้อเอาไว้อย่างยากลำบากท่ามกลางสายฝน เมื่อได้เห็นหยาดโลหิตที่ไหลออกมาจากร่างของเขาไม่หยุดถูกสายฝนชะจนเจือจาง ความมั่นใจอันเปี่ยมล้นกับปราณแท้ที่ค่อนข้างจะซับซ้อนทำให้ในใจของเฉินฉางเซิงเกิดความปรารถนาที่รุนแรงขึ้นมา…เขาอยากจะลองดูว่าตนจะสามารถแทงกระบี่ใส่จูลั่วได้หรือไม่ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นแปดมรสุมในตำนาน เขาก็ยังอยากจะแทงกระบี่นั่นออกไป พูดตามจริง เขาไม่รู้ว่าควรจะแทงกระบี่ออกไปอย่างไร กระบี่นี้ควรจะแทงไปยังที่ใด แต่เขาคิดว่าในเมื่อตนตัดสินใจจะชักกระบี่ออกมา เช่นนั้นหลังจากที่ชักกระบี่ออกมาแล้ว แน่นอนว่าจะเข้าใจได้เองว่าควรใช้กระบี่เช่นไร
เฉินฉางเซิงเดินผ่านพวกผู้บำเพ็ญเพียรที่ล้มลงอยู่กลางสายฝน เดินออกจากด้านหน้าม้าของซูหลีไปทางหวังผ้อ ในระหว่างที่เดินเขาก็เริ่มสงบจิตใจ ดวงตาก็ส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ
อีกฝ่ายคือจูลั่ว พลังในขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถสยบกระบี่สันดาปของเขาได้อย่างสบายๆ ต่อหน้าดวงจันทรา หิ่งห้อยจะสามารถส่องประกายได้อย่างไร เจตจำนงกระบี่บนถนนราวกับแสงจันทราล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ไม่อาจคาดคำนวณได้เลย แน่นอนว่ากระบี่รอบรู้ก็ไม่อาจใช้ได้ เช่นนั้นเขาควรจะใช้กระบี่อะไร กระบี่อะไรถึงจะเป็นกระบี่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
เฉินฉางเซิงรู้ว่ากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนคืออะไร
ที่ด้านบนสุสานโจว เขาเคยแทงกระบี่นั่นออกไปสู่ท้องฟ้าที่ถูกเงามืดปกคลุมไปกว่าครึ่ง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองในตอนนี้จะยังสามารถใช้กระบี่นั่นได้หรือไม่ เขาอยากลองดู
สมาธิของเขาไปรวมอยู่ที่กระบี่มังกรครวญ ในตอนนี้ได้ใช้ฝักเป็นด้ามจับกระบี่มังกรครวญ ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ในพริบตาที่สมาธิเข้ามารวมกัน ก็ได้ปลุกเหล่าวิญญาณที่อยู่ในกระบี่เหล่านั้นให้ตื่นขึ้น
เขาปลุกกระบี่พิการหมื่นวิถีขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะหยิบยืมเจตจำนงกระบี่มาใช้อีกครั้ง
มังกรดำเองก็ตื่นขึ้นมาด้วย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปราณแท้ของเขาได้แผดเผาขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายก็ร้อนขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ หยาดฝนที่ตกลงมาไม่หยุดเมื่อสัมผัสกับเสื้อของเขาก็กลายเป็นไอน้ำในชั่วพริบตา ปกคลุมบริเวณครึ่งตัวด้านบนของเขา เส้นชีพจรที่ขาดสะบั้นส่งเสียงที่ยากจะรับไหวออกมา ความเจ็บปวดรุนแรงกระจายจากทั่วร่างไปจนถึงห้วงแห่งจิต ในที่สุดปราณแท้ที่บ้าคลั่งก็ทะลวงผ่านสิ่งขีดขวางไปได้สำเร็จ และเคลื่อนมาถึงบริเวณข้อมือ เขาเตรียมตัวที่จะปล่อยกระบี่ออกมาแล้ว เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกับวิญญาณของมังกรดำที่อยู่ภายในกระบี่กลุ่มนั้นก็เตรียมการพร้อมแล้วอย่างเงียบๆ
แต่ในตอนนี้เอง อยู่ๆ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าสายฝนบนถนนโดยรอบได้มืดคล้ำลงมาอยู่บ้าง เป็นเพราะหมอกไอน้ำที่อยู่ตรงหน้าเขาพวกนี้พัดให้หมุนวนขึ้นไปหรือ ไม่ใช่เพราะว่าหมอก แต่เป็นเพราะมีคนปกปิดประกายแสงที่กระจายอยู่บนถนน
อยู่ๆ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างมาก
ร่างของเขาถูกสายฝนชโลมจนเปียกตั้งนานแล้ว ตามหลักการแล้ว ควรจะเฉยชาไปแล้ว แต่ว่าในนาทีนี้ เขากลับสามารถรู้สึกถึงสายลมอันเหน็บหนาวพัดผ่านช่วงคอของเขาไป
ไอเย็นราวกับมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ร่างกายของเขาแข็งค้างขึ้นมาจนไม่อาจขยับตัวไปได้
จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนได้ลืมเรื่องอะไรไป
นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง
พูดให้ชัดเจนก็คือ เขาลืมคนไปผู้หนึ่ง
คนผู้หนึ่งที่ไม่สามารถลืมไปได้
……
……
เขาแบกซูหลีเดินผ่านพื้นที่ราบหิมะมานับหมื่นลี้ จากอาณาเขตเผ่ามารจนกลับมาถึงโลกมนุษย์ ซึ่งมีมือสังหารผู้หนึ่งตามพวกเขามาโดยตลอด
มือสังหารผู้นั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก ดังนั้นซูหลีจึงดูถูกอีกฝ่ายอยู่บ้าง แน่นอน ก็มีเพียงแค่ซูหลีเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติไปดูถูกมือสังหารผู้นั้น หากรู้ว่ามือสังหารผู้นั้นในประกาศมือสังหารของหอความลับสวรรค์นั้นเขาอยู่ถึงอันดับสาม ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครที่กล้าดูถูกเขา คนส่วนใหญ่ที่ดูถูกเขาล้วนตายกันไปหมดแล้ว
เฉินฉางเซิงรู้ว่าตนไม่มีทางมีคุณสมบัติไปดูถูกมือสังหารผู้นั้น และตลอดทางซูหลีได้แต่มองออกไปยังภูเขาที่ไกลออกไปและนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด จากภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเขาก็รู้แล้ว แม้แต่ซูหลีในใจส่วนลึกของเขาก็ยังหวาดระแวงมือสังหารผู้นั้นอยู่บ้าง
ซูหลีกับเขาก็ระมัดระวังกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ปะทะกับเซวียเหอหรือเหลียงหงจวงอย่างรุนแรง ต่อให้ถูกบีบจนเข้าสู่สถานการณ์คับขัน ต่อให้เห็นว่าสามารถตายไปได้ทุกเวลา พวกเขายังคงไม่ลืมการมีตัวตนอยู่ของมือสังหารผู้นี้ เตรียมการรับมือเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อครู่ ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ก็เป็นตอนที่เขามีความมั่นใจมากที่สุด รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุด มีเจตจำนงในการต่อสู้ที่แน่วแน่ที่สุด
เขาเดินไปทางจูลั่ว แต่กลับออกห่างจากซูหลี
เขาไม่รู้ว่ามือสังหารผู้นั้นก็อยู่ระหว่างเขากับซูหลี ถูกสายฝนตกใส่ และนอนอยู่บนพื้น ซึ่งก็คือผู้บำเพ็ญเพียรคนที่ก่อนหน้านี้แสร้งทำเป็นจู่โจมเข้ามา และมือสังหารผู้นั้นก็กำลังลุกขึ้นมาแล้ว
การหลบซ่อนรอคอยมาหลายสิบวัน ในที่สุดมือสังหารก็ได้รับโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่สุด
มือสังหารผู้นั้นไม่ได้ปิดหน้า ด้วยรูปโฉมที่แสนจะธรรมดา ไม่ว่าที่ไหนก็สามารถเห็นได้ หยาดฝนที่ตกใส่ใบหน้าของเขา ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้เลย หน้าตาของเขาก็ยากที่จะหลงเหลือร่องรอยเอาไว้ในใจคน
นี่เป็นผู้ที่ธรรมดาไม่มีอะไรแปลกผู้หนึ่ง ก็เหมือนกับก้อนหินริมทาง หรือเศษกระเบื้องในที่ร้าง
เฉินฉางเซิงรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง ร่างกายนั้นแข็งค้างอย่างหาใดเปรียบ เขาอยากจะหันกลับไป แต่ก็รู้ว่าไม่ทันการแล้ว
มันไม่ทันการแล้วจริงๆ มือสังหารผู้นั้นไม่มีทางให้โอกาสใดๆ กับเขาอีก ไม่มีทางที่จะให้โอกาสใดๆ กับซูหลี
มือสังหารผู้นั้นทะยานไปถึงด้านหน้าของม้ากลางสายฝนแล้ว
การเคลื่อนไหวของเขาธรรมดามาก แต่ก็รวดเร็วอย่างมาก
หลังจากนั้นเขาก็ชักกระบี่ออกมา
กระบี่ของเขาธรรมดามาก กระบวนท่าของกระบี่ก็ธรรมดามากเช่นกัน แต่ว่ามันรวดเร็วอย่างมาก
สรุปแล้ว ทั้งหมดได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าระดับพลังของมือสังหารผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างมาก สามารถเปลี่ยนกระบี่ที่มีความแหลมคมธรรมดาให้กลายเป็นเศษดาราจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างไร้สุ้มเสียง
กลิ่นอายสายหนึ่งที่แข็งแกร่งแต่กลับอ้างว้างอย่างมากมาพร้อมกับกระบี่
ระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูง!
มือสังหารในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูง?
นี่ได้ก้าวข้ามขอบเขตความเข้าใจของคนจำนวนมากไปแล้ว
ในเมื่อบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นสูงแล้ว เหตุใดจึงต้องอาศัยการฆ่าคนเป็นอาชีพ
เหตุใดมือสังหารผู้นี้จึงต้องการฆ่าซูหลี
มือสังหารผู้นี้จะน่ากลัวขนาดไหนกัน!
สายฝนห่าใหญ่ยังตกไม่หยุด
มือทั้งสองข้างของเฉินฉางเซิงจับกระบี่ และยืนอยู่บนถนนท่ามกลางสายฝน
ที่ด้านหลังของเขา มือสังหารผู้นั้นแทงกระบี่ไปทางซูหลีราวกับว่าตัวเขาเป็นดวงวิญญาณก็ไม่ปาน
ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป
ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้จะไม่สามารถแก้ไขได้ทันแล้ว
เสียงฝนราวกับเดือดดาล
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งที่ค่อนข้างเบาดังขึ้น
นั่นเป็นเสียงของกระบี่ที่สัมผัสเข้ากับโลหิต