บทที่ 700 ความลับสุดยอดของสหพันธรัฐ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนมู่ฉี หวังเป่าเล่อที่กำลังคุ้ยหาขนมจากกำไลคลังเวทขึ้นมากินก็ตัวสั่นเทิ้ม เกือบจะสำลักขนมในปาก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ในหูมีแต่เสียงอื้ออึง โชคดีที่ลำคอของเขาแข็งแกร่งกว่าจุดอื่น ชายหนุ่มจึงกลืนขนมลงคอไปได้ ก่อนจะเก็บถุงขนมไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันมาจ้องต้วนมู่ฉี หายใจถี่รัวขณะโพล่งถามขึ้น

“จริงหรือ”

ตามหลักการแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งและระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันทำให้เขานึกลังเลเกี่ยวกับการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แต่สิ่งนี้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเขา เป็นความฝันที่คอยไล่ตามมาตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มเข้าไปฝึกวิชาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะความฝันที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ นอกจากนี้ เขายังส่งเคล็ดวิชากลับมาให้สหพันธรัฐมากมายตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ คำนวณดูแล้วก็น่าจะเพียงพอในการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ

แต่พอเขาได้กลับมาและทราบถึงสถานการณ์ของสหพันธรัฐในปัจจุบัน ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าการเปลี่ยนตัวผู้นำระหว่างการทำสงครามนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทราบดีว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และชายหนุ่มก็รู้จักนิสัยของต้วนมู่ฉีดี หากไปบังคับให้อีกฝ่ายลงจากตำแหน่ง เขาต้องเจอกับปัญหามากมายแน่นอน ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ ก็ยังเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากอยู่ดี

การจะขึ้นไปรับตำแหน่งต้องเจอกับความยุ่งยากมากมาย อีกทั้งสหพันธรัฐก็เป็นบ้านเกิดของเขา ต้วนมู่ฉีและคนอื่นๆ ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด จึงไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะไปบังคับขอเข้ารับตำแหน่งได้

นี่คือเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่ถามถึงเรื่องรางวัลที่ตนควรได้รับ เขาได้ฟังสิ่งที่เฟิ่งชิวหรันกับต้วนมู่ฉีถกกันและตระหนักถึงสถานการณ์กับทางสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้น หวังเป่าเล่อตั้งใจจะถามหลี่ซิงเหวินอ้อมๆ ว่ามีโอกาสที่ตนจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นขุนนางชั้นต่อไปหรือไม่ คงจะดีหากเขาได้รับการประกาศว่าเป็นผู้รอรับเลือกเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ แค่ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับหนึ่งชั้นรองก็เพียงพอแล้ว

เขาไม่คิดว่าต้วนมู่ฉีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ชายหนุ่มตื่นเต้นจนถึงขีดสุดเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบคำถามเมื่อครู่ ในหัวเต็มไปด้วยความปีติยินดีจนรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาเล็กน้อย หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ยกมือตบอกเสียงดัง ดวงตาของเขาแดงก่ำ

“สหพันธรัฐจะต้องชนะศึกครั้งนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาลจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะฆ่าทุกคนที่มาขวางทางการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐของข้า!”

ต้วนมู่ฉีเห็นสีหน้าจริงจังของหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หลี่ซิงเหวินยิ้ม เขาไม่แปลกใจที่ต้วนมู่ฉีประกาศไปเช่นนั้น หากไม่ติดที่ว่าหวังเป่าเล่ออายุยังน้อย ชายหนุ่มคงจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐในทันที

ชายชรารู้จักต้วนมู่ฉีดี เขาเป็นคนช่างคิด ช่างวางแผน มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตน ความผิดพลาดบนดาวพุธส่งผลกระทบต่อต้วนมู่ฉีมาก คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่หลี่ซิงเหวินทราบดีว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบให้อีกฝ่ายเพียงใด

นอกจากนี้ ต้วนมู่ฉีก็ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดี เขาไม่มีวันยอมให้หวังเป่าเล่อขึ้นเป็นผู้นำในวันที่อารยธรรมต้องล่มสลาย จึงเลือกที่จะเป็นคนแบกรับความสูญเสียครั้งนี้เอง แต่ถ้าพวกเขาชนะขึ้นมา…เขาก็จะอยู่ตรงนั้น ร่วมต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อพิสูจน์ตนเอง ต้วนมู่ฉีอยากให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบถึงสิ่งที่ตนเองคอยทุ่มเทเพื่อสหพันธรัฐ เขาอยากให้หวังเป่าเล่อเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อยุคใหม่ได้เปิดฉากขึ้น!

“เป่าเล่อ ภารกิจของเจ้าไม่ใช่การเข้าสู้อีกต่อไป เจ้าจะต้อง…รักษาตนเองและคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติภารกิจซึ่งสำคัญไม่ต่างกันให้มีชีวิตรอดปลอดภัย!” หลี่ซิงเหวินสูดหายใจลึก จากนั้นก็มองชายหนุ่มด้วยแววตาลุ่มลึก

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเก็บงำความตื่นเต้นเข้าไปและทำสมองให้โล่ง ชายหนุ่มใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดต้วนมู่ฉีจึงเลือกเช่นนี้ รวมถึงเข้าใจนัยแฝงในคำพูดของหลี่ซิงเหวินด้วย

หากพวกเขาชนะ หวังเป่าเล่อก็จะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป แต่ถ้าแพ้ เขาต้องรับหน้าที่ปกป้องอารยธรรมให้คงอยู่ต่อไป!

“แนวป้องกันของดาวศุกร์จะต้านทานได้นานเท่าไหร่” แสงลุ่มลึกฉายวาบขึ้นในตาของชายหนุ่มหลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาเลิกเป็นกังวลเรื่องตำแหน่งในอนาคตและเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“ถ้าไม่เกิดอะไรที่เกินคาด การป้องกันน่าจะพังลงหมดตอนตระกูลไม่รู้สิ้นเปิดฉากโจมตีเต็มกำลังซึ่งๆ หน้า” ต้วนมู่ฉีตอบเสียงแหบห้าว ในที่สุดเขาก็ยอมรับชะตากรรมอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงจะไม่เคยนึกอยากยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่ดี

“สหพันธรัฐเตรียมตัวมาหลายปีเพื่อทำศึกกับสำนักวังเต๋าไพศาล แผนที่วางไว้คือใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะและแนวป้องกันจากทั้งสามแห่งบนดาวพุธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร โชคร้ายที่มีเวลาไม่เพียงพอ แม้จะได้เจ้าและเฟิ่งชิวหรันเข้ามาช่วย เราก็ยังไม่สามารถรับมือกับกองกำลังตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่มเข้ามาและเรือบินรบน่าพรั่นพรึงของพวกเขาได้” หลี่ซิงเหวินถอนใจ เขาผุดยิ้มเหยเก

“เป็นความผิดของข้าเอง เราถึงเสียดาวพุธไป!” ต้วนมู่ฉีพูดอย่างเคร่งเครียด

“ต้วนมู่ อย่าโทษตัวเองเลย ถึงเราจะระเบิดดาวพุธไป สงครามก็ยังไม่จบอยู่ดี ทำได้แค่ยื้อเวลาเพิ่ม แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเตรียมทำศึกเต็มรูปแบบได้ อย่างไรเราก็ต้องมาลงเอย ณ จุดนี้เหมือนเดิม” หลี่ซิงเหวินส่ายหัวและหันไปมองหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ โลกคือต้นกำเนิดและศูนย์กลางอารยธรรมของเรา เป้าหมายของการต่อสู้ในครั้งนี้คือคอยป้องกันไม่ให้วงแหวนปราณระบบสุริยะที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มกันโลกถูกทำลาย”

“ตราบเท่าที่วงแหวนปราณยังคงอยู่ สหพันธรัฐก็จะมีพลังในการคุ้มกันตนเอง อารยธรรมของเราก็ยังมีหวังที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ดาวอังคารและดาวศุกร์คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะ ขอแค่ดาวดวงใดดวงหนึ่งยังคงอยู่ วงแหวนปราณก็จะยังทำงานต่อไปได้ ต่อให้ถูกทำลายไปดวงหนึ่งก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อวงแหวนปราณ” หลี่ซิงเหวินอธิบาย หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วและพูดแทรกขึ้น

“อาจารย์ปู่ ผู้นำต้วนมู่ ข้ามีคำถามสองข้อ!

“ข้อแรกคือ ดาวเคราะห์ที่เป็นกุญแจสำคัญทั้งสองดวงตั้งอยู่คนละฝั่งของโลก มีระยะทางแตกต่างกันมาก เหตุใดตระกูลไม่รู้สิ้นจึงตัดสินใจจะทำลายดาวศุกร์ก่อน จากนั้นค่อยอ้อมโลกไปทำลายดาวอังคาร พวกเขาทำลายวงแหวนปราณแล้วมุ่งหน้าไปยังโลกเลยไม่ได้หรือ

“คำถามข้อที่สอง วงแหวนปราณระบบสุริยะแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ มันสามารถปกป้องอารยธรรมของเราได้จริงๆ หรือ”

หวังเป่าเล่อมองหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉีหลังจากถามคำถามทั้งสองข้อออกไป ทั้งสองหันมองหน้ากัน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ต้วนมู่ฉีก็สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นด้วยมือขวา เกราะป้องกันพลันปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา มันกันไม่ให้มีใครแอบฟังได้ หลี่ซิงเหวินหยิบรูปสลักไม้ออกมาวางไว้ตรงด้านหนึ่ง จากนั้นก็เปิดใช้งาน เกราะป้องกันมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเป็นประกายเมื่อได้เห็น เขาสร้างผนึกฝ่ามือดึงพลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราออกมา วิญญาณจุติดึงพลังจากดาวศุกร์มาช่วยเสริมพลังของเกราะป้องกันที่อยู่รอบตัวคนทั้งสามด้วยอีกแรง

ม่านคุ้มกันหลายชั้นป้องกันไม่ให้ใครแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาได้ ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินหันมองกันอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ในที่สุด หลี่ซิงเหวินก็ถอนหายใจและกระซิบขึ้น “เป่าเล่อ สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้ามีเพียงข้า ต้วนมู่ฉี และอาจารย์เจ้าผินฟางเท่านั้นที่รู้ เจ้าจะเป็นคนที่สี่ของสหพันธรัฐที่ได้ล่วงรู้ความลับนี้!”

“นี่คือความลับสุดยอดของสหพันธรัฐ โดยหลักการแล้ว มีเพียงผู้นำสหพันธรัฐเท่านั้นที่จะเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ เจ้าผินฟางมีพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์การวิญญาณ ต้วนมู่ฉีกับข้าจึงตกลงเผยข้อมูลนี้ให้เขาทราบ!

“เพราะอย่างนั้น…เจ้าห้ามแพร่งพรายความลับนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด! เว้นเสียแต่ว่า…สหพันธรัฐจะแพ้ศึกครั้งนี้ หากเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ถือเป็นความลับสุดยอดอีกต่อไป เจ้าจะไปบอกใครก็แล้วแต่เจ้า”

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่รัว สัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ชายหนุ่มรู้ว่าเรื่องที่หลี่ซิงเหวินกำลังจะบอกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ อาจถึงขั้นสั่นคลอนโลกทั้งใบเลยทีเดียว

“ครับ ท่านอาจารย์!” ชายหนุ่มกุมมือและเอ่ยให้คำสัญญา

หลี่ซิงเหวินจ้องหวังเป่าเล่อเงียบๆ อยู่พักใหญ่ เหมือนว่าเขากำลังจมอยู่ในห้วงความทรงจำ หรือไม่ก็กำลังสรรหาคำมาอธิบายอยู่ เวลาผ่านไปพักหนึ่งก่อนชายชราจะเปิดปากพูดเสียงเบาอีกครั้ง

“พลังวิญญาณที่ใช้สนับสนุนวงแหวนปราณระบบสุริยะมาจากการที่ประชาชนในสหพันธรัฐ…ฝึกฝนวิชาค้ำจุนปราณ เรามีประชากรหมื่นล้านคน เกือบทุกคนฝึกวิชาค้ำจุนปราณกัน ปราณวิญญาณที่พวกเขาสร้างขึ้นระหว่างการฝึกวิชาจะถูกส่งไปเป็นพลังงานให้กับวงแหวนปราณระบบสุริยะ เรื่องนี้จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ แต่ก็มีอยู่หลายคนที่รู้ ถึงอย่างนั้นก็มีแค่เราสามคนที่รู้ว่ารากฐานของวงแหวนปราณสุริยะคืออะไร!”

“รากฐานที่ว่าก็คือ…ยันต์ที่มีต้นกำเนิดอันเป็นปริศนา!” หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด

“ยันต์หรือ”

“หลายพันปีก่อนหน้าการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ มีการค้นพบยันต์ใบหนึ่งในซากเมืองโบราณทางเขตตะวันออกเฉียงใต้ของโลก ยันต์ใบนั้นคือเครื่องบูชา ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร ด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่างทำให้ไม่เหมาะที่จะทำการขุดค้น ถึงจะมีการคาดเดาและศึกษาอย่างหนักก็ไม่พบอะไรที่พอจะเป็นข้อสรุปได้ ยันต์ใบนั้นเลยถูกจัดเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์และได้นำไปเก็บรักษาไว้

“จากนั้นยุคกำเนิดวิญญาณก็มาถึง ปราณวิญญาณที่มาพร้อมเศษกระบี่สำริดเขียวโบราณได้เปลี่ยนอารยธรรมบนโลกไป ข้าเป็นคนแรกในสหพันธรัฐที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นได้ และวันนั้นเอง ยันต์ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าข้า หลังจากศึกษาอย่างละเอียดก็ได้ข้อสรุปว่ายันต์ใบนี้น่าจะถูกขุดค้นมานานหลายพันปีแล้ว

“ยันต์ใบนี้มีพลังกล้าแกร่ง จุดที่พิเศษที่สุดก็คือ…มันไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนจากนอกโลก พวกเขามองไม่เห็นมัน สัมผัสก็ไม่ได้ แทบจะไม่รู้สึกถึงเลยด้วยซ้ำ ข้าลองใช้อาวุธเทพทดสอบดูก็พบว่าอาวุธเทพถึงกับสั่นคลอนเมื่อมาอยู่ต่อหน้ายันต์ ราวกับว่าเกรงกลัวในพลังอำนาจของมัน!

“หลังจากศึกษาอยู่ยกใหญ่ก็พบว่ามีโอกาสร้อยละหกสิบที่ยันต์ใบนี้จะเป็นแบบสร้างวงแหวนปราณ ข้าให้สหพันธรัฐสร้างวงแหวนปราณระบบสุริยะขึ้น ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าแก่นของวงแหวนปราณระบบสุริยะนั้น…สร้างขึ้นบนยันต์ใบนี้ มันทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวขยายพลัง หากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ไม่สามารถขยายขอบเขตพลังออกไปได้ เราต้องใช้ดาวศุกร์และดาวอังคารในการขยายพลังของยันต์ออกไป สิ่งมีชีวิตที่โลกไม่รู้จักจะเข้ามาใกล้โลกได้ยาก ยิ่งพวกมันเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินหน้าไปต่อได้ยากลำบากขึ้นเท่านั้น!

“ตอนที่ลงจากตำแหน่ง ข้าได้บอกความลับนี้กับต้วนมู่ฉี มีการตั้งกฎขึ้นมาว่ามีเพียงผู้นำสหพันธรัฐเท่านั้นที่จะทราบข้อมูลนี้ได้ ในขณะที่คนภายนอกเชื่อกันว่าอาวุธเทพเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องสหพันธรัฐให้ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ปกป้องพวกเราอยู่คือยันต์ใบนี้ต่างหาก!

“โลกเชื่อกันว่าอาจารย์เจ้าผินฟางสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาจากศูนย์ แต่จริงๆ แล้ว…เขาได้ข้อมูลมาจากการศึกษายันต์ จึงสามารถสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาได้

“ข้าไม่เป็นกังวลที่เจ้าและเฟิ่งชิวหรันขึ้นมาบนดาวศุกร์ เพราะข้าสามารถยืมพลังปริศนาจากยันต์ผ่านวงแหวนระบบสุริยะตรวจดูว่าเจ้ามีปรสิตแฝงกายอยู่ในร่าง หรือโดนสิ่งมีชีวิตนอกโลกควบคุมอยู่หรือเปล่าได้!”

“นี่คือความลับของวงแหวนปราณระบบสุริยะ และเป็นเหตุผลที่ข้ามั่นใจว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะมุ่งหน้าไปยังดาวอังคารหลังจากทำลายดาวศุกร์ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเลยที่พวกมันจะเข้าไปยังโลกได้!” คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากหลี่ซิงเหวินเป็นเหมือนสายฟ้าที่แล่นเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หายใจถี่รัวขณะฟังชายชราพูด เรื่องนี้ช่างเกินคาดคิดไปไกล ไม่มีทางเลยที่ชายหนุ่มจะสามารถเดาได้ว่าโลกมีความลับเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่!

………………………..