ตอนที่ 579 ปลาตัวใหญ่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 579 ปลาตัวใหญ่

เมืองเจี้ยนเหมิน จวนเฉิงโฉว

“ท่านแม่ทัพใหญ่ เชียนฟูจ่าง 12 นายต่อต้านแล้วขอรับ มีผู้ติดตามอีกเก้าหมื่นกว่านาย” เป็นคราที่สามที่เชียนฟูจ่าง โหลวเค่อเหลียง กองพันองครักษ์ของเซวี๋ยติ้งชานเข้ามารายงานถึงจวนเฉิงโฉว

“ในที่สุดก็ต่อต้าน เป็นประตูทางทิศใต้ใช่หรือไม่ ? ”

“เป็นเช่นนั้นขอรับ ! ”

“ศัตรูเข้ามาเท่าใดกันแล้ว ? ”

“กองกำลังดาบเทวะที่สาม และกองทัพของเฟ่ยอันอีกหนึ่งแสนกว่านายขอรับ”

เซวี๋ยติ้งชานหยิบดาบที่พาดไว้ตรงกำแพงขึ้นมา รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดประดับขึ้นบนใบหน้า “ดี ! เจ้าพาทหาร 10,000 นายออกไปทางประตูตะวันตก อย่าได้พัวพันกับการรบ รีบกลับไปโดยเร็ว”

“ท่านแม่ทัพใหญ่มิไปด้วยกันหรือขอรับ ? ”

เซวี๋ยติ้งชานส่ายหน้า “หากข้าไปแล้ว พวกเจ้าก็จะมิมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว ไปเถิด… พาคนไปได้เท่าใดก็พาไปเท่านั้น”

โหลวเค่อเหลียงคุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้น “ข้าน้อย… รับคำสั่ง ! ”

ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืน หันหลังเดินออกมาจากจวนเฉิงโฉว ทิ้งทหารองครักษ์สามพันนายเอาไว้ และปรี่ไปทางประตูเมืองตะวันตกแต่เพียงผู้เดียว

ทหารที่จงรักภักดีต่อแม่ทัพใหญ่ 60,000 นาย ในยามนี้มีจำนวน 50,000 นายที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด !

……

……

คอของเฮ้อซานเตายืดยาวออกไป ในยามนี้อยากมองทะลุได้เสียจริง

เขารู้สึกว่าการรอข้าศึกนั้นช่างร้อนใจเสียยิ่งกว่าการรอนางโลมของหอชุ่ยหงเสียอีก

“เหมือนว่าในนั้นจะปะทะกันแล้ว เกิดอันใดขึ้นกัน ? ”

จ้าวลี่จู้เองก็มิทราบ ทำได้เพียงเอ่ยปลอบ “เกรงว่าจะเป็นการก่อกบฏภายใน ฟู่เจวี๋ยเยมาถึงแล้ว พวกลูกวัวบัดซบเหล่านั้นย่อมต้องการมีชีวิตรอด จึงทำได้เพียงเปลี่ยนฝ่ายเท่านั้นขอรับ”

เฮ้อซานเตาคิดตาม น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นก็จงรอต่อไป หรือ…เขาเงยหน้ามองไปยังกำแพงเมือง “ไอหยา… ทหารรักษาการณ์บนกำแพงหนีไปไหนแล้ว มารดามันเถอะ ! มาเปิดประตูให้ข้าเข้าไปก่อนสิโว้ย ! ”

ทันทีที่รองแม่ทัพ ฉงหัววั่ง ได้ยิน ดวงตาของเขาก็พลันกลอกกลิ้งไปมา “ลูกพี่ พวกเราปีนกำแพงเข้าไปเลยดีหรือไม่ ? ”

เฮ้อซานเตายกมือเคาะลงที่หัวของเขา “เจ้าโง่หรือเยี่ยงไร กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนั้น แล้วพวกเราก็มิมีบันได เจ้าบินได้เหมือนทหารดาบเทวะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฉงหัววั่งลูบศีรษะแล้วยกยิ้มขึ้นมาอย่างเขินอาย “ลูกพี่กล่าวได้ถูกต้อง… เช่นนั้นพวกเราต่อตัวกันขึ้นไปดีหรือไม่ ? ”

เฮ้อซานเตามองพิจารณากำแพงเมือง สูงราวสามจ้างกว่า ๆ เห็นจะได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้ห้าถึงหกคนในการต่อตัว ถือว่าพอได้อยู่

ดังนั้น เขาจึงลูบศีรษะของฉงหัววั่ง “เป็นความคิดที่มิเลว…”

“สหายทั้งหลาย ข้ากังวลว่าการต่อสู้ภายในของทัพกบฏคือการสังหารเซวี๋ยติ้งชาน เยี่ยงนั้นความดีความชอบจะหายไปต่อหน้าต่อตา ข้าจึงตัดสินใจจะใช้คนต่อตัวเป็นบันไดและปีนเข้าเมืองไป ทุกคนจงฟังคำสั่ง… ! ”

“บุกเมืองเจี้ยนเหมิน หลังจากสังหารข้าศึกได้แล้ว ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าไปปล้นได้ 3 ชั่วยาม ทรัพย์สินที่ปล้นมาได้ทั้งหมดเป็นของพวกเจ้า หากปล้นตัวสตรีมาได้ ข้าจะเป็นพ่อสื่อให้ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สำเร็จเรื่องดีงาม ! บุก… ! ”

ด้วยเสียงคำรามของเฮ้อซานเตา คำสั่งจึงถูกส่งออกไป ทหารหนึ่งแสนกว่านายเตรียมการต่อสู้อย่างตื่นเต้น ถือดาบและหอกทะยานไปทางประตูเมือง

ในยามที่อยู่ห่างจากประตูเมืองเพียง 30 จั้ง ทันใดนั้นประตูเมืองก็เปิดออก โหลวเค่อเหลียงนำทหารม้า 10,000 นายทะยานออกมา

โหลวเค่อเหลียงรุดนำหน้า หลังจากที่ได้เห็นทัพของเฮ้อซานเตา ดวงตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นมาทันที…

มิใช่… ข้าศึกกลุ่มนี้รู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าจะออกมาจากประตูทางตะวันตก ?

เฮ้อซานเตานำทัพอยู่ด้านหน้าสุด แต่แล้วก็ได้เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน ไอหยา ! ทหารม้า… ทั้งยังมากันเยอะเสียด้วย !

เช่นนั้นก็มิต้องปีนกำแพงแล้ว ตัดต้นหอมแปลงนี้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“สหายทั้งหลาย ตามข้ามา ไปบั่นคอพวกมันเสีย ! ”

“บั่นคอพวกมัน ! ”

“บุก ! ”

ทันใดนั้น ความอิจฉาก็ทอประกายในดวงตาของทหารทั้งกลุ่ม ศีรษะของแต่ละคนคือความดีความชอบ ความดีความชอบนี้ สามารถใช้เลื่อนขั้นในภายภาคหน้าได้ และสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือแปลงนาหลังเกษียณได้เช่นกัน

กล่าวได้ว่า ศีรษะของศัตรู คือเงิน !

กองทัพทหารจำนวน 100,000 นายล้วนถูกเฮ้อซานเตาโน้มน้าวใจ พวกเขาปรี่เข้าไปทางข้าศึก ในแววตาของเหล่าทหารต่างก็ทอประกายเป็นเงิน !

โหลวเค่อเหลียงตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน อีกฝ่ายเป็นทหารราบหนึ่งกลุ่ม คาดมิถึงว่าจะปรี่เข้ามาทางทหารม้าของข้า… เหมือนกับว่าโลกใบนี้ค่อนข้างเข้าใจยากไปเสียแล้ว

เขากวัดแกว่งดาบในมือไปมา และตะโกนเสียงดังว่า “สังหารพวกมัน ! ”

ทหารม้า 10,000 นายยกหอกขึ้นมา แต่ระยะห่างใกล้เกินไป จึงมิสามารถแสดงการบุกที่มีประสิทธิภาพได้

ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ทั้งสองเข้าปะทะกัน พวกเขาเพียงนั่งอยู่บนหลังม้าศึก ได้อยู่สูงกว่าทหารราบเล็กน้อย และได้เปรียบอยู่สามส่วน

การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นในช่วงเวลานั้นเอง ทหารม้า 10,000 นายเป็นทหารชั้นยอดของกองทัพชายแดนตะวันตก กำลังรบของพวกเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก

แต่ทหารกองสองของเฮ้อซานเตาได้เปรียบตรงที่จำนวนคนมากกว่า ขวัญและกำลังใจเหลือล้นเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาที่การต่อสู้เริ่มขึ้นจึงเห็นได้ชัดว่าความเสียหายของทหารกองสองมีมากกว่าทหารม้า

สองดาบในมือของเฮ้อซานเตากวัดแกว่ง เขาสกัดหอกของข้าศึกที่แทงมาได้ และตวัดดาบเฉือนขาของข้าศึกผู้นั้น ศัตรูหวีดร้องโหยหวน แต่มิตกลงมา กลับชูหอกแทงมาทางเขา

เฮ้อซานเตาเริ่มรู้สึกมิสบายใจขึ้นมาแล้ว ตัดขาทั้งสองข้างของศัตรูก็ยังมิมีประโยชน์ กระโดดไปก็ฟันมิถึงศีรษะของข้าศึก ดังนั้นจะทำเยี่ยงไรดี ?

ในช่วงที่เขาพุ่งซ้ายไปขวาจึงเฉือนเข้าไปที่ขาอาชาโดยมิได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเองม้าก็ล้มลง ทหารบนหลังม้าจึงกลิ้งลงมาอยู่เบื้องหน้า เขาลงดาบในมือ บั่นศีรษะของคนผู้นั้นทิ้งทันที จากนั้นจึงได้ดีใจขึ้นมา และกู่ร้องเสียงดังว่า

“สหายทั้งหลาย ตัดขาอาชาของพวกเขา งอเอวลง บัดซบ จงรักษาชีวิตเอาไว้ด้วย… ! ”

ด้วยกลยุทธ์ที่ได้แพร่ไปยังฝูงชน ทันใดนั้นทหารกองสองก็ได้งอเอวลง และเฉือนดาบไปที่ขาของอาชากันทั้งหมด บังเกิดเสียงร้องของม้าศึกที่ดังมามิขาดสาย ข้าศึกเองก็ตกลงมาจากหลังอาชาทีละนาย

เมื่อคนตกลงมา ก็ง่ายต่อการจัดการแล้ว พวกเขาร่วมลงมือกันอย่างดุเดือด

หนึ่งกลุ่มบั่นขาม้า อีกหนึ่งกลุ่มสังหารข้าศึกที่หล่นลงมาจากหลังม้า หลังจากสถานการณ์เยี่ยงนี้ผ่านไปได้ราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เริ่มคุ้นชินขึ้น ความเสียหายเริ่มลดลง พวกข้าศึกถูกสังหารอย่างน่าอดสู

ในฐานะทหารม้า พวกเขาเก่งกาจเรื่องการทำศึกบนหลังอาชามากที่สุด แต่เมื่อมิมีอาชาแล้วตกลงพื้นก็จะกลายเป็นทหารราบไปโดยปริยาย หากสู้ตัวต่อตัวก็ยังพอจะชนะทหารที่นี่ได้อย่างง่ายดาย แต่นี่มิใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว

เพียงม้าล้มลงกับพื้น พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับสิบดาบเป็นอย่างน้อยที่สุด

ดาบเหล่านี้โหดร้ายจนเกินไป พวกเขาเหล่านั้นท่าทางราวกับยักษา ราวกับมีความแค้นต่อกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

มิสามารถเดินหน้าต่อได้แล้ว ทัพกบฏเมื่อตกจากหลังม้า ยังมิทันได้ตั้งหลักดี ก็มีดาบจำนวนมากมาจากทั่วสารทิศ แทบจะในชั่วพริบตาโลหิตก็ได้สาดกระเซ็น พวกเขาต่างก็กลายร่างเป็นศพไปเสียแล้ว

โหลวเค่อเหลียงสังหารไปสังหารมา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความกดดันขนาดใหญ่ อาศัยจังหวะเหลือบมอง… แล้วคนของข้าเล่า ?

ทหารม้า 10,000 นายของข้าเล่า ?

ข้างกายของเขายังเหลือทหารม้าอีกราว 1,800 นาย แต่ทัพของข้าศึกกลับล้อมเอาไว้โดยสมบูรณ์แล้ว

ให้ตายเถอะ นี่คือหัวมังกุท้ายมังกรจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

น่ากลัวว่าจะเป็นกองกำลังที่เกรียงไกรของกองทัพชายแดนใต้เสียแล้ว !

โหลวเค่อเหลียงเปลี่ยนความตั้งใจทันพลัน สู้ก็สู้มิได้ ข้าขี่ม้า พวกทหารราบเยี่ยงเจ้าตามข้ามิทันหรอก

เรื่องที่แม่ทัพใหญ่มอบหมายต้องเร่งรีบแล้ว มิสังหารแต่ต้องถอนทัพ !

ในตอนที่กำลังจะเลี้ยวหัวอาชาเพื่อหาจุดอ่อนและวิ่งออกไป ทันใดนั้นก็พบร่างที่ชโลมไปด้วยโลหิตยืนประจันหน้าอยู่

ชายผู้นั้นอ้าปากกว้างและหัวเราะเยาะเขา ส่องสะท้อนกับแสงไฟสลัว เห็นฟันสองแถวที่ขาวซีด !

“ปลาตัวใหญ่โว้ย ! ” เขาพ่นประโยคนี้ออกมาอย่างตื่นเต้น โหลวเค่อเหลียงตกใจจนแทบจะตกจากหลังอาชา