ตอนที่ 87-2 คืนแห่งความสัมพันธ์

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

เครื่องประดับหัวสั่นไหวไปมาเมื่อต้องกับลมที่ไม่รู้ว่าพัดผ่านมาจากที่ใด สายลมพัดกระทบกับเหล่าเครื่องประดับอัญมณีจนเกิดเสียงดังกังวาน กลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายออกมาลางๆ จากถุงเครื่องหอมที่ถูกแขวนไว้ในที่ลับสายตา

 

 

กโยซึลนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง หลังจากได้ยินเสียงเปิดประตูนางก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปซีดเผือด ที่ใบหน้าของบีพาอันปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกแล้ว

 

 

“เหตุใดจึงต้องสวมเครื่องประดับมากมายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้จะแตะต้องมันอยู่แล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ปนเสียงหัวเราะออกมา

 

 

“ทรงยิ้มเยาะหม่อมฉันหรือเพคะ”

 

 

“ทำไมเราจะต้องทำอย่างนั้นด้วย”

 

 

“เพราะหม่อมฉัน…”

 

 

กโยซึลไม่อาจเอ่ยออกไปได้ เสียงหัวเราะเบาๆ ของบีพาอันดังขึ้นหลังจากที่ท้ายเสียงกโยซึลแผ่วไป กโยซึลรู้สึกได้ว่านางขนลุกพรึ่บไปทั่วทั้งตัว นางเฝ้ารอให้เขาที่มักจะทำหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลายิ้มออกมาบ้าง ทว่านางไม่ได้ต้องการรอยยิ้มแบบนี้ บีพาอันที่กำลังเดินไปที่เบาะรองนั่งหยุดฝีเท้าลง พลันหันตัวเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน และหยุดอยู่ตรงหน้ากโยซึล กโยซึลสะดุ้งตัว หลังจากนั้นตัวของนางก็สั่นเทิ้ม นางหลับตาลง ริมฝีปากที่ปิดสนิทนั่นฉ่ำวาวด้วยถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงชาด

 

 

มืออันอบอุ่นใกล้เข้ามา นางรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่กระจาย หลังจากที่มันสัมผัสลงมา ไอร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวของนาง มือที่ลูบไล้แก้มของกโยซึลอย่างเชื่องช้า เลื่อนไปวนอยู่รอบๆ ริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เลื่อนไปที่ปลายคาง มือนั้นไล้จากแนวสันกรามเลื่อนผ่านไปยังติ่งหู ลามไปจนถึงหลังคอ หลังจากนั้นเหล่าเครื่องประดับก็ร่วงลงที่พื้นทีละชิ้น ทีละชิ้น

 

 

เคร้ง เคร้ง

 

 

เครื่องประดับร่วงหล่นอย่างระเกะระกะ บังเกิดเสียงดังก้องไปทั่ว

 

 

ตึง

 

 

สุดท้ายปิ่นปักผมมังกรทองที่ปักอยู่บนศีรษะก็ร่วงลงพื้น ปิ่นมังกรที่มักจะปักอยู่บนศีรษะของกโยซึลอยู่เสมอหล่นอยู่ที่ใดที่หนึ่งบนพื้นดังเช่นเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ น้ำตาไหลออกจากดวงตาของนาง ขณะที่นางก้มลงไปมองปิ่นมังกรที่วางเอียงกระเท่เร่อยู่บนพื้น หลังจากที่เครื่องประดับทั้งหมดถูกปลดออกไป ผมที่ถูกรวบไว้ก็สยายตัวลงบนเสื้อตัวนอกสีขาวราวหิมะ เส้นผมดำยาวปกคลุมลงบนเสื้อตัวนั้นราวกับผ้าห่มอันแสนนุ่มนิ่ม

 

 

ทันทีที่บีพาอันผลักหน้าผากโหนกนูนของกโยซึลเบาๆ นางก็เอนตัวล้มลงไปข้างหลัง เส้นผมดำขลับกระจัดกระจายไปทั่วเตียง เมื่อถูกผลักอย่างไม่ทันตั้งตัว เสื้อคลุมตัวนอกที่คลุมไหล่อยู่นั้นก็เลื่อนลงเผยให้เห็นไหล่บาง กโยซึลขมวดคิ้ว เงยหน้ามองไปที่บีพาอันด้วยแววตาสั่นระริก ริมฝีปากฉ่ำวาวสีแดงชาดอ้าออกอย่างลนลาน

 

 

บีพาอันที่มองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งเดินถอยหลังกลับไปนั่งที่เบาะรองนั่ง เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ กโยซึลนอนร้องไห้อยู่เงียบๆ อยู่บนเตียง นางไม่แม้แต่จะขยับตัว ส่วนบีพาอันก็นั่งเอนหลังกับพนักพิงอยู่ข้างนั้น รอยยิ้มบนริมฝีปากยังไม่จางหายไป ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มของเขานั้นงดงามกว่าครั้งไหน สองตาที่ปิดยังปิดไม่สนิทเผยให้เห็นขนตาสวย สันจมูกแหลมโด่งขึ้น สันกรามชัดพลันบิดเบี้ยวอย่างกะทันหัน ริมฝีปากที่ยกยิ้มอยู่เปิดออก

 

 

“เด็กคนนั้น”

 

 

กโยซึลลืมตาขึ้น

 

 

“หากเป็นหญิง นางจะเป็นแทฮวางจู หากเป็นชาย เขาจะเป็นแทฮวางกุน และต่อไปก็คงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นฮวางแทซน หากเป็นหญิง นางจะได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเพียบพร้อม สุขสำราญอยู่กับความหรูหราที่ไม่ว่าหญิงใดก็ไม่อาจเทียบได้ หลังจากนั้นก็คงจะออกเรือนกับองค์ชายจากวังใดวังหนึ่ง หรือไม่ก็ขุนนางคนใดคนหนึ่งที่ปกครองเมืองอยู่ หากเป็นชาย เขาจะเป็นฮวางแทจาต่อจากเรา และต่อไปก็คงเดินตามรอยเป็นจักรพรรดิปกครองผู้คน”

 

 

บีพาอันเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่ากโยซึลที่ได้ฟังเสียงนั้นกลับตัวสั่นเทา

 

 

“เด็กคนนั้นจะถือกำเนิดในฐานะสายเลือดของเรา และจะเติบโตในฐานะสายเลือดของเรา”

 

 

กโยซึลยกสองมือขึ้นมาปิดปากของตนไว้ เพื่อกลั้นไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกมา แม้นางจะกดมือของตนไว้แน่นเพียงใด ทว่าก็ยังมีเสียงสะอื้นเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วมืออยู่ดี แต่บีพาอันก็ยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทไร้ความสั่นไหว

 

 

“หากเราเป็นจักรพรรดิ เด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้สืบทอดบังลังก์ หรือเป็นฮวางแทจาเพียงผู้เดียว และชายาก็จะกลายเป็นฮวังฮู ส่วนรูแฮก็จะถูกแต่งตั้งให้เป็นชินหวัง[1] และถูกส่งไปปกครองอาณาจักรอันไกลโพ้น”

 

 

ดวงตาของกโยซึลเบิกโพลง

 

 

รูแฮ

 

 

นางไม่คิดเลยว่าชื่อของเขาที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึงมาก่อน จะถูกเอ่ยถึงในเวลานี้ นางไม่คิดว่าบีพาอันจะเอ่ยนามรูแฮขึ้นมา

 

 

เพราะไม่อาจใช้ฝ่ามือบดบังท้องฟ้าได้…

 

 

ใช้ฝ่ามือปิดปากได้ ทว่าไม่อาจทำเช่นนั้นกับท้องฟ้าได้ และตนก็ไม่เคยคิดจะบดบังมันตั้งแต่แรก

 

 

กโยซึลคิดว่าทุกอย่างคงจบลงที่ตรงนี้ นางหมดเรี่ยวแรง ปล่อยแขนทั้งสองข้างวางสะเปะสะปะบนเตียง พร้อมกับถอยหายใจออกมาอย่างอึดอัด ไม่รู้ว่าเสียงลมหายใจของนางจะดังไปถึงบีพาอันหรือไม่ และนางก็ไม่ได้ยินเสียงของบีพาอันอีกแล้ว อีกทั้งก็ยังไม่มีใครหลับลงได้

 

 

ช่วงเวลาในความมืดมิดผ่านไปอย่างเงียบงัน ขณะนี้แสงแดดได้ลอดผ่านเข้ามาทางช่องว่างของหน้าต่างแล้ว และเมื่อมันสาดส่องไปยังเบาะรองนั่งจนกระทบกับบีพาอัน เขาก็ลุกขึ้นทันที แล้วเดินไปยังประตูห้องบรรทม

 

 

“อ้อ รู้หรือไม่ว่านามแท้ของเราคืออะไร”

 

 

กโยซึลใจหายวาบ นางไม่รู้ชื่อจริงของบีพาอัน

 

 

“อัน ดันมก อัน”

 

 

บีพาอันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไป ถึงแม้ว่าบีพาอันจะจากไปได้สักพักแล้ว แต่กโยซึลก็ยังไม่สามารถลุกจากเตียงได้ นางเพิ่งได้รู้ว่านามแท้ของบีพาอันคือ อัน และเพิ่งได้รู้เอาตอนนี้ว่าเขาคือ ‘เนินเขา’ นั่นเอง

 

 

 

 

——

 

 

[1] ชินหวัง พระโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาในองค์จักรพรรดิ