ตอนที่ 369 ขับพิษ โดย Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงจ้องมองจนตกตะลึงตาค้าง ผ่านไปสักพักถึงหันกลับไปมองเย่เทียนเหมย แต่ยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่าเดิม
ไม่รู้ว่านางสลบอยู่บนหลังแมงป่องกระดูกตั้งแต่เมื่อไหร่
หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น ขณะที่กำลังจะก้มลงไปประคองนาง กลับค้นพบว่าอสรพิษแปลกประหลาดสีเขียวหยกที่ถูกนางสะบัดออกจากมือเมื่อครู่ ได้กลายเป็นงูเขียวธรรมดา และปีนลงจากหลังแมงป่องกระดูกอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงส่ายหน้า และไม่คิดจะตามมันไป พอเขาโบกมือ เรือกลเหาะขนาดเท่าฝ่ามือก็ออกมาจากแขนเสื้อ
เรือเหาะค่อยๆ ขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดใหญ่หลายจั้ง รอยร้าวบนผิวของมันบ่งบอกว่าฝืนใช้งานได้อีกไม่กี่ครั้งแล้ว
หลิ่วหมิงเก็บแมงป่องกระดูก และอุ้มเย่เทียนเหมยขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นเงาพุ่งหายเข้าไปในเรือเหาะ
……
ครึ่งวันต่อมา
ท่ามกลางยอดเขาที่อยู่ห่างจากหุบเขาเหล็กอัคคีไปทางทิศเหนือหลายร้อยลี้
บนพื้นราบเรียบภายในถ้ำขนาดหลายสิบจั้ง เย่เทียนเหมยกำลังนอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียงหินด้วยสภาพที่หมดสติ
หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเสื่อที่อยู่ห่างจากนางไม่ไกล เมื่อพลังเวทย์ฟื้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้นมา และขมวดคิ้วจ้องมองเย่เทียนเหมยที่นอนอยู่บนเตียงหิน
หน้าผากของนางมีเหงื่อไหลออกมาจำนวนมาก ใบหน้าที่เคยซีดขาวกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง และหายใจถี่ๆ อยู่บ้าง ร่างของนางสั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ เดินมาด้วยตาที่เป็นประกาย เขาจับข้อมือของเย่เทียนเหมยไว้ และค่อยๆ ส่งพลังเวทย์เข้าไปอย่างเงียบๆ
ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ ดึงฝ่ามือกลับมา ใบหน้าของเขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
จากการตรวจดูเมื่อครู่ เขาค้นพบว่าสถานการณ์ภายในร่างของเย่เทียนเหมยเลวร้ายเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ชีพจรตามจุดต่างๆ จะผิดปกติ แต่ยังสูญเสียพลังภายในไปมาก ทั้งยังค้นพบพลังความร้อนบางอย่างค่อยๆ กัดกร่อนอวัยวะภายใน ถ้าไม่สามารถไล่มันออกไปได้ล่ะก็ ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามเลย
ไม่ต้องบอกหลิ่วหมิงก็รู้ว่าพิษนี้เป็นผลจากการสะท้อนกลับของอสรพิษในก่อนหน้านั้น!
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพิษนี้จะเป็นธาตุไฟ มันช่างร้ายกาจยิ่งนัก
คิดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของกายเนื้อระดับผลึก ไม่สามารถขับพิษนี้ออกไปได้ ตอนนี้คงได้แต่อาศัยพลังเวทย์ที่เหลือระงับมันไว้เท่านั้น
เมื่อหลิ่วหมิงรับรู้สิ่งทีเกิดขึ้น ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
พอมีแสงเปล่งประกายออกมา เม็ดโอสถแวววาวราวกับหยกที่ส่งกลิ่นหอมเย็น ก็ปรากฏอยู่บนมือของเขา
พอโบกแขนเสื้อ โอสถในมือก็กลายเป็นลำแสงหายเข้าไปในปากของเย่เทียนเหมย
พอโอสถเข้าไปในปาก มันก็ละลายอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นไอจิตวิญญาณบริสุทธิ์ไหลไปตามจุดชีพจรต่างๆ
สุดท้าย หลิ่วหมิงยื่นฝ่ามือทั้งสองออกไปเพื่อถ่ายเทพลังเวทย์ให้นางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และตบไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อให้พลังของโอสถไหลไปยังจุดที่มีพิษ
เดิมทีพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในร่างของเย่เทียนเหมย สามารถต่อต้านพิษได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง จนพอที่จะรักษาสมดุลไว้ได้ และพอพลังของโอสถเข้าไป จุดสมดุลนี้ก็ถูกทำลายภายในพริบตา
“พู่!”
สีหน้าเย่เทียนเหมยซีดขาวขึ้นมา นางอ้าปากโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นโลหิตสีดำที่มีกลิ่นเหม็นคาวก็ถูกพ่นออกมา
ดูท่าพิษส่วนมากในร่างของนาง คงถูกพลังสองแบบขับออกจากร่างแล้ว
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก คิดว่าตอนนี้นางคงปลอดภัยชั่วคราวแล้ว
ต่อมา หลิ่วหมิงหันกลับมานั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังเวทย์ของตนเอง
ขณะที่หลิ่วหมิงหลับตาทั้งคู่ลงไม่นาน พลันมีเสียงฮึดฮัดดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของเขา
เสียงนี้มาจากปากของเย่เทียนเหมย!
“หรือว่าจะฟื้นแล้ว?”
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ในฉับพลัน และหันไปมองเย่เทียนเหมยพร้อมกับพูดพึมพำเบาๆ
ขณะนั้นเอง ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
พริบตาที่เย่เทียนเหมยลืมตาทั้งสองขึ้นมา คลื่นพลังก็ประทุออกจากร่างของนาง
พิษร้อนแรงของอสรพิษที่เหลือตามจุดชีพจรต่างๆ เพียงเล็กน้อย กลับประทุออกมาหลังจากพลังของโอสถหายไป
แสงสีแดงเปล่งประกายออกจากร่างของนาง และกลายเป็นเปลวไฟอันคุโชน มันห่อหุ้มเย่เทียนเหมยไว้ และลุกไหม้อย่างรุนแรง
เปลวไฟปรากฏเป็นสีน้ำเงินแดง และแผ่กลิ่นไออันเยือกเย็นออกมา แต่กลับทำให้คนรู้สึกร้อนผะผ่าว ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าอสรพิษจะร้ายกาจเช่นนี้ ขณะเผชิญหน้ากับความตายยังตอบโต้ได้อย่างน่าหวาดกลัว
แต่ทว่าพริบตาที่เปลวไฟประทุออกมา ชุดสีขาวบนตัวเย่เทียนเหมยก็กลายเป็นขี้เถ้าในทันที รูปร่างขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกปรากฏอยู่บนอากาศ
พอเห็นรูปร่างขาวราวกับหยกปรากฏออกมาท่ามกลางเปลวไฟ หลิ่วหมิงก็อึ้งไปชั่วขณะ และรู้สึกปากแห้งเล็กน้อย
ใบหน้างดงามประกอบกับผิวที่ขาวบริสุทธิ์ราวกับหยก เรียวขาที่เกลี้ยงเกลา และเอวเล็กๆ ภายใต้เปลวไฟสีน้ำเงินแดง ช่างดูยั่วยวนใจยิ่งนัก
หลิ่วหมิงใจเต้นแรงขึ้นมา สายตาของเขาถูกดึงดูดจนไม่สามารถละออกมาได้ แม้แต่ลมหายใจก็กระชั้นชิดโดยไม่รู้ตัว
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันนี้ เย่เทียนเหมยเองก็เบิกตากว้างด้วยความรู้สึกอึ้งจนลืมปิดบังร่างกายของตนเอง
หลิ่วหมิงหายใจลึกๆ เข้าไปหนึ่งที พลังเวทย์ไหลวนอยู่ในชีพจร กลิ่นไอเย็นชุ่มชื้นแผ่กระจายออกจากร่าง ความรู้สึกร้อนแผดเผาถูกระงับไว้ในพริบตา
แต่เสียงสูดหายใจของเขา กลับทำให้ร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าได้สติขึ้นมา
นางรู้สึกอับอายและโมโหมาก ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำสีขาวโพลนก็ม้วนตัวออกไป มันไม่เพียงแต่ดับเปลวไฟสีน้ำเงิน แต่ยังผลักหลิ่วหมิงออกไปไกลหลายจั้ง
เมื่อพายุหายไปแล้ว เย่เทียนเหมยไม่เพียงแต่จะลุกขึ้นมา แต่บนตัวยังมีชุดสีขาวอีกตัวสวมอยู่ด้วย ดวงตาที่มองมาทางหลิ่วหมิง เผยแววสังหารออกมา
กลิ่นไอน่าหวาดกลัวประทุออกจากร่างของนางราวกับฤดูหนาวที่เย็นยะเยือก อุณหภูมิภายในถ้ำลดลงจนเกิดน้ำค้างแข็งบางๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักใจขึ้นมา รู้ดีว่าตอนนี้อธิบายอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว ก็หมุนตัวเพื่อที่จะออกไปจากถ้ำ
เย่เมียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา ภายใต้การสะบัดแขนเสื้อ สายรุ้งสีเงินก็ม้วนตัวออกมาทันที
กระบี่เล็กสีเงินยาวไม่กี่ชุนถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางแสงสีเงิน
และหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมย ก็ห่างกันไม่กี่จั้งเท่านั้น ดูเหมือนว่ากระบี่เล็กสีเงินกระพริบแค่ทีเดียว ก็มาถึงตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ภายใต้ความตกตะลึง หลิ่วหมิงคิดจะปล่อยปราณแกร่งในร่างออกมาต้านทานก็ไม่ทันแล้ว จึงตัดสินใจเอาแขนทั้งสองมาประสานไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกัน พลังเวทย์ภายในร่างก็ทะลักออกมา
พริบตานั้น แสงสีแดงเปล่งประกายเปล่งประกายบนแขนทั้งสอง และเกล็ดสีแดงจำนวนมากก็โผล่ออกมา
เกล็ดเหล่านี้แข็งแกร่งราวกับเกราะเหล็กที่ปกคลุมอยู่บนผิวหนัง มีแสงโลหะแวววาวระยิบระยับ พริบตาเดียวมันก็ซ้อนทับกันหลายชั้น
“ฟิ้ว!” กระบี่เล็กสีเงินแทงทะลุเกล็ดหลายชั้นที่อยู่บนแขนของเขา และทิ้งรูเลือดสีแดงเอาไว้ จากนั้นก็ทิ่มใส่อกหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
เสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วถ้ำ ทันใดนั้น กระบี่สั้นสีเงินก็ดีดตัวออกไป
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าถูกของชิ้นใหญ่โจมหนีใส่หน้าอกอย่างรุนแรง หลังจากมีเสียงดังออกมา เขาก็กระเด็นกลับไปโดยไม่ได้ตั้งตัว และกระแทกผนังหินด้านหลังอย่างรุนแรง จนทำให้ถ้ำค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา
โชคดีที่ชั้นจำกัดที่วางไว้ในก่อนหน้านั้นเปล่งลำแสงจางๆ ออกมา อักขระหมุนวนอยู่ท่ามกลางลำแสง ทำให้ผนังรอบด้านแข็งแรง และไม่พังทลายลงมา
หลิ่วหมิงฝืนความเจ็บปวดบนแขน และก้มหน้าลงทันที ตอนนี้เขาถึงเห็นว่าสาบเสื้อบริเวณหน้าอกฉีกขาดเป็นวงกว้าง จนเผยให้เห็นเกราะมังกรแดงที่สวมอยู่แต่บนนั้นยังมีรูเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือหนึ่งรู และภายในรูยังมีเกล็ดสีแดงเปล่งประกายอยู่หลายแผ่น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนเหงื่อไหลพลักๆ
ถ้าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาไม่กระตุ้นเกล็ดบริเวณหน้าอกออกมาสิบกว่าแผ่น เกรงว่าการโจมตีเมื่อครู่ คงแทงทะลุหัวใจของเขาไปแล้ว
ตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่บังคับกระบี่อย่างไม่ใส่ใจยังมีอานุภาพขนาดนี้ สมกับเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกของอวิ๋นชวนจริงๆ
และด้วยระดับความแหลมคมของกระบี่บินเล่มนี้ เหนือชั้นกว่ากระบี่จันทราทองคำของเขามาก เห็นได้ว่ามันไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไป
พอเย่เทียนเหมยเห็นว่า ลงมือกระบี่เดียวไม่สำเร็จ ก็รู้สึกอึ้งไปเช่นกัน แต่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นก็ชี้มือไปทางอากาศเพื่อจะกระตุ้นกระบี่บินสีเงิน
แต่ขณะนั้นเอง นางกลับแสดงสีหน้าเจ็บปวดและกระอักเลือดออกมา มือที่ทำท่ามืออยู่ก็ค่อยๆ คลายออก
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเช่นนี้ เขากลายเป็นพายุบ้าระห่ำ และกระโจนออกมาจากผนัง
เย่เทียนเหมยรู้สึกตกใจมาก แต่ระยะห่างใกล้เช่นนี้ ไม่สามารถเรียกระบี่บินกลับมาได้ทัน ทำได้เพียงแต่ตบฝ่ามือออกไปด้านหน้า
“ตู๊ม!”
หลิ่วหมิงตบฝ่ามือออกไปเช่นกัน มือทั้งสองปะทะใส่กันพอดี
ฝ่ามือของเย่เทียนเหมยสั่นสะท้าน แต่รู้สึกราวกับว่ามือของตนเองตบลงบนผนังเหล็ก ขณะเดียวกัน พลังอันน่าตกใจก็พุ่งออกจากฝ่ายตรงข้าม พอรู้สึกชาที่แขน ร่างของนางก็ร่นถอยออกไปสองก้าวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างของหลิ่วหมิงเพียงแค่สั่นไหว ราวกับว่าเขาไม่เป็นอะไรเลย
นางทำท่ามืออย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ แสงสีเงินจางๆ เปล่งประกายบนร่าง นางกำลังแสดงเคล็ดวิชาที่มีอานุภาพบางอย่างออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขยับตัวไปด้านหน้า และโอบกอดเย่เทียนเหมยที่กำลังแสดงวิชาไว้แน่น
ขณะที่เย่เทียนเหมยถูกกอดไว้นั้น นางรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นพลังเวทย์ที่เพิ่งกระตุ้นออกมาก็สลายไปทันที กลิ่นไอเข้มข้นของชายหนุ่มลอยอยู่ตรงจมูก ภายใต้ความตกใจระคนโมโห กลับทำให้นางอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนไม่สามารถกระตุ้นพลังเวทย์ออกมาได้
สำหรับเย่เทียนเหมยแล้ว การที่ถูกชายหนุ่มโอบกอดเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่นางไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโลกของผู้ฝึกฝน และเข้าไปอยู่ในนิกายจันทราสวรรค์แล้ว เป็นเพราะนางมีคุณสมบัติการฝึกฝนอันน่าตกใจ ผู้อาวุโสรุ่นก่อนจึงรับเป็นศิษย์โดยตรง และทุ่มเทบ่มเพาะจนทำให้นางเข้าสู่ระดับผลึกภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยกว่าปี ด้วยเหตุนี้ นางจึงมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วแผ่นดินอวิ๋นชวน
จนมาถึงวันนี้ ผู้ฝึกฝนทั่วแคว้นต้าเสวียน ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นนางแวบแรก ก็คิดว่านางเป็นหญิงสาวที่งดงามเป็นอย่างมาก หรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่หญิงอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวนที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อม ทุกคนจึงเคารพและยำเกรงนางมาก
และเย่เทียนเหมยก็ได้ตั้งปณิธานตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่แต่งงาน และจะตามหาสุดยอดของวิชาสายกระบี่จนชั่วชีวิต ด้วยเหตุนี้เวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้ชาย ไม่ว่าพวกเขาจะมีระดับการฝึกฝนสูงต่ำแค่ไหน นางก็ไม่สนใจใยดีเลย
ด้วยเหตุ แม้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกที่คิดว่าตนเองเหมาะสมกับเย่เทียนเหมย แต่ก็ไม่กล้าแสดงความสนิทสนมต่อหน้านาง
สำหรับผู้ฝึกฝนชายระดับผลึกเหล่านี้ เพียงแค่พวกเขากวักนิ้วเรียก ก็ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกฝนหญิงระดับต่ำที่สวยสดงดงามจำนวนมากมายแค่ไหนอยากโผเข้าสู่อ้อมกอดของพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็ไม่เคยขาดแคลนหญิงงามเลย
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันอย่างเย่เทียนเหมย แม้จะบอกว่าสวยสดงดงามเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกเคารพนับถือ และไม่กล้าเข้าใกล้
ด้วยเหตุนี้ เรื่องความรักระหว่างชายหญิงของเย่เทียนเหมย จึงดูเหมือนกับกระดาษสีขาว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ถูกคนต่างเพศโอบกอด ตั้งแต่โตป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เคยมีชายหนุ่มคนใดได้สัมผัสผิวหนังของนางเลย
ตอนนี้นางถูก ‘ผู้น้อย’ อย่างหลิ่วหมิงกอดอย่างฉับพลัน แม้ในใจจะรู้สึกอับอายและโมโหอย่างถึงขีดสุด แต่ก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย บวกกับแขนทั้งสองที่กอดแน่นราวกับเหล็กบริสุทธิ์ของหลิ่วหมิง หลังจากที่นางดิ้นรนอยู่หลายครั้งไม่ได้ผล ก็หอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของหลิ่วหมิงอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังจากหลิ่วหมิงควบคุมเย่เทียนเหมยได้แล้วก็สงบจิตลง ตอนนี้เขาถึงค้นพบว่ามีกลิ่นหอมบริสุทธิ์ที่ยากจะอธิบายได้แผ่ออกมาเต็มอ้อมกอด
และในระยะอันใกล้เช่นนี้ หญิงสาวในอ้อมกอดก็หน้าแดงขึ้นมา ทำให้นางดูงดงามอย่างถึงที่สุด ดวงตาสดใสทั้งคู่กลอกไปมา และเปล่งพลังอันยั่วยวนอย่างบอกไม่ถูก
แม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่พอก้มมองหญิงสาวในอ้อมกอดแล้ว ก็นึกถึงรูปร่างอันงดงามที่เคยเห็นในก่อนหน้านั้น เขาจึงก้มลงจูบปากนางอย่างอดไม่ได้
เย่เทียนเหมยเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ใบหน้าชะงักงัน แต่ร่างกายกลับยิ่งอ่อนแรงมากกว่าเดิม นางจึงดิ้นรนไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
หลิ่วหมิงดูดดื่มน้ำลายอันหอมหวานของหญิงสาวในอ้อมกอดอย่างละโมบ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดถึงมีการดิ้นรนอย่างรุนแรงอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิวจึงละปากออกมาทันที และสบตากับดวงตาอันเยือกเย็นอีกครั้ง
……………………………………