บทที่ 380.4 ลางบอกเหตุ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันกลับมานั่งข้างโต๊ะ ตรวจสอบตัวอักษรที่เผยเฉียนคัด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีตัวอักษรใดที่นางเขียนอย่างขอไปทีก็ทำท่าบอกเป็นนัยให้นางไปเล่นได้แล้ว

เผยเฉียนเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นเทียบกับกิ่งกุ้ยใบกุ้ยที่น้ากุ้ยมอบให้ข้าไม่ได้เลย ห่างชั้นกันไกลนัก เหตุใดนักพรตพวกนั้นถึงบูชาพวกมันดั่งสมบัติล้ำค่าล่ะ? แถมยังคุยโวอย่างไม่กระดากอายว่า ‘พันธ์ในดวงจันทร์’ อะไรนั่น หากนี่คือลูกหลานรุ่นหลังของต้นกุ้ยในดวงจันทร์ ถ้าอย่างนั้นต้นของน้ากุ้ยเราก็ต้องเป็นเทพเซียนอยู่บนดวงจันทร์เลยน่ะสิ ใช่ไหม?”

หัวใจเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”

เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งที

แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเอง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดไม่ผิด”

เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม ข้าบอกแล้ว”

เฉินผิงอันหุบยิ้ม เอ่ยกำชับ “เพราะฉะนั้นครั้งหน้าที่เจอน้ากุ้ยต้องมีมารยาทมากกว่าเดิม”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าชอบน้ากุ้ยจริงๆ นะ”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แล้วนักพรตน้อยของอารามจินกุ้ยที่ให้เจ้ายืมร่มกันฝนคนนั้นล่ะ?”

เผยเฉียนกำหมัดทุบลงบนโต๊ะ พูดเสียงขุ่น “เจ้าหมอนี่น่ารำคาญยิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะข้ากับเขามาพบกันโดยบังเอิญ แถมยังมีคนนอกอยู่ด้วย ป่านนี้ข้าคงซ้อมเขาให้น่วมจนอาจารย์พ่ออาจารย์แม่ของเขาจำหน้าไม่ได้ไปแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้ม “ทีอย่างนี้รู้จักรำคาญแล้ว? เจ้าลองคิดดูสิว่าตัวเองไปตอแยเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงอย่างไร?”

เผยเฉียนเบิกตากว้าง ครุ่นคิดอยู่นานก็ได้แต่หยิบเอายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่รักที่สุดแผ่นนั้นออกมาแปะไว้บนหน้าผาก ถอนหายใจพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายน่าสงสารมากเลยน่ะสิ”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป “เจ้าเพิ่งรู้หรือ? ในตำรากล่าวว่าวิญญูชนต้องหมั่นทบทวนตัวเอง เจ้าต้องหัดทบทวนตัวเองบ้างแล้ว”

เผยเฉียนกุมหัวลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งไปทางหน้าประตูห้อง ก่อนจะหันหน้ามายิ้มพูด “อาจารย์ ข้าจะไปบอกกับเหล่าเว่ยและเสี่ยวป๋ายว่า ครั้งหน้าที่ไปถึงตลาด ถึงคราวที่ข้าต้องควักกระเป๋าซื้อถังหูลู่ให้พวกเขาคนละไม้บ้างแล้ว”

พอเผยเฉียนจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มใคร่ครวญเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สอง

ส่วนคราบร่างจิตหยางของตู้เม่าที่เทียบเคียงได้กับร่างทองของขอบเขตเซียนเหริน เฉินผิงอันตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยจะขอคำแนะนำจากชุยตงซานแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

ลึกๆ ในใจเฉินผิงอันไม่เชื่อใจสันดานของ ‘ราชครูเด็กหนุ่ม’ แต่จะดีจะชั่วก็เชื่อมั่นในความรู้ของลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตผู้นี้

ตอนนี้ได้กลับมาเจอกับจางซานเฟิงอีกครั้ง ได้สอบถามความรู้เรื่องการฝึกตนมาจากเขาไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่จางซานเฟิงเต็มใจบอกทุกเรื่องที่รู้อย่างไม่มีกั๊กไว้

แม้ว่าตบะของจางซานเฟิงจะไม่สูง แต่อันที่จริงโลกทัศน์และมุมมองของเขาต่างก็ไม่ธรรมดา น่าจะเกี่ยวข้องกับที่เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนระบบดั้งเดิม ถึงอย่างไรอาจารย์ของเขาก็คือเทียนซือต่างแซ่ท่านหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ แม้ว่าระดับความสูงต่ำของเทียนซือต่างแซ่จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นักพรตที่สามารถถูกบันทึกชื่อลงในเทียบวงศ์ตระกูลจื่อหวงของตำหนักเทียนซือได้ก็ย่อมไม่ธรรมดา

เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหหนึ่งออกมา หาจอกเหล้าแล้วรินดื่มเพียงลำพัง

ตามคำบอกของจางซานเฟิง ต่อให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งทรัพย์สินและโชควาสนาต่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์มากมายไปเสียหมด หากรวบรวมได้ครบห้าธาตุย่อมดีที่สุด วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่คล้ายคลึงกับขวดกระเบื้องเขียวของวัวดินสีเหลืองที่นำมาช่วยเพิ่มความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณฟ้าดิน ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี ชิ้นหนึ่งใช้โจมตีสังหาร ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตขั้นสูงสุดบนโลกที่ใช้ในการโจมตี อีกชิ้นหนึ่งนำมาใช้ป้องกันซึ่งควรมีประสิทธิผลเฉกเช่นชุดคลุมอาคมจินหลี่หรือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหาร อีกชิ้นหนึ่งคือวัตถุฟางชุ่นวัตถุจื่อชื่อที่คล้ายคลึงกับคลังยุทโธปกรณ์ฟางชุ่นหรือเนินกระบี่จื่อชื่อ เพียงแต่ว่าวัตถุล้ำค่าหายากเช่นนี้แทบจะได้แค่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งคือวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่ถูกบำรุงด้วยความอบอุ่นอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต มีวัตถุชิ้นนี้ก็จะมีพลังสยบภูตผีสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนพลังหยางในร่างได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อผ่านสถานที่ที่มีปราณชั่วร้ายอึมครึมที่มากจนเกินจะคาดเดา น้ำไฟไม่อาจรุกราน เสนียดจัญไรไม่อาจย่างกรายเข้าใกล้

จางซานเฟิงยังบอกด้วยว่าการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตคือดาบสองคม ในเมื่อเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หากถูกทำลายขึ้นมา รากฐานมหามรรคาก็จะเสียหายโยกคลอนตามไปด้วย ผลร้ายที่ตามมามากเกินจะคาดการณ์ได้ไหว

อีกทั้งวัตถุแห่งชะตาชีวิตทุกชิ้นล้วนจำเป็นต้องยึดครองช่องโพรงแห่งหนึ่ง หากมีสิ่งแปลกปลอมปนเข้ามาหรือหากไม่พิจารณาถึงเส้นทางที่ปราณวิญญาณต้องโคจรผ่านก็ง่ายที่ธาตุจะขัดแย้งกันเอง กลับกลายเป็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณ ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณธาตุไฟเข้าแทรก

สุดท้ายจางซานเฟิงบอกว่าหากรวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ครบห้าธาตุก็คือผลลัพธ์ที่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนเว้นจากผู้ฝึกกระบี่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ไม่จำเป็นต้องจงใจเสาะแสวงหาสิ่งนี้ เพราะสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนมากเกินไป พิถีพิถันเรื่องโชควาสนามากเกินไป โดยทั่วไปแล้วมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่ระดับขั้นค่อนข้างดีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี ส่วนอีกชิ้นหนึ่งช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณสามารถดึงดูด กักเก็บปราณวิญญาณ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางในใต้หล้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เว้นแต่พวกเซียนดินที่จะแสวงหาสิ่งที่มากกว่านี้

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อยว่าควรจะหลอมหัวใจบุ๋นสีทองของเทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีหรือไม่

แต่ว่าในกล่องไม้สีเขียวใบนั้น ว่ากันว่าคือ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือ’ ที่เทียนซือใหญ่บางรุ่นของภูเขามังกรพยัคฆ์แกะสลักขึ้นด้วยตัวเอง เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะนำไปมอบให้จางซานเฟิงเป็นของขวัญจากลา มอบให้แก่เทียนซือต่างแซ่ในอนาคตของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้

เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแยนจือให้ความสำคัญกับตราประทับอาคมชิ้นนี้มาก เฉินผิงอันเดาว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง เสิ่นเวินพูดเองว่า ขอแค่ใช้ตราประทับนี้ร่วมกับเวทห้าอสนีที่สืบทอดมาจากภูเขามังกรพยัคฆ์ก็จะมีอานุภาพน่าตกตะลึง

ตอนนั้นตราประทับอาคมถูกปิดผนึกอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองก็สามารถสกัดกั้นการรุกรานจากปราณชั่วร้ายในสุสานไร้ญาติขนาดใหญ่นอกเมืองแยนจือเอาไว้ได้ แค่นี้ก็พอจะมองออกถึงระดับความสูงของมันว่าไม่ใช่สิ่งที่สมบัติอาคมทั่วไปจะทำได้

นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้ตราประทับอาคมมาจนถึงวันนี้ เขายังไม่เคยเปิดกล่องไม้สีเขียวออกสักครั้ง

การที่เขาลังเลว่าควรจะหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดีหรือไม่ นั่นก็เพราะตอนที่ผ่านศึกแคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันได้ถ้วยขาวที่วาดภาพจริงของห้าขุนเขาในแคว้นกู่อวี๋มาใบหนึ่งซึ่งสามารถสร้างดินห้าสีของแคว้นกู่อวี๋ได้ ภายใต้การแนะนำของสวีหย่วนเสีย สุดท้ายจึงไม่ได้ขายมันไปที่หอชิงฝู แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางนำถ้วยขาวที่แต่ละปีได้กำไรแค่ ‘ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ’ มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินของตัวเองแน่นอน

และพอเฉินผิงอันคิดถึงการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีในตอนนี้ที่ดุจดั่งผ่าลำไม้ไผ่ ทางเหนือมีเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือพิทักษ์ภูเขาพีอวิ๋น ทางใต้คล้ายจะมีฟ่านจวิ้นเม่าเป็นผู้พิทักษ์ภูเขาใต้แห่งใหม่ของต้าหลี หากเรื่องนี้สำเร็จ ต้าหลีที่มีพื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ตัวเอง ดินห้าสีก็จะกลายมาเป็นของที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ถึงเวลานั้นราชวงศ์ต้าหลีต้องควบคุมไว้อย่างเข้มงวดแน่นอน ดังนั้นหากตอนนี้เฉินผิงอันสามารถยืนยันได้ว่าสถานที่ตั้งของยอดเขาทั้งสามแห่งที่เหลือนอกจากทิศเหนือและทิศใต้คือที่ใด แล้วรวบรวมดินห้าสีไว้ในปริมาณที่มากพอ จากนั้นค่อยหาภาชนะบรรจุหนึ่งชิ้นที่เหมาะสม ต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน

แต่ความยากนั้นอยู่ที่ว่าที่ตั้งของสามขุนเขาจะเป็นที่ใด ส่วนภัยแฝงนั้นอยู่ที่หากใช้วัตถุชิ้นนี้มาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่จะต้องเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของสถานการณ์บ้านเมืองที่ขึ้นๆ ลงๆ ของต้าหลีอย่างแนบแน่น ทว่าหากต่ำกว่าห้าขอบเขตบนย่อมได้ผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย จะได้กลายเป็นเซียนดินอย่างรวดเร็ว

เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็นึกไปถึงกองลาดตระเวนของต้าหลีท่ามกลางพายุหิมะกลุ่มนั้น แล้วก็นึกไปถึงซ่งจี๋ซินผู้เป็นเพื่อนบ้าน

ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกเล็กน้อยที่เหลือในจอก สุดท้ายเฉินผิงอันก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะชุบหลอมดินห้าสีนี้

เมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่มีความลังเลใดๆ อีก ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมหลอมหัวใจบุ๋นสีทอง!

เพียงแต่ว่าคิดอยากจะให้มีฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีอย่างที่นครมังกรเฒ่ากลับยากราวขึ้นสวรรค์

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง ฟุบตัวลงบนขอบหน้าต่าง มองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย

ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การฝึกหมัดที่แค่ยืนหยัดไม่ย่อท้อครั้งแล้วครั้งเล่า สักวันหนึ่งก็จะฝึกจนครบหนึ่งล้านหมัดเอง

สวีหย่วนเสียเคาะประตูเดินเข้ามา เฉินผิงอันกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบจอกเหล้ามาเพิ่ม สองคนนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน

ไม่ได้พูดคุยเรื่องที่มีสาระอะไร สวีหย่วนเสียพูดถึงบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มนั้นของเขา บอกว่าหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีร้านหนังสือเต็มใจเอาไปจัดพิมพ์ จะได้มีเงินเก็บส่วนตัวกับเขาบ้าง

เฉินผิงอันจึงหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกสิ่งที่พบเจอระหว่างทางออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนขนาดใหญ่ยักษ์อย่างเกาะกุ้ยฮวา เต่าทะเลภูเขา ทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า เทวรูปเทพพิรุณของสำนักบนทะเล มังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่หมดแรงตกลงไปบริเวณใกล้เคียงกับร่องเจียวหลง เซียนกระบี่ทั้งหลายในภาพวาดของเรือนหลิงจือภูเขาห้อยหัว ทางเดินม้าบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีใบถงทวีป พระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาจ้าวผิงนอกเมืองเซิ้นจิ่ง…เขาส่งแผ่นไม้ไผ่ที่สลักตัวอักษรไว้เต็มแน่นเหล่านี้ไปให้สวีหย่วนเสีย สวีหย่วนเสียถามรายละเอียดบางอย่างอีกเล็กน้อย คนทั้งสองดื่มเหล้าด้วยกัน คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ กาลเวลาไหลผ่านไปท่ามกลางน้ำสุรา

ในห้องที่อยู่ข้างกัน นักพรตหนุ่มจางซานเฟิงที่อยู่ในห้องตัวเองหยุดการนั่งเข้าฌานแล้วเริ่มออกหมัดช้าๆ กระบวนท่าหมัดนี้ไม่ค่อยเหมือนกับกระบวนท่าหมัดส่วนใหญ่ในใต้หล้า เน้นช้าไม่เน้นเร็ว ได้แค่เอามาฝึกฝนบำรุงร่างกายเท่านั้น แต่จางซานเฟิงรู้สึกว่าเหมาะสมกับเพื่อนของตนที่สุด

กระบวนท่าหมัดนี้เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ตอนนี้ยังแค่พอเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น สัจธรรมแห่งหมัดมาจากคำกล่าวยามเมามายของอาจารย์เขาและการตระหนักรู้ของตัวเขาเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันจะรังเกียจหรือไม่ จะยินดีเรียนหรือไม่

……

เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ท่ามกลางแสงสายัณห์ ศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวสองคนที่เดินทางมาไกลนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวเล็กที่มีคราบน้ำมันค่อนข้างเยอะของร้านข้างทางร้านหนึ่ง

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อร่างผอมแห้งวัยประมาณสามสิบปีคนหนึ่งรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี ดังนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “โจวจวี่หราน บอกไว้ก่อนว่าข้ากินเผ็ดไม่ได้”

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ชื่อว่าโจวจวี่หรานยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลิง เพราะว่าเจ้าไม่กินเผ็ดนี่แหละที่ทำให้พลาดอาหารรสเลิศมากมายในโลกไป”

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ถูกเรียกล้อเลียนว่า ‘เจ้าลิง’ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

ตลอดทางที่เดินทางมานี้มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาทั้งนั้น ช่วยไม่ได้ เจ้าโจวจวี่หรานผู้นี้เป็นตัวก่อเรื่องอย่างแท้จริง ถูกผิดของในใจคนผู้นี้มักจะพร่าเลือนกว่านักปราชญ์คนอื่นๆ ในสำนักศึกษาเสมอ แต่ก็ยังดีที่โดยภาพรวมแล้วตนยังพอจะรับได้

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อผอมบางที่มีบุคลิกสอดคล้องกับกลิ่นอายของสำนักศึกษามากกว่าโจวจวี่หรานผู้นี้กวาดตามองไปรอบด้าน ครั้งนี้ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนตัดสินใจเองโดยพลการ ถึงขนาดจะเอาฝ่ายที่ชนะในการโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้มาเป็นลัทธิประจำแคว้น เชิดชูฐานะให้สูงส่งยิ่งกว่าลัทธิขงจื๊อ

หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ความสนใจของสำนักศึกษากวานหูพวกเขาถูกเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีปดึงไปทั้งหมดจนไม่อาจมาสนใจที่แห่งนี้ ก็คงไม่ใช่แค่เขาโหวเจิ้งกับโจวจวี่หรานหนึ่งวิญญูชนหนึ่งนักปราชญ์ ‘เดินทางท่องเที่ยว’ มาถึงแคว้นชิงหลวนแล้ว แต่คนทั้งสองจะต้องตรงดิ่งไปตำหนิฮ่องเต้สกุลถังผู้นั้นถึงในวังหลวงสักรอบหนึ่ง

นักปราชญ์โจวจวี่หรานสั่งบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนอาหารรสเลิศขึ้นชื่อของท้องที่มาสองชาม ชามหนึ่งใส่พริกเผ็ดมาก อีกชามหนึ่งไม่เผ็ด แล้วก็เริ่มกินพร้อมกับ ‘เจ้าลิง’ แห่งนครมังกรเฒ่า

นักปราชญ์หนุ่มที่ชอบเรียกตัวเองว่าโจวจวี่ม้วนเส้นบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนเข้าปากคำใหญ่แล้วก็พูดเสียงอู้อี้ว่า “ได้ยินอาจารย์บอกว่าการโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ค่อนข้างจะเป็นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ พวกเขาป่าวประกาศแก่คนนอกว่าให้ลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าส่งเจินเหรินและภิกษุสมณศักดิ์สูงมาฝ่ายละสิบท่าน จากนั้นก็ให้ไปโต้เถียงกันที่วังหลวง ดูว่าใครมีความสามารถในการถกเถียงมากกว่ากัน ทว่าการตัดสินแพ้ชนะที่แท้จริงกลับอยู่ในที่มืด พวกเขาตั้งใจเชิญผู้เฒ่าจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินคนหนึ่งมาเป็นประธานโดยเฉพาะ จากนั้นก็ให้เซียนดินสองท่านใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำและภูเขาผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบดูนักพรตท่านหนึ่งและภิกษุท่านหนึ่งตลอดเวลา ต้องจัดให้คนสองคนนี้ทำการโต้วาทีกันเป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้ใครจับพิรุธได้ ดูว่าใครที่พระธรรมหรือมรรคกถาสูงกว่ากัน ทั้งต้องแบ่งแยกแพ้ชนะในด้านพระไตรปิฎกและคัมภีร์เต๋า แถมยังต้องเปรียบเทียบในด้านการจัดการเรื่องราว รวมไปถึงความสามารถในการโน้มน้าวชักจูงคน ความรู้ การฝึกบำเพ็ญตน การอบรมสั่งสอน รวมแล้วก็แข่งกันสามด้านพอดี”

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อายุมากกว่าขมวดคิ้ว เรื่องวงในเหล่านี้ โจวจวี่หรานเพิ่งจะเคยพูดเป็นครั้งแรก หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หัวคิ้วก็คลายออก “มิน่าเล่าเจ้าขุนเขาถึงได้ไม่โมโห ที่แท้ก็จะใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก การกระทำนี้ของแคว้นชิงหลวน อันที่จริงไม่ถือว่าเลวร้ายไปซะหมด”

โจวจวี่หรานยิ้มอย่างชอบใจ หยิบตะเกียบมาชี้หน้าศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “นิสัยนี้ของเจ้าโหวเจิ้งนี่แหละที่ถูกใจข้าที่สุด มองทุกอย่างในมุมกว้าง อีกทั้งยังมองแต่ในด้านดี”

วิญญูชนสำนักศึกษาที่ชื่อว่าโหวเจิ้งส่ายหน้าไม่พูดไม่จา

โจวจวี่หรานถามว่า “นครมังกรเฒ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าไม่คิดจะกลับบ้านไปดูบ้างหรือ?”

โหวเจิ้งยังคงส่ายหน้า “ไปก็ไม่มีประโยชน์ เดิมทีขนบธรรมเนียมประจำบ้านที่บรรพบุรุษสกุลโหวสืบทอดต่อกันมาก็หลงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ก็แค่เทียนกลางสายลม ข้าไปก็ได้แค่บีบให้ไส้เทียนในตะเกียงสว่างขึ้นอีกนิดเท่านั้น ไม่สู้มีชีวิตอยู่เหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแบบนี้ยังดีกว่า ข้าได้แต่ฝากความหวังกับเด็กรุ่นหลังที่มีความรับผิดชอบ แล้วถึงจะกล้าช่วยเหลือเขาอีกแรงหนึ่ง”

โจวจวี่หรานพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นเจ้าที่คิดได้รอบคอบ”

โหวเจิ้งยิ้มขื่น “ถึงอย่างไรก็เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น จะไม่ให้ข้าคิดเผื่อบางเลยหรือ?”

โจวจวี่หรานวางตะเกียบลง ถามว่า “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือยัง?”

โหวเจิ้งมองชามขาวใบใหญ่ตรงข้ามที่ว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง แล้วก็ไม่สนใจโจวจวี่หรานอีก รีบก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ของตัวเองต่อไป

โจวจวี่หรานทอดถอนใจ หันหน้ากลับไปตะโกน “เถ้าแก่ เอามาอีกชาม…ใส่พริกน้อยหน่อย เผ็ดมากของร้านเจ้านี่เผ็ดจนคนตายได้จริงๆ”

บนถนนใหญ่มีสตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวอายุน้อยสวมผ้าคลุมหน้ากลับมาจากเที่ยวชานเมือง โจวจวี่หรานทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “สาวงามที่กลับมาจากท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ เหงื่อออกเล็กน้อย บวกกับกลิ่นหอมสดชื่นที่นำกลับมาจากป่าเขาทะเลสาบซึ่งได้กลิ่นเลือนๆ นั้น ช่างงดงามซะจริง”

โหวเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

โจวจวี่หรานกล่าวต่ออีกว่า “หรือข้าควรจะเข้าไปร่วมวงด้วย เปลี่ยนให้งานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนครั้งนี้กลายเป็นงานประชันเล็กๆ ของสามลัทธิครั้งหนึ่งไปเลย?”

คราวนี้โหวเจิ้งตอบกลับอย่างว่องไว เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ไม่ได้”

โจวจวี่หรานเอามือตบโต๊ะ “เถ้าแก่ เปลี่ยนเป็นเผ็ดมากเหมือนเดิม!”

—–