กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 971
“ไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่บ่นหรอกหรือ ถ้าเจ้าเงียบกว่านี้เราก็คงออกไปจากสถานที่บ้าๆ นี่ไปแล้ว”
“……”
เมื่อเห็นเยี่ยจิ่งหานจับเข่าและขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด กู้ชูหน่วนจึงช่วยดูอาการให้เขา
“เสียใจด้วย ขาของเจ้าหักไปแล้วและกระดูกของเจ้าก็แตกไปหลายส่วนด้วยเช่นกัน”
“อะไรนะ?”
“เจ้ากลับกลายเป็นคนพิการที่เอาไว้เชยชมอีกครั้ง เหมือนกัน…ตอนที่อยู่ในหอดาบ”
เยี่ยจิ่งหานยกหมัดกำลังจะชกไปที่ใบหน้าที่แสนน่ารังเกียจของนาง
กู้ชูหน่วนหลบและถอยออกไป “เจ้าคิดให้ดีล่ะ สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่เล็กเช่นนี้ หากเจ้าลงมืออะไร หากโชคร้ายเกิดการถล่มลงมาอีกครั้ง เราคงต้องถูกฝังที่นี่แน่ๆ”
คำพูดนี้เหมือนการข่มขู่ แต่ก็เป็นเรื่องจริง
เยี่ยจิ่งหานเอามือลงและอดทนกับความเจ็บปวด จากนั้นจัดการรอยคราบเลือดบนขาของเขาอย่างยากลำบาก
“เห็นแก่ที่เจ้าทำไปเพื่อช่วยชีวิตของข้า ข้าพันแผลให้เจ้าก็ได้”
“ไม่ต้อง”
“งอนทำไมกัน ข้าไม่กินเจ้าหรอก”
กู้ชูหน่วนบังคับเขาให้นั่งดีๆ และจัดการทำแผลให้อย่างช่ำชอง “เจ้าต้องคิดให้ดี และต้องคิดแทนภรรยาของเจ้าด้วย หากเจ้าตายลงที่นี่ เช่นนั้นแล้วใครจะเป็นคนทำให้นางฟื้น”
เยี่ยจิ่งหานหยุดนิ่งและฉีกขอบผ้าที่ชุดของเขาเพื่อเอามาปิดปากตัวเอง
เขาทั้งเจ็บขาและปวดหลังอย่างมาก แม้ว่ากู้ชูหน่วนจะมือเบา ทว่าเขายังคงเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
ทว่าไม่ว่าจะเจ็บปวดมากเพียงใด เขาก็ไม่ส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว
นางพูดถูก เขาจะตายที่นี่ไม่ได้ หากเขาตายไป เช่นนั้นแล้วกู้ชูหน่วนจะทำอย่างไร?
“โชคดีที่เจ้ากระดูกแข็ง หินก้อนใหญ่ขนาดนั้นตกลงมาแต่กลับไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อขาของเจ้าได้”
เยี่ยจิ่งหานดึงผ้าอุดปากออก “กระดูกแข็ง?”
“ข้าพูดผิดหรือ กระดูกแข็ง กระดูกของเจ้าแข็งมาก เป็นแบบนี้แล้วแต่กระดูกของเจ้ากลับไม่แตกหัก”
กู้ชูหน่วนพูดและจัดการดัดกระดูกของเขาให้กลับเข้าที่ เยี่ยจิ่งหานเจ็บปวดจนร้องอุทานออกมา
“อ๊า……มู่หน่วน เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”
“ดูสิ กระดูกกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว แต่กระดูกที่หัวเข่าของเจ้าแตกหักแล้วและไม่สามารถรักษาได้ คงต้องนอนพักรักษาตัวบนเตียงสักสองสามเดือน”
เยี่ยจิ่งหานจ้องมองไปที่กระดูกซี่โครงของตัวเอง และเห็นว่ามีกระดูกที่กลับมาเป็นปกติแล้ว จากนั้นจึงรู้ว่าเมื่อสักครู่ที่นางพูดจาดูถูกทำให้เขาอับอายนั้น เป็นเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเขา แม้ว่าจะโกรธ แต่เขาก็ไม่ถือสาอะไรนาง
โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่านางกำลังบรรจงทำแผลให้เขาอย่างเบามือและอย่างตั้งใจ และกลัวว่าหากให้แรงมากไปจะทำให้เขาเจ็บ สุดท้ายเยี่ยจิ่งหานจึงไม่รู้สึกโกรธอะไร
“ทำแผลเสร็จแล้ว แต่ห้ามขยับ ไม่เช่นนั้นขาของเจ้าจะต้องพิการไปตลอดแน่” กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นมอง รอบๆ บริเวณล้วนเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ปิดทับทาง และเป็นไปได้หรือหากเยี่ยจิ่งหานจะไม่ขยับ?
หรือว่านางต้องแบกหามเขาออกไป?
แต่……
พวกเขาถูกขังอยู่ในนี้ แม้แต่นางเองก็ออกไปไม่ได้ จะหามเขาออกไปได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนนั่งพิงไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่และถาม “มีวิธีออกไปจากที่นี่หรือไม่?”
เยี่ยจิ่งหานส่ายหน้า
“คงทำได้เพียงลองดูว่าหินได้ถล่มลงมาทั้งวังใต้ดินหรือไม่ หากแค่ช่วงสั้นๆ ไม่แน่เราอาจออกไปได้”
หากไม่ใช่ ต่อให้เป็นวรยุทธ์ระดับเจ็ดก็คงออกไปไม่ได้เช่นกัน
และจากการถล่มลงมาเมื่อสักครู่ คาดว่าวังใต้ดินคงพังไปทั้งหมดกระมัง
“บุกรุกเข้ามาในวังหลวง ช่วยเซี่ยวอวี่เซวียนไม่ได้ แถามยังต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข้าช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้”
กู้ชูหน่วนพูดพลางและขยับก้อนหินออก เพื่อหวังว่าจะทำให้มีทางเดินขึ้นมาได้
ก้อนหินที่นี่มีน้ำหนักกว่าหลายร้อยกิโลกรัม กู้ชูหน่วนเพียงคนเดียวต่อให้มีพละกำลังมากขนาดไหนก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมด
อีกอย่าง เคลื่อนย้ายก้อนหนึ่งก็ยังมีอีกหลายๆ ก้อนรออยู่อย่างไม่สิ้นสุด และยังต้องกังวลว่าหากเคลื่อนย้ายไปแล้ว จะถล่มลงมาอีกหรือไม่
เยี่ยจิ่งหานมองนางเคลื่อนย้ายทีละเล็กทีละน้อยและมีเหงื่อไหลเต็มใบหน้าจึงอดไม่ได้กล่าวขึ้นมา “ข้าช่วย”
“ไม่ต้อง เจ้านั่งอยู่ตรงนั้นแหละ และรักษาท่านั่งอันหล่อเหลาของเจ้าให้ข้าได้ชื่นชมก็พอ แค่นี้ข้าก็มีแรงแล้ว”
“……”