บทที่ 4 บทที่ 70 คืนเงียบสงัด (4)

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

มหาวิทยาลัยหมายถึงชีวิตที่อิสระมากขึ้น ถึงแม้ว่านักเรียนมัธยมจะมีอิสระมากอยู่แล้วก็ตาม 

 

แต่ก็หนีพ้นสายตาผู้ปกครองไปได้ ด้วยการเลือกเข้าพักในหอพักของมหา’ลัย อยู่ร่วมกับเพื่อนวัยเดียวกัน ไม่ต้องฟังเสียงพ่อแม่บ่นกระปอดกระแปดเพราะกลับบ้านดึก แถมมีเวลาไปทำงานพิเศษมากขึ้น และยังใช้เงินได้อิสระอีกด้วย…แล้วใครจะไม่อยากอยู่ล่ะ? 

 

น่าจะชอบใจแบบนี้มากกว่าสิ…เอลลีคิดแบบนี้ 

 

เธอนั่งอยู่บนสนามหญ้าข้างสนามในมหาวิทยาลัย อ่านหนังสือของฐากุร*ไปพลางคิดแบบนี้ไปพลาง แต่เปิดเรียนมาครึ่งเทอมแล้ว เธอกลับไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องดีพวกนี้เลย 

 

ทันใดนั้นก็เหมือนถูกของบางอย่างเคาะหัวเบาๆ  

 

เอลลีจึงรีบหันตัวไปมอง ก็เห็นว่าเป็นกลอเรีย หล่อนพักอยู่ที่เดียวกับเธอ เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย 

 

“เธออยู่ที่นี่เองเหรอ” 

 

กลอเรียนั่งขัดสมาธิลง มองเอลลีแล้วพูดว่า “คนที่ชมรมฝากฉันมาถามว่าทำไมเธอถึงขาดประชุมอีกแล้ว นี่เอลลี ถ้าเธอไม่ชอบแล้วมาเข้าชมรมทำไม?” 

 

เอลลีตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย “เธอคิดว่าฉันชอบเข้าชมรมไร้สาระแบบนี้จริงๆ เหรอ? เคี้ยวผักกาดแก้ว? โอ๊ย! สวรรค์ ต้องมีความคิดแปลกๆ ขนาดไหนถึงคิดกิจกรรมประหลาดแบบนี้ได้? ความจริง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าการเคี้ยวผักกาดแก้วแบบนี้เป็นที่นิยมในโรงเรียนได้ยังไง…แถมยังนิยมในรั้วมหาวิทยาลัยอีก! ชีวิตของพวกเธอมันน่าเบื่อถึงขนาดต้องเคี้ยวผักกาดแก้วมาสร้างสีสันในชีวิตแล้วเหรอ?” 

 

“ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน” กลอเรียยักไหล่พูด 

 

เอลลีได้ยินก็ถามอย่างสงสัย “ก็ตอนแรก เธอลากฉันเข้าชมรมเองไม่ใช่เหรอ?” 

 

กลอเรียเล่นผมลอนที่เพิ่งดัดมาของตนเอง เท่าที่เอลลีรู้ หล่อนใช้เวลาในร้านทำผมไปไม่น้อยกว่าห้าชั่วโมง 

 

“เพราะฉันเห็นว่าชมรมนี้มีหนุ่มๆ หน้าตาดีหลายคน ก็เลยเข้าชมรมน่ะสิ” กลอเรียพูดต่อด้วยตาเป็นประกาย “อีกอย่าง เธอไม่คิดเหรอว่าช่วงนี้พวกเราเหมาะจะหาแฟนสักคนน่ะ?” 

 

เอลลีหัวเราะฮึ แล้วพูดว่า “นั่นสินะ พ่อแม่ลำบากส่งพวกเรามาถึงที่นี่ ก็เพื่อให้พวกเราหาแฟนสักที” 

 

กลอเรียเอนหลังนอนลงแล้วพูดว่า “ฉันแค่คิดว่าหากไม่มีความรักช่วงยังสาว ชีวิตก็จะจืดชืดมากเกินไป จะว่าไปฉันก็ไม่ได้ทิ้งการเรียนนะ ส่วนเธอน่ะ ก็เลิกอยู่แต่ในห้องเรียน ห้องสมุด หอพักตลอดทั้งวันได้แล้วมั้ง?” 

 

เอลลีพูดอย่างอารมณ์เสีย “ฉันไม่ใช่เธอนี่ คุณกลอเรีย เวลาสอบเธอก็คว้าเกรดเอมาได้ตลอด ทั้งที่ไปปาร์ตี้มาตลอดทั้งคืน แต่ถ้าฉันไม่เตรียมตัวก่อนสอบ อย่างมากคงได้แค่เกรดบี” 

 

“เธอเคร่งครัดกับตัวเองมากไปแล้วนะ!” กลอเรียตบพื้นหญ้าข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า “เอาอย่างฉันนี่ หยุดสักพัก แล้วยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เธอจะได้รู้ว่าความจริงแล้วโลกนี้ยังมีดีอีกมากเลยนะ” 

 

เอลลีส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉันรู้แค่ว่าถ้าเกรดฉันไม่ขึ้นละก็ ทุนการศึกษาเทอมหน้าก็อาจจะหลุดลอยไปก็ได้” 

 

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เธอก็รีบเก็บของบนพื้นขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืน “ตอนนี้ฉันก็ต้องไปห้องสมุดต่อแล้ว เธอจะไปไหม?” 

 

กลอเรียโบกไม้โบกมือเชิงปฏิเสธ 

 

วินาทีที่เอลลีหมุนตัวกำลังไป ก็ชนเข้ากับใครบางคน หนังสือฐากุรจึงหลุดมือตกลงบนสนามหญ้าทันที 

 

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ…” 

 

“ผม ผมชื่อไรอัน คน คนนี้คือเลห์แมน…” 

 

… 

 

… 

 

เลือดสดๆ ยังคงไหลนองอยู่เต็มพื้น 

 

เหตุการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ ผู้คนที่เห็นมักชะงักจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เอลลีถึงเรียกสติกลับมาได้ 

 

แล้วกลอเรียก็กระโดดลงมาจากโซฟาทันที ก่อนวิ่งฉิวตรงมาทางนี้โดยไม่สนใจใส่รองเท้าด้วยซ้ำ 

 

เอลลีเห็นกลอเรียวิ่งไปกอดแขนเลห์แมนอย่างรวดเร็ว เธอตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…โอ้! สวรรค์!” 

 

“จะต้องเป็นไอ้บ้านั่นแน่ๆ! ไม่ผิดตัวหรอก!” เลห์แมนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ในกระเป๋าใบนี้จะต้องเป็นศพสามีคุณนายแม็กกี้แน่ๆ…พระเจ้า พวกเราเจอปีศาจเสียสติฆ่าคนเข้าแล้วเหรอเนี่ย?” 

 

“ไปกันเถอะ! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว! เลห์แมน!” กลอเรียรีบพูดเร่ง 

 

แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นในฉับพลัน 

 

ในชั่วพริบตานั้น ประตูหน้าบ้านก็กระแทกปิดไปแล้ว 

 

เสียงดังมาก จนเอลลีหันไปมองประตูหน้าบ้านในทันที! 

 

“เกิดอะไรขึ้น!” 

 

ไม่ใช่แค่ประตูหน้าบ้านบานนี้เท่านั้น แม้แต่บานประตูตรงห้องรับแขก และบานหน้าต่างห้องครัว ก็แทบจะปิดลงพร้อมๆ กันทันที! 

 

เลห์แมนรีบเดินไปอยู่หน้าประตู ก่อนออกแรงบิดลูกบิดประตูเป็นเสียงดังแกร็กๆ แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงบิดอย่างไรก็เปิดประตูไม่ได้ 

 

เลห์แมนออกแรงกระแทกไปอีกหลายครั้ง ก็ยังเปิดประตูบ้านพักนี้ไม่ออก 

 

เลห์แมนรีบลนลานหันหน้ากลับมา แววตาของเขาจ้องไปทางชายหนุ่มซึ่งมาจากโลกฝั่งตะวันออก ผู้เป็นเจ้าของบ้านพักแห่งนี้ “ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมอยู่ๆ ประตูนี่ถึงปิดเอง?” 

 

ลั่วชิวที่ถูกถามก็อ้าปากค้างเล็กน้อย 

 

เขาขมวดคิ้วน้อยๆ มองไปทางหน้าประตู แล้วเดินไปอยู่หน้าประตูทันที ก่อนยื่นมือออกไปจับลูกบิด พร้อมออกแรงบิดเบาๆ  

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” เลห์แมนเริ่มขึ้นเสียงถาม 

 

ตอนนี้เอง ลั่วชิวถึงหันหน้าไปถามกลับว่า “ประตูนี่…ทำไมถึงล็อกเองได้ล่ะ? แล้วก็ช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ? เสียงดังแบบนี้จะปลุกเพื่อนตัวน้อยที่หลับยากคนนั้นให้ตื่นขึ้นมานะครับ” 

 

เขาชี้ไปทางลีน่าที่หลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา 

 

“เวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่าควรปลุกเธอให้ตื่นหรอกเหรอ?” เลห์แมนหัวเราะเยาะ จากนั้นก็เดินตรงไปหน้าโซฟาโดยทันที 

 

ดูจากสถานการณ์แล้ว เลห์แมนคงคิดจะปลุกสาวน้อยลีน่าให้ตื่นขึ้นมา แต่เขากลับหยุดชะงักกะทันหัน และเดินถอยหลังมาทีละก้าว “พระเจ้า…” 

 

ตอนนี้ดูเหมือนว่า คนที่กล้าหาญอย่างเขาจะกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวที่สุดไปแล้ว 

 

เอลลีมองตามสายตาเลห์แมนไป แล้วเธอก็เห็นกระเป๋าหนังใบใหญ่ที่อเล็กซ์ทิ้งไว้ที่นี่ทันที! 

 

กระเป๋าหนังใบใหญ่พลิกคว่ำลงบนกองเลือด แล้วตัวล็อกบนกระเป๋าก็ปลดออกเองทันที…มันค่อยๆ เปิดอ้าออกจนเป็นรูแยกอย่างช้าๆ จากนั้นจู่ๆ ก็หยุดนิ่งไป 

 

ทันใดนั้นเอง 

 

ก็มีบางอย่างยื่นออกมาจากช่องกระเป๋าอันมืดมิด…แขนข้างหนึ่ง! 

 

แขนข้างหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยเลือด 

 

“มัน มัน มันคลานออกมา คลาน คลาน คลาน…” ไรอันหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริกจนพูดไม่รู้เรื่อง 

 

จากแขนข้างหนึ่ง ก็เป็นแขนอีกข้างหนึ่ง…แขนของคน…แต่ข้างในนั้นเป็นอะไรกันแน่? 

 

ดูเหมือนว่าเขาหรือเธอคนนั้นคงเอาตัวออกมาจากกระเป๋าหนังไม่ได้ จึงได้แต่ใช้สองมือคลานอยู่บนพื้นแบบนี้ แล้วกระเป๋าหนังก็เคลื่อนอยู่บนกองเลือด ขยับเข้ามาใกล้ ทีละนิด ทีละนิด… 

 

“อ๊า!!” 

 

กลอเรียส่งเสียงกรีดร้องแหลม แล้ววิ่งแจ้นไปตรงประตูระเบียงทันที ก่อนพยายามเปิดบานประตูอย่างบ้าคลั่ง จนแล้วจนรอดก็ยังเปิดไม่ออก 

 

ในช่วงคับขันนั้น กลอเรียวิ่งตึงๆๆ พุ่งไปยังบันไดที่มุ่งหน้าขึ้นชั้นบนทันที  

 

“กลอเรีย!” เลห์แมนตะโกนเรียกเสียงดัง 

 

ตอนนี้เอลลีกลับเห็นกระเป๋าหนังใบนั้นพุ่งเข้ามาทันที เธอตกใจจนชะงักไป แต่แขนของเธอก็ถูกคว้าหมับไว้ก่อน พอเธอตั้งสติได้ ก็ถูกไรอันลากวิ่งขึ้นบันไดไปแล้วเหมือนกัน 

 

เลห์แมนก็วิ่งตามขึ้นไปด้วย 

 

เหลือก็แต่เจ้าของร้านลั่ว…ที่กำลังบิดลูกบิดประตูเบาๆ 

 

 

 

 

 

*ฐากุร คือ รพินทรนาถ ฐากุร (Rabindranath Tagore) สัญชาติบริติสอินเดีย มีสมัญญานามว่า “คุรุเทพ” เป็นนักปรัชญาพรหโมสมัช เขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทเพลง ละครเพลง และเรียงความมากมายที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองการปกครอง และเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ประจำปี ค.ศ. 1913 นับเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล