บทที่ 558 การทูต
“ซาร์ด ดวงตาเจ้ามืดบอดเพราะความโลภ และเสื่อมทรามลงเพราะความชั่วร้ายทั้งหลาย เจ้าทรยศต่อหลักคำสอนของพระเจ้า และเจ้าจะทุกข์ทรมานไปตลอดกาลเพราะมัน” เบเนดิกต์ที่สองกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จังหวะจโคนยามเขาเอื้อนเอ่ยนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง ราวกับว่าเสียงของเขาจะปลุกมโนธรรมของคนคนนั้นขึ้นมาได้และทำให้พวกเขาสำนึกผิดทั้งน้ำตา

เขาดูสงบนิ่งและใจเย็นเหมือนทุกครา ราวกับว่าเขาจะยอมทำพิธีล้างบาปและให้อภัยแก่ซาร์ดอีกครั้ง ตราบใดที่ซาร์ดก้มศีรษะให้ด้วยความเสียใจ

แต่ซาร์ดรู้ดีว่าท่าทีเช่นนั้นจะดูเป็นปกติหากเป็นยามอื่น แต่ในยามนี้ มันบ่งชี้ว่าพระสันตะปาปาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว การก่อกบฏนั้นเลวร้ายกว่าเหล่าคนนอกรีตนับหมื่นเท่า และกบฏที่คิดจะฉกฉวยพลังเขาไปแล้วสังหารเขานั้นยิ่งเลวร้ายกว่านับล้านเท่า คนเช่นนั้นสมควรจะถูกบดขยี้อย่างไร้ปรานี!

มันไม่เหลือทางใดสำหรับการสงบศึกแล้ว เหตุผลที่พระสันตะปาปาพูดโดยใช้หลากหลายภาษาและเสริมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อลดความระแวดระวังตัวของอีกฝ่ายลง เขายังไม่อาจรู้ได้ว่าผู้สนับสนุนคือใครและความลับของซาร์ดคืออะไรกันแน่

ซาร์ดเงยหน้าขึ้น ความตื่นตระหนกเมื่อครู่ก่อนหายไปแล้ว เส้นผมและหนวดเคราของเขาแผ่สยาย ทำให้ดูเหมือนกับนักบุญที่แท้จริงผู้กำลังจะถูกสังเวยให้แก่พระสิริแห่งพระเจ้า เขากร่นด่า “เหล่าพระสันตะปาปาได้ขโมยพลังและพระเกียรติของพระองค์ไป แล้วยังเอ่ยอ้างเป็นผู้แถลงการณ์และร่างจุติของพระองค์บนโลกใบนี้ที่มีอำนาจใกล้เคียงกับพระองค์ที่สุด! คนพวกนี้คือคนนอกรีตที่เป็นภัยอย่างยิ่ง! ข้าได้ยินคำสอนสั่งจากพระเจ้าและได้รับการสนับสนุนจากราชาทูตสวรรค์ และวันนี้ข้าก็จะกำจัดปีศาจร้ายซึ่งก็คือเจ้า!”

“ดูเหมือนว่าจิตใจเจ้าจะมืดบอดไปแล้วจริงๆ เพราะสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความลับ” เบเนดิกต์ที่สองชูไม้เท้าขึ้น

ขณะที่ทั้งสองตอบโต้กัน นาตาชาก็ฉวยโอกาสที่มีในการกักเก็บพลังเหนือธรรมชาติของนาง แล้วค่อยๆ ออกจากอาณาเขตวิมานบนดินไปอย่างเงียบงันและเคร่งเครียด แม้ว่านางจะมี ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ อาวุธชั้นตำนานระดับสาม นางก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะเอาตัวรอดจากการต่อสู้ระหว่างพระสันตะปาปาและซาร์ดได้ นางเพียงหวังว่าอาณาเขตวิมานบนดินจะต้านทานการจู่โจมระลอกแรกของพวกเขาได้

ซาร์ดไม่พูดอะไรอีก บรรยากาศรอบกายเขาพลันเปลี่ยนไป แล้วบางสิ่งบางอย่างที่ดูสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นจากในร่างกายเขา ทำให้เขาหลุดจากการจับกุมของเบเนดิกต์ที่สองแล้วก้าวพริบตาขึ้นไปยังท้องนภา

การสำแดงนั้นคือพลังในระดับตำนานขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน!

“ปีศาจที่ขโมยพลังของพระเจ้าไป จงน้อมรับโทษทัณฑ์ของเจ้าเสีย!”

เบเนดิกต์ที่ถือไม้เท้าอยู่นั้น ทะลุผ่านอวกาศติดตามซาร์ดขึ้นไปเหนือหมู่เมฆในทิศทางตรงกันข้าม

“พระองค์คือหนึ่งเดียว และทุกผู้ทุกนาม”

“พระองค์คือจุดเริ่มต้น และจุดจบ”

“พระองค์คือผู้สร้าง และผู้ควบคุม”

ขณะที่เขาท่องประโยคจากพระคัมภีร์ ซาร์ดก็ดูราวกับอยู่คนละโลกกัน แสงสว่างแสนศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังหลั่งไหลออกมาจากร่างกายเขาในขณะที่เขามองทุกสิ่งทุกอย่างจากบนฟากฟ้า

ผู้ศรัทธาทุกผู้คนในนครเรนทาโตต่างรู้สึกคล้ายกับจะซาบซึ้งดีใจจนน้ำตาไหลพร้อมๆ กัน พวกเขาสวดภาวนาตามเขา

“พระองค์คือหนึ่งเดียว และทุกผู้ทุกนาม”

“พระองค์คือจุดเริ่มต้น และจุดจบ”

มหาสมุทรแห่งแสงภายในอาณาเขตวิมานบนดินกลับมาคงที่ และระลอกคลื่นที่เกิดจากการต่อสู้ของเหล่าผู้มีพลังระดับตำนานก็สงบลง บทสวดอันปลอบโยนนุ่มนวลดังก้องสะท้อนไปทั่ว

“พระองค์คือหนึ่งเดียว และทุกผู้ทุกนาม”

“พระองค์คือจุดเริ่มต้น และจุดจบ”

ใบบนหน้าซาร์ด รอยเหี่ยวย่นมากมายปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเจน ผิวของเขาเริ่มดูไร้ชีวิตชีวา ทำให้เขาดูเหมือนซากศพแห้งๆ เขายกมือข้างขวาขึ้น แล้วภาพมายาสะท้อนของหุบเขาวิมานทั้งเจ็ดชั้นก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า กลืนกินแสงตะวันด้วยประกายแสงเจิดจ้าของมัน บทเพลงแสนไพเราะเสนาะหูและคำสรรเสริญดังกึกก้องขึ้นพร้อมกัน และแสงสว่างไร้ขอบเขตก็เริ่มมารวมตัวกันเป็นกลุ่มแสงไร้ที่สิ้นสุดบนชั้นที่เจ็ด

ภาพคุ้นตานี้บ่งชี้ถึงบางสิ่งอย่างไม่ต้องสงสัยว่าซาร์ดเองก็สามารถใช้…

“พลังพระเจ้าเสด็จ!”

ในฐานะผู้ออกอุบายที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติเหมาะสม พละกำลังของตัวเขาเองต้องเป็นพื้นฐานของแผนการทั้งหมดเสมอ!

“สรุปแล้ว เจ้าได้น้อมรับพลังจากพระองค์และติดต่อกับความลับนั้นเช่นกันสินะ เจ้ามีความคืบหน้ายิ่งกว่าพวกนอกรีตทางตอนเหนือเสียอีก ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะอาจหาญพอที่จะพยายามชิงบัลลังก์ แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าพลังชีวิตเจ้าจะหมดลงและตายไปน่ะ” จู่ๆ พระสันตะปาปาก็เอ่ยท่าทางกรรโชกโฮกฮาก ทั้งค่อนข้างประหลาดใจและรู้สึกว่ามันยังอยู่ในการคาดเดา “เจ้าคือผู้ล่อลวงราชาทูตสวรรค์ หรือว่าเจ้าถูกเขาล่อลวงกันแน่ เจ้าไปเจออะไรในโลกแห่งวิญญาณกันแน่”

ซาร์ดมองไปทางเบเนดิกต์ที่สองด้วยดวงตาที่กลับกลายเป็นขุ่นมัวอีกครา “ข้าอาจไม่ตายก็ได้หากว่าข้าใช้พลังพระเจ้าเสด็จ แต่ข้าจะตายอย่างแน่นอนหากว่าข้าถูกเจ้าจับกุมตัว บนโลกนี้จะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับรู้ความลับนั้นได้ ส่วนเรื่องที่ว่าข้าไปพบเจอสิ่งใดมา เจ้าค่อยไต่สวนข้าหลังจากที่จับตัวข้าได้แล้วก็แล้วกัน”

การสื่อสารระหว่างทั้งสองคนเกิดขึ้นผ่านทางกระแสจิต และมันก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น

เบเนดิกต์ที่สองแย้มยิ้มแล้วยกไม้เท้าในมือขึ้นอีกครั้ง แสงเจิดจ้าแสนศักดิ์สิทธิ์ที่ดูทรงพลัง สูงส่ง และยิ่งใหญ่กว่าพลันแผ่ออกมาและห่อหุ้มตัวเขาไว้ ระหว่างที่เขาท่องบทสวดอย่างรวดเร็วและเปี่ยมด้วยศรัทธาแรงกล้า

“พระองค์คือหนึ่งเดียว และทุกผู้ทุกนาม”

“พระองค์คือจุดเริ่มต้น และจุดจบ”

“พระองค์คือผู้สร้าง และผู้ควบคุม”

ผู้ศรัทธาภายในนครเรนทาโต ทั้งสังฆมณฑลโฮล์มและในนครศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับนักบวชทุกคนในสถานที่อื่นๆ ต่างยิ่งซาบซึ้งและปิติยินดี พวกเขาร่วมสวดภาวนาไปด้วย

“พระองค์คือหนึ่งเดียว และทุกผู้ทุกนาม”

“พระองค์คือจุดเริ่มต้น และจุดจบ”

ดวงตาลึกล้ำของเบเนดิกต์ที่สองดูเหมือนจะบรรจุดวงดาราเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปร่างไม้กางเขน ด้านหลังของเขา ภาพมายาสะท้อนของหุบเขาวิมานมาเยือนพร้อมกับบทสวดและแสงสว่างไสว มันดูชัดเจนกว่าภาพของซาร์ดมากนัก นอกจากนี้ มันยังขัดขวางพลังพระเจ้าเสด็จของซาร์ดอีกด้วย ซาร์ดต้องใช้เวลานานพอควรเพื่อทำให้มันกลับมามั่นคงอีกครา

“เจ้า…” ซาร์ดตกตะลึงเล็กน้อยที่เบเนดิกต์ที่สองไม่คิดกังวลว่าตัวเองจะสิ้นชีพหลังจากที่พลังชีวิตของเขาถูกเวทบทนี้กลืนกิน และพลังพระเจ้าเสด็จก็ดูไม่แตกต่างจากยามปกติเลย

ริมฝีปากของเบเนดิกต์ที่สองหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน “เจ้าคิดว่าข้ามิได้ศึกษาความลับเลยหลังจากที่ได้รับมันมานานหลายปีน่ะหรือ”

“ส่วนเรื่องการตาย แท้จริงแล้วมันก็มิได้แย่นัก”

เขาเองก็แก่ชราลงอย่างรวดเร็ว แต่ดูไม่รุนแรงเท่าซาร์ด

“เจ้าคนนอกรีต จงน้อมรับโทษทัณฑ์จากพระเจ้าเสียเถิด!” แสงอันศักดิ์สิทธิ์มารวมตัวกันและพุ่งทะยานเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดของหุบเขาวิมานเหนือตัวเบเนดิกต์ที่สอง วินาทีถัดมา แสงสีขาวนวลอันเจิดจ้าไร้ขอบเขตก็แผ่ครอบคลุมทั่วทั้งผืนฟ้า

ทางด้านซาร์ดก็เร่งร่ายคาถาเพื่อใช้พลังพระเจ้าเสด็จของตน

“ปีศาจที่ขโมยพลังของพระเจ้าไป จงน้อมรับโทษทัณฑ์ของเจ้าเสีย!”

บนท้องนภา มิมีสิ่งอื่นใดอีกนอกจากแสงสว่างสีขาวนวลดูสูงส่งเท่านั้น

นี่คือพลังพระเจ้าเสด็จปะทะพลังพระเจ้าเสด็จ!

ด้านนอกนครเรนทาโต ภายในกองกำลังเสริมที่ทำสัญญากับสภาเวทมนตร์ซึ่งยังไม่ถูกอาณาเขตวิมานบนดินดึงเข้าไป…

พวกเขาใช้งานเวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้า เชื่อมต่อกับดาวเคราะห์เทียม และส่งสารลับไปยังที่ห่างไกล

ลึกเข้าไปในหุบเขาไร้แสง สตานิสพาแกรนด์ดยุกแห่งออร์วาริตออกมาจากเมืองอัลโต้และโยนท่านเข้ามาในหอคอยเวทมนตร์ได้สำเร็จ ภายใต้การให้ความร่วมมือของท่านเอง จากนั้นเขาก็เปิดประตูมิติสู่ดินแดนอื่นที่เตรียมไว้ล่วงหน้าและมายังสถานที่ที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ

เขาเดินตรงเข้าไปยังพระราชวังที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรดาภูเขาไฟ ดานิซอส มังกรโบราณแห่งกาลเวลาที่คุ้มกันพระราชวังแห่งนี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สตานิส เจ้ามาทำอะไรที่หรือ เจ้าอยากจะเข้าร่วมกับเรางั้นหรือ”

“ดานิซอส ไว้เราค่อยคุยกันถึงเรื่องนั้นนะ ข้ามาที่นี่เพื่อบอกสารลับชิ้นหนึ่งให้เจ้าทราบ บัดนี้ศาสนจักรและสภาเวทมนตร์กำลังทำสงครามกัน พระสันตะปาปา เมลแม็กซ์ และพระคาร์ดินัลหลวงอีกสิบสองคนกำลังต่อสู้อยู่เหนือนครเรนทาโต ราชาทูตสวรรค์เองก็ลงมาที่นี่ด้วยตนเองเช่นกัน”

หลังจากเงียบไปครู่สั้น ดานิซอสก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความเกลียดชังลึกล้ำ “เช่นนั้นหรือ”

อะฟลอรา ภริยาของเขา ถูกพระสันตะปาปาสังหารด้วยพลังพระเจ้าเสด็จ จากเส้นสายที่มีกับเจ้าชายมนุษย์หมาป่า เนตรแห่งเดโมกอร์กอน และเหล่านักเวทที่สืบทอดมาจากนักเวทโบราณ สภาเวทมนตร์ได้ ‘จัด’ ลำดับการคุ้มกันสำนักงานใหญ่ของสภามืด เขาจึง ‘บังเอิญ’ อยู่ที่นี่ในเวลานี้

หากพวกเขาขอความช่วยเหลือจากสภาเวทมนตร์ก่อนหน้านี้ พวกเขาอาจได้รับผลที่ตรงกันข้ามกับที่ต้องการ เพราะผู้มีพลังระดับตำนานหลายคนในสภามืดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสภาเวทมนตร์ ดังนั้น พวกเขาก็ควรจะดึงดูดความสนใจของมังกรโบราณแห่งกาลเวลาชั้นตำนานเสียก่อนโดยที่ไม่ให้เวลาเขาได้ใคร่ครวญนัก!

“แต่ข้าคิดว่าแดรกคูลาและคนที่หลือคงจะเฝ้ารอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะสูญเสียร้ายแรงในสงครามนี้มากกว่านะ” นั่นคือผลจากการไร้ซึ่งการปกครองแบบระดับขั้นภายในสภามืด พลังพระเจ้าเสด็จคือตัวขัดขวางที่สำคัญที่สุด

สตานิสแย้มยิ้ม “นั่นเป็นความคิดอันยอดเยี่ยม แต่เหตุใดท่านไม่ลิ้มรสของหวานสักนิดก่อนจะกินอาหารจานหลักล่ะขอรับ ตอนนี้สถานที่หลายแห่งของศาสนจักรไร้ผู้ใดคุ้มกัน ท่านจะสร้างความสำเร็จมากมายหากท่านสังหารพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญหรืออัศวินชั้นตำนานได้สักคนสองคน”

ดานิซอสสะกดกลั้นความเกลียดชังขณะเอ่ยตอบ “ข้าจะบอกเรื่องนี้กับแดรกคูลาและไรน์”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยความมึนงง “ไรน์หายไปอีกแล้ว…”

ขณะมองไปบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือ ‘วิมานบนดิน’ และเฝ้ามองแสงสว่างที่ดูคล้ายกับมหาสมุทรซึ่งกลืนกินพระราชวังแห่งท้องนภาไปแล้ว ลูเซียนก็พลันรู้สึกหวั่นเกรง ‘นี่ซาร์ดก็ใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้ด้วยงั้นหรือ’

นั่นอยู่เหนือความคาดหมายของเขาทั้งหมด!

ในครู่ถัดมา ลูเซียนก็หยุดคิดกังวลเกี่ยวกับทุกอย่างแล้วตรงไปยังตำหนักของนาตาชาหลังจากฝ่าปราการศักดิ์สิทธิ์รอบนอกเข้ามาได้แล้ว ที่เขาไม่เข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่ก่อนก็เพราะเขากังวลว่าพระสันตะปาปาจะกำจัดเขาไปอย่างง่ายดายเมื่อมาถึงที่นี่นั่นเอง

ในเมื่อเขาคือคนที่ปรับเปลี่ยนมันด้วยตัวเอง ลูเซียนจึงรู้จุดอ่อนของปราการรอบนอกนี้เป็นอย่างดี เขาเห็นนาตาชาที่เพิ่งจะออกมาจาก ‘วิมานบนดิน’ อย่างง่ายดายพอดี

แม้ว่านางจะเป็นคนกล้าหาญและมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว แต่มือขวาที่ถือดาบแห่งสัจธรรมอยู่นั้นก็ยังสั่นเทา นางต้องเสี่ยงอย่างมากเพื่อทำตามแผนที่สามนี้!

หากว่าพระสันตะปาปาไม่เชื่อ นางก็อาจเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการหลบหนีไปหลังจากที่ซาร์ดมาถึง หากว่าพระสันตะปาปานึกสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับตัวนาง เขาก็สามารถสังหารนางได้ง่ายๆ หากทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นนั้นรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะต้านทานหรือหลบหนีออกมาได้ด้วยดาบแห่งสัจธรรม นางคงจะถูกสังหารไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง

ทว่า คนคนหนึ่งจะรักชีวิตตนเองมากถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน ชัยชนะที่ไร้ซึ่งความเสี่ยงนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อได้เปรียบมากมาย อีกอย่าง ลูเซียนถึงกับยอมสละอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับตำนานให้กับนาง เพราะฉะนั้น เหตุใดนางถึงจะไม่ยอมเผชิญหน้ากับภัยอันตรายเหมือนอย่างอัศวินที่แท้จริงกันเล่า

นาตาชาสงบจิตใจลงขณะกล่าว “ข้าไม่เป็นไร ข้าจะเรียกประชุมเหล่าขุนนางและกดดันให้อัศวินชั้นตำนานตัดสินใจเสียที ส่วนเจ้าไปควบคุมแกนพลังของปราการศักดิ์สิทธิ์แห่งนครเรนทาโต วินสตันจะหยุดคริโทเนียให้เอง เขาจะไม่ช่วยเหลือข้าแต่ก็จะไม่ขัดขวางเจ้า มิเช่นนั้นก็ถือเป็นสัญญาณว่าเขาโน้มเอียงไปทางฝ่ายศาสนจักรอย่างแน่นอน”

เพราะการต่อสู้ระหว่างบุคคลในระดับตำนาน เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างหวาดกลัวเกินกว่าจะหนีไป พระราชเนคโซซึ่งมีปราการป้องกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในนครเรนทาโต แน่นอนว่าพวกเขาได้พยายามหลบหนีออกจากเมืองมาสักพักแล้ว แต่เพราะไม่ล่วงรู้ถึงความลี้ลับของ ‘วิมานบนดิน’ ยิ่งพวกเขาพยายามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะบรรลุจุดประสงค์

“ก็ได้” ลูเซียนไม่เสียเวลาพูดคุยให้มากความ ตอนนี้มิใช่เวลาเหมาะแก่การแสดงความรัก เขาหมุนกายและพยักหน้าให้กับชายผมสีเงินที่ก้าวออกมาจากตำหนักใกล้ๆ กันนั้น “ขอขอบพระคุณล่วงหน้าขอรับ ท่านไรน์”

บุรุษหน้าตาหล่อเหลาในเสื้อเชิ้ตสีดำและเสื้อโค้ตสีแดงก็คือไรน์ เคานต์เนตรเงิน เขาหัวเราะขัน “ตามคำสัญญาของข้า ข้าจะให้เจ้าเลือกของวิเศษระดับตำนานหนึ่งชิ้นหลังจากที่ข้าเป็นอิสระ แต่ตอนนี้เจ้ากลับยินดีละทิ้งโอกาสนั้นเพื่อแลกกับการคุ้มกันจากข้าเพื่อให้นาตาชาปลอดภัยไปสักพัก ข้าย่อมมิมีปัญหากับเรื่องนั้นอยู่แล้ว ข้าเองก็มิได้มีของวิเศษระดับตำนานมากมายอะไร”

เขาสามารถใช้พลังของพระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน หากว่าพระสันตะปาปาไม่คิดหมายมั่นจะสังหารเขาโดยยอมสละชีพตนเอง ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่เขาจะพานาตาชาหลบหนีไปได้

“แต่ว่า เจ้ามิได้บอกรายละเอียดกับข้าก่อนหน้านี้ หากข้ารู้ว่าศัตรูก็คือซาร์ดล่ะก็…”

ไรน์เงยหน้าขึ้น มองไปยังพลังพระเจ้าเสด็จที่ดูน่าหวาดหวั่นบนท้องฟ้าแล้วหัวเราะออกมา

“ข้าเป็นพวกมีแค้นต้องชำระมานานแล้ว”

……………………………………