บทที่ 1172 ทูตตรวจการซ้ายขวา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1172 ทูตตรวจการซ้ายขวา โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนรินน้ำชาอีกถ้วยวางข้างกายประมุขชิง ถึงได้ลูบเคราพร้อมตอบว่า “หวงฮ่าวก็ไม่ได้ปิดบังอะไรขอรับ เรื่องราวเป็นอย่างที่เขารายงานขึ้นมา ผู้ร้ายบุกเข้าไปในนรกแล้วจริงๆ และก็มีประตูดวงดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบโผล่ออกมาแล้วจริงๆ ข้าเข้าไปดูด้วยตัวเองมาแล้ว เป็นประตูดวงดาวทางเข้านรกจริงๆ ขอรับ”

“ระดมกำลังของสายมะเมียออกมาหมด ครั้งนี้หวงฮ่าวไหวตัวได้เร็วพอสมควร ไม่นานก็กำหนดตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว! พวกเจ้าดูเอาสิ นี่คือขุนนางของข้าเอง นี่คือขุนนางที่มักจะโน้มน้าวข้าว่าอย่าทำให้ผู้คนแตกตื่นจนใต้หล้าวุ่นวาย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ชของพวกเขาเอง พวกเขาไม่มีทางสนใจว่าการระดมคนจำนวนมากจะทำให้ใต้หล้าวุ่นวายหรือไม่!” ประมุขชิงแสยะยิ้มพูดแดกดัน แล้วเหล่ตามถามว่า “แน่ใจนะว่าผู้ร้ายใช้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าตอบ “น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ คนที่เห็นปีกมารบนหลังของผู้ร้ายมีเป็นพันเป็นหมื่น ถ้าหวงฮ่าวคิดจะหลอกลวงก็คงหลอกลวงไม่ไหว สายลับของสายลับก็เห็นกับตาตัวเองเช่นกัน หลังจากข้าน้อยไปถามรายละเอียดด้วยตัวเอง ก็แน่ใจว่าเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานอย่างไม่ต้องสงสัย”

ประมุขชิงใช้สองมือจับหัวเข่า ตบเข่าเบาๆ พลางหรี่ตาอยู่พักหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “พิสูจน์ได้อย่างไรว่าคนที่บุกเข้าไปในนรกคือผู้ร้าย? หรือว่าอีกฝ่ายเห็นการสอบสวนแล้วกินปูนร้อนท้องจึงหนีไป?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “เรื่องนี้ไม่มีใครเห็นกับตาตัวเอง ดังนั้นไม่มีทางแน่ใจได้ แต่ข้าน้อยสืบเส้นทางที่ใช้ไล่ตามผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ตามระยะห่างในทิศทางแนวตรงของที่เกิดเหตุ คำนวณตามวรยุทธ์และเวลาก็สอดคล้องกัน มีอยู่อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมาก ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์โดนฆ่าตายพร้อมกันรวดเดียวสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะมีนรกเป็นทางหนีทีไล่ คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ก็มีไม่เยอะ ตามสิ่งที่พยานได้เห็น ขนาดของดาบในมือผู้ต้องสงสัยก็สอดคล้องกับรอยดาบบนร่างกายปีศาจแมงมุม ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้ร้าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่สอดคล้องกัน โดยพืนฐานก็จะสามารถแน่ใจได้แล้วขอรับ”

นิ้วทั้งห้าของประมุขชิงขยุ้มตีที่หัวเข่าเบาๆ “หลังจากผู้ร้ายทำสำเร็จแล้วก็มุ่งตรงสู่ประตูดวงดาวบานนั้น ก็หมายความว่าผู้ร้ายคุ้นเคยกับนรกมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาจากนรก แบบนั้นจะบอกได้หรือไม่ว่า ไม่ได้มีแค่เส้นทางเข้านรกทางอื่นเท่านั้น ยังมีเส้นทางออกนรกทางอื่นด้วย?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าบอกว่า “มีความเป็นไปได้สูงมากขอรับ ข้าน้อยไปสืบจากกำลังพลที่ปิดล้อมเส้นทางเข้าออกของประตูดวงดาวมาแล้ว แน่ใจว่าเฝ้าป้องกันอย่างเข้มงวดแน่นหนามาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่ามีคนเข้าออกจากนรก สายลับที่ฝ่ายตรวจการแทรกเข้าไปที่นั่นก็ยืนยันเช่นกันว่าไม่มีคนเข้าออก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากว่าผู้ร้ายจะออกมาจากนรก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครหนีเข้าไปรนหาที่ตายในนรกง่ายๆ จะเห็นได้ว่าผู้ร้ายมองว่านรกเป็นทางหนีทีไล่ตั้งแต่แรกแล้ว หากวินิจฉัยแบบนี้ ก็เป็นไปได้สูงว่านรกจะมีทางเจ้าออกอื่นอีก”

“หึหึ! แม้จะพ่ายแพ้หรือเพลี่ยงพล้ำ แต่พลังอำนาจยังคงอยู่ ผีเฒ่าหกคนนั้นตายไปหลายปีขนาดนี้ กากเดนที่เหลือไว้ยังก่อความวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ข้ายังแปลกใจอยู่เลย ว่าทำไมล้อมปราบตั้งหลายปีแต่ยังกำจัดโจรกบฏพวกนั้นไม่สิ้นซาก ข้าถึงขั้นสงสัยว่ามีคนในแอบรายงานข่าวให้เจ้ากากเดนพวกนั้นรึเปล่า สงสัยข้าคงจะยังขังให้กากาเดนพวกนั้นตายไม่ได้ พวกเขามีรูหนูไว้เข้าออกตั้งนานแล้ว!” ประมุขชิงทำสีหน้าไร้อารมณ์เงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ต้องคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ ทูตตรวจการมีแผนอะไรหรือไม่? ที่ให้พวกเจ้ายัดคนเข้าไปในนรก มีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “คนที่อยู่ในนั้นมีการเตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจดีมาก ใช้นรกเป็นที่ปักหลักสุดท้ายเพื่อปกป้องชีวิต ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าง่ายๆ ไม่มีทางโจมตีเข้าไปได้เลย คนที่ถูกส่งเข้าไปส่วนใหญ่ล้วนไปแบบไม่กลับ สาเหตุสำคัญคือสภาพแวดล้อมในนั้นเลวร้ายและซับซ้อนเกินไป กอปรกับการเปลี่ยนแปลงที่ยาดจะคาดเดา ตำหนักสวรรค์ไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ข้างในได้เลย กลับเป็นโจรกบฏพวกนั้นที่มีการวางแผนและจัดการอยู่ในนั้นก่อนที่จะเกิดตำหนักสวรรค์ขึ้น ตอนหลังก็โดนกดบังคับให้อยู่ในนั้นจนปรับตัวได้ พวกเขามีความได้เปรียบที่จะต่อต้าน คนที่ถูกส่งไปส่วนใหญ่ล้วนไปรนหาที่ตาย เป็นเรื่องยากที่จะมีความคืบหน้าขอรับ!”

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าพูด ข้ารู้อยู่แล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือวิธีการแก้ไขปัญหา” ประมุขชิงกล่าว

ซือหม่าเวิ่นเทียเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าถ้าจะอุดมิสู้ขุดลอก ไม่สู้ประกาศให้ยอมจำนนไปเลย ให้ทางออกแก่พวกเขา!”

“ใช่ว่าจะไม่เคยประกาศให้ยอมจำนน ผลเป็นอย่างไรเจ้าก็เคยเห็นแล้ว” ประมุขชิงกล่าว

ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวว่า “นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขารู้ ว่าหลังจากที่ยอมจำนนแล้ว หากสืบจนรู้สถานการณ์ของตำหนักสวรรค์ชัดเจน พวกเขาก็จะไม่มีทางหนีทีไล่เหลืออยู่ ดังนั้นการที่ตำหนักสวรรค์ประกาศให้ยอมจำนน ก็จะต้องแสดงความจริงใจออกมาด้วย ถึงจะทำให้พวกเขายอมจำนนอย่างสงบใจได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากหลบอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งแบบนั้นอยู่แล้ว!”

“ความจริงใจ?” ทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่ฟังอยู่ข้างๆ มาตลอดพลันกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “จะดึงความจริงใจอะไรออกมาได้? นอกเสียจากจะนำตำแหน่งที่ขาดของตำหนักสวรรค์มาปลอบโยน ทูตซ้ายเคยพิจารณาถึงความรู้สึกของบรรดาขุนนางเก่าแก่ของตำหนักสวรรค์หรือไม่? หรือว่าทูตซ้ายคิดว่าพวกเขายินดีจะคว้านเนื้อบนร่างกายตัวเองให้โจรกบฏพวกนั้นสมใจ?”

“ในฐานะที่เป็นขุนนางของฝ่าบาท ก็ควรจะยอมทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ฝ่าบาทสามารถเรียกรวมบรรดาขุนนางใหญ่ๆ มาเจรจาได้ สามารถบอกตรงๆ ได้ จุดจบยังเหมือนเดิม รอให้เข้าใจสถานการณ์ในนรกก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีกับโจรกบฏพวกนั้นทีหลัง ถือเป็นการปลอบขวัญบำรุงขวัญ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

เกาก้วนจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าแผนนี้ของทูตซ้ายไม่ผ่าน!”

“ทำไม?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถลึงตาถาม

เกาก้วนอธิบายว่า “ทูตซ้ายคิดว่าขุนนางใหญ่ๆ พวกนั้นจะเชื่อหรือ? ต่อให้เชื่อ ต่อให้พวกเขาจะตอบตกลงเพราะโดนฝ่าบาทกดดัน แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ยังทำให้สำเร็จไม่ได้อยู่ดี ถึงตอนนั้นคนที่เสียหน้าก็ยังเป็นฝ่าบาท สิ่งที่เสียหายก็คือชื่อเสียงบารมีของฝ่าบาท! เหตุผลไม่ซับซ้อนเลย เพราะบรรดาขุนนางใหญ่ๆ มีอำนาจมหาศาลอยู่ในมือ พวกเขายังจำเป็นต้องสร้างความยุ่งยากขึ้นมาอีกเหรอ? พวกเขาจะกังวลว่าถ้าแบ่งแยกอำนาจไปตอนนี้ แล้วถ้าในภายหลังไม่สามารถเรียกอำนาจกลับคืนมาได้จะทำอย่างไร? ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิธีแอบบอกให้โจรกบฏพวกนั้นรู้อยู่แล้ว ว่าการที่ตำหนักสวรรค์ประกาศให้ยอมจำนนคือเรื่องโกหก ทูตซ้ายคิดว่าโจรกบฏพวกนั้นจะยังกล้ายอมจำนนอีกเหรอ? ในขั้นตอนการประกาศให้ยอมจำนนครั้งก่อนก็ใช้ว่าจะไม่มีปัจจัยนี้ สำหรับขุนนางใหญ่พวกนั้น ตอนนี้การขังโจรกบฏพวกนั้นไว้ในนรกต่อไปคือวิธีการที่เหมาะสมที่สุด ต่อให้ปัจจัยพวกนั้นจะถูกลบล้างไป ต่อให้จะประกาศให้ยอมจำนนได้อย่างราบรื่น แต่ทูตซ้ายเคยคิดถึงสถานการณ์นี้บ้างหรือเปล่า ขุนนางใหญ่ที่มีอยู่แต่เดิมจะกดข่มขุนนางที่เป็นโจรกบฏกลับใจพวกนั้นแน่นอน เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็จะทำให้ขุนนางโจรกบฏพวกนั้นเกิดความแค้นในใจเช่นกัน ถ้ามีคนจงใจจะใช้ประโยชน์ในเวลานี้ล่ะก็…โจรกบฏพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องรอง  ขนาดในปีที่หกมหาราชันยังอยู่ โจรกบฏก็ยังแสดงฝีมือไม่ได้เลย ตอนนี้เป็นเพียงฝูงมังกรไร้หัว ยังกลัวว่าพวกเขาจะพลิกฟ้าอีกเหรอ? ทูตซ้ายอย่าลืมนะ ปัญหาสำคัญที่แท้จริงในใจฝ่าบาทยังไม่ถูกกำจัด ถ้าเกิดเหตุการณ์สมคบคิดกันภายในขึ้นมา ข้าก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลย!”

ตอนแรกประมุขชิงยังฟังเงียบๆ แต่พอฟังมาถึงตอนหลังก็พลันเบิกตากว้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ตอ่ไปไม่ต้องพูดเรื่องประกาศให้ยอมจำนนอีก!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังกุมหมัดคารวะตอบว่า “ขอรับ!” พูดจบก็ถือโอกาสเงยหน้ามองเกาก้วนที่สีหน้าเย็นชา

ประมุขชิงเองก็เงยหน้าช้าๆ มองเกาก้วนเช่นกัน “เกาก้วน มีของเข้าของออกในรูหนูก็น่ารำคาญเหมือนกัน เจ้ามีวิธีการรับมือมั้ย?”

เกาก้วนตอบเพียงคำเดียวว่า “ปราบ!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดต่อทันทีว่า “ทูตขวา เจ้าก็พูดได้อย่างสบายปาก ใช่ว่าว่าจะไม่เคยปราบเสียหน่อย ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากำลังพลระดับล่างกังวลถึงสภาพแวดล้อมเลวร้ายอันตรายของนรกจึงไม่ออกแรงทำงานเต็มที่ ขนาดฝ่าบาทนำกำลังไปเองหลายครั้งก็ยังไม่ได้ผล พอโจรกบฏพวกนั้นรู้ข่าวก็ซ่อนตัวทันที ไม่มาสู้กันตรงๆ เอาแต่หลบจู่โจมสร้างความวุ่นวายไปทั่ว กองทัพขนาดใหญ่ทนการรบกวนจากพวกเขาไม่ไหว นี่คือสภาพที่ไม่ถอยไม่ได้ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้!”

“ฝ่าบาท! ข้าคิดว่าเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์แต่ละแห่ง ควรจะเตรียมกำหนดการได้แล้วอขรับ” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

ทำไมวนมาเรื่องนี้ได้? ประมุขชิงยิ้มบ้าๆ รู้ว่าการที่เขาพูดแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน

ประมุขชิงเหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังหิ้วตะกร้าเดินเข้ามาบนคันนาไกลๆ เขาโบกมือเล็กน้อย เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนก็หันมองตามแวบหนึ่งเช่นกัน

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงไปชั่วขณะ เดิมทีเห็นประมุขชิงกำลังพูดคุยนานมาก เลยอยากจะเข้ามาดูสักหน่อย พอตอนนี้เห็นประมุขชิงไม่อยากให้นางเข้ามาฟังอะไรมาก ก็ทำได้เพียงย่อตัวคำนับเล็กน้อยแล้วกันตัวเดินจากไป แต่คิ้วกลับขมวดมุ่น กำลังครุ่นคิดว่าประมุขชิงกำลังคุยเรื่องสำคัญอะไรจึงไม่ให้ตนฟัง สิ่งนี้ทำให้ในใจนางค่อนข้างหงุดหงิด

ส่วนประมุขชิงก็หันกลับมาคุยกับเกาก้วนด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องอุบไว้แล้ว ลองบอกมาเถอะ”

เกาก้วนกล่าวว่า “เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ทุกคนต่างก็รู้ว่าการนั่งรักษาการณ์ที่ตลาดสวรรค์เป็นงานที่ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ตำแหน่งเหล่านี้ก็ถูกผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ยึดกุมมาเป็นเวลานานเช่นกัน คนที่นั่งในตำแหน่งเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีความสามารถอะไรมาก และไม่จำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงอะไรด้วย แต่ก็สามารถได้รับทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์แล้ว เป็นพวกไร้ความสามารถทั้งนั้น แล้วแบบนี้จะไม่เกิดเรื่องได้อย่างไร? หลายปีมานี้ข้าน้อยรับหน้าที่จัดเรื่องการทดสอบ มีเรื่องมากมายที่เห็นอยู่ในสายตา ก็เหมือนผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนนั้นที่ประสบอันตราย ตามหลักการแล้ว เดิมทีพวกเขาจะต้องเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ แต่เพียงเพราะเบื้องหลังของพวกเขามีเส้นสายและคนหนุนหลัง คาดว่าคนที่มีเจตนาไม่ดีกับฝ่าบาทได้ถอดสามคนนั้นออกจากตำแหน่งล่วงหน้าแล้วด้วย รอจนกระทั่งรายชื่อถูกยืนยันแล้ว ก็ให้สามคนนั้นกลับสู่ตำแหน่งได้อีก! นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น ที่จริงเรื่องราวประมาณนี้มีอีกมากมายนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ามีกำลังพลเบื้องล่างตั้งเท่าไรที่แอบคับแค้นใจ หากเป็นแบบนี้ไปนานๆ แล้วใจคนจะไปอยู่ที่ไหนหมด? การปรับปรุงคือเรื่องที่หลีกไม่พ้น!”

ประมุขชิงหลับตาพูดว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่อยากปรับปรุง แต่ข้าแยกร่างไม่ได้ เรื่องราวในใต้หล้าก็ยังต้องใก้กลุ่มขุนนางไปช่วยจัดการ เมื่อข้าปรับปรุงไปได้ชุดหนึ่ง เมื่อผ่านไปสักระยะพวกเขาก็จะเปลี่ยนมาอีกชุดหนึ่ง ทุกคนล้วนมีใจเห็นแก่ตัว” พูดจบก็ชี้ไปยังคันนาระหว่างทุ่งนา “ก็เหมือนผักกุยช่ายในท้องนา ตัดทิ้งไปกอหนึ่ง ก็งอกออกมาอีกกอหนึ่ง ข้าคงไม่สามารถถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นพื้นที่รกร้างหรอกใช่มั้ย?”

“เช่นนั้นก็ต้องปลูกผักอย่างอื่นขอรับ!” เกาก้วนกล่าวด้วยนำเสียงเรียบนิ่ง “ข้าน้อยจะจัดการทดสอบอีกครั้ง สมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบ ข้าน้อยจะกำหนดให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์โดยตรง แต่ครั้งนี้จะไม่ใช่การทดสอบที่บีบบังคับแล้ว แต่ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะต้องอยู่ในรายชื่อการทดสอบ ถ้าใครถอนตัวก็แสดงว่าคนนั้นไร้ความสามารถ แล้วก็จะต้องออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถูกลดขั้นให้เป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง พวกไร้ความสามารถที่ละโมบผลประโยชน์มาหลายปีขนาดนี้ ถ้าจะไม่ถูกเลื่อนขั้นให้ทำงานสำคัญอะไรเลยภายในหนึ่งหมื่นปี ก็ไม่ถือว่าทำเกินไป! ส่วนขุนนางระดับต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ ตราบใดที่เป็นผู้ที่วรยุทธ์สูงตามมาตรฐาน ก็จะสามารถลงชื่อเข้าร่วมการทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ครั้งนี้ได้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ใครมีความสามารถก็จะได้ไป ตำแหน่งที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์แบบนี้ หากเจ้าไม่มีความสามารถที่จะรับตำแหน่ง ก็จะไปโทษคนอื่นไม่ได้เหมือนกัน ทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก่อน แล้วค่อยทดสอบแม่ทัพภาคที่รักษาการณ์ตลาดสวรรค์ สรุปก็คือตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์หลังจากนี้ไป หากไม่ผ่านการทดสอบแข่งขันของตำหนักสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งตำแหน่งนั้น!”

ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย การตายของผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนนั้นเป็นข้ออ้างที่ดี

ซือหม่าเวิ่นเทียนกลับกล่าวอย่างตกใจว่า “เกาก้วน เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์พวกนั้นไปปราบโจรกบฏในนรกหรอกใช่มั้ย? เรื่องที่แม้แต่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ยังทำไม่ได้ ถ้าเจ้าทำแบบนี้ จะต้องไม่มีใครยอมไปแน่นอน!”

…………………………