ตอนที่ 641 อย่าโกรธ / ตอนที่ 642 พอได้แล้ว

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 641 อย่าโกรธ 

 

 

 

 

 

“ลูกเข้าใจแล้ว เสด็จพ่อ” 

 

 

อวี้อาเหราและหลิงอ๋องเจรจากันจบแล้ว ก็เดินนำสาวใช้เข้ามาในห้อง 

 

 

ตอนนี้ฮ่องเต้มีราชโองการสมรสพระราชทาน แม้ว่าอวี้อาเหราจะเป็นธิดาเอกของหลิงอ๋องก็ไม่อาจขัดราชโองการได้ แต่อย่างไรนางก็จะไม่แต่งงานกับจวินฉางอวิ๋น แล้วจะทำไมเล่า? แต่เป็นความตั้งใจของไทเฮา พระราชโองการจากฮ่องเต้ แม้ว่าจะรับปากกับหลิงอ๋องว่าจะพยายามหาวิธีการที่จะถอนหมั้นให้ได้ ทว่ามันจะง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ไหนเลยไทเฮาจะต้องการที่จะยกเลิกความคิดที่จะถอนหมั้น 

 

 

เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ที่กำลังรินน้ำชาอยู่เห็นนางขมวดคิ้วมุ่น แล้วนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ ก็ส่งสายตาหากันและกัน สายตาของทั้งคู่มีร่องรอยของความวิตกกังวลใจ จากนั้นเจาเอ๋อร์ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “คุณหนู ท่านจะทานขนมหรือไม่ วันนี้ในครัวเพิ่งทำขนมที่ท่านชอบทาน จะลองหน่อยไหมเจ้าคะ” 

 

 

“ไม่เอา” อวี้อาเหราส่ายหน้า ตอนนี้นางจะไปมีอารมณ์อยากอาหารได้อย่างไรกัน 

 

 

เจาเอ๋อร์ชะงัก ทำได้แต่เพียงหันไปมองเมี่ยวอวี้เท่านั้น 

 

 

เมี่ยวอวี้จึงเอ่ยปากขึ้น “คุณหนู ท่านกำลังกังวลเรื่องที่จะต้องสมรสกับรัชทายาทหรือเจ้าคะ” 

 

 

“อืม” อวี้อาเหรามองมาที่นาง 

 

 

เมี่ยวอวี้ยิ้ม “แม้ว่ารัชทายาทจะไม่ใช่คนดีนัก แต่หากคุณหนูได้แต่งงานไปก็จะได้เป็นพระชายารัชทายาทนะเจ้าคะ ต่อไปก็อาจจะได้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” 

 

 

“เจ้าก็พูดไปเรื่อย” อวี้อาเหราได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่ค่อยยินดีนัก ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ที่เจ้าพูดมาก็ใช่อยู่ แต่เจ้าดูคนไม่ออกหรือ ไม่รู้หรืออย่างไรว่ารัชทายาทเป็นคนเช่นไร? อย่างไรเสียข้าก็เป็นธิดาเอกของจวนหลิงอ๋อง แต่ก่อนหน้านี้ก็เกือบตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ยังไม่รู้อีกหรือว่าเขาเป็นเช่นไร?” 

 

 

“คุณหนูอย่าโกรธ อย่าได้โกรธเลย…” เจาเอ๋อร์เห็นสีหน้าลำบากใจของอวี้อาเหรา ก็เห็นว่าบรรยากาศเริ่มแย่ลง จึงรีบเอ่ยปลอบใจทันที “เมี่ยวอวี้ไม่ได้ตั้งใจ ท่านอย่าได้โกรธนางเลย หากคุณหนูไม่อยากแต่ง อย่างนั้นก็ไม่ต้องแต่งสิเจ้าคะ อย่างไรเสียก็ต้องมีทางออก” 

 

 

“หึ ยังมีเจ้าที่เข้าใจข้า” เมื่ออวี้อาเหราได้ยินเจาเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นมาก  

 

 

เมี่ยวอวี้ตกใจเสียจนคุกเข่า “คุณหนูโปรดอภัย เมื่อครู่นี้บ่าวไม่ดีเองจึงพูดผิดไป ทำให้คุณหนูโกรธเสียแล้ว” 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” อวี้อาเหรามองนางด้วยสายตาหนักแน่น เมี่ยวอวี้ตกใจเสียจนตัวสั่นเทา เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ความโกธและความไม่พอใจก็ค่อยๆ ลดลง นางคิดว่าตามปกติเมี่ยวอวี้นั้นฉลาดหลักแหลม ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าใจของนางคิดเช่นไรกัน 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เมี่ยวอวี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และไม่กล้าพูดอะไรอีก 

 

 

อวี้อาเหรารู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง ไม่เงยหน้าขึ้นในขณะที่เอ่ยออกมาว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว ขอพักสักครู่” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ถอยออกไปในทันที รู้ว่านางอารมณ์ไม่ดีก็ไม่เข้าไปรบกวนอะไรอีก 

 

 

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เมื่อมองความมืดมนที่อยู่ด้านนอก ใจของอวี้อาเหราก็หม่นหมองอึดอัด เพียงคิดว่าจะต้องแต่งงานกับจวินฉางอวิ๋นนางก็รู้สึกไม่ยินดีแล้ว ใครจะไปรู้ว่าไทเฮาจะให้นางและเขาสมรสกันเมื่อใด เรื่องทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของไทเฮา อวี้อาเหราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีฝ่ายมีแผนการเช่นไรกันแน่ 

 

 

รับมือไม่ทัน เป็นการนิยามสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีที่สุด 

 

 

ดังนั้นจึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เพื่อให้น้ำชาช่วยลมความฟุ้งซ่านในใจให้สงบ 

 

 

“คุณหนูช่างสบายใจยิ่งนัก ยังนั่งดื่มชาได้ สาวใช้ทั้งสองไปไหนเสียเล่า ไม่รู้ว่าคุณหนูรองได้ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้หรือยัง?” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 642 พอได้แล้ว 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น อวี้อาเหราจึงค่อยเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางต้นเสียง จึงเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ที่หน้าต่าง ราวกับความมืดโรยราครอบคลุมร่างของเขาไปเสียทั้งหมด เขานั่งนิ่งๆ อยู่ที่หน้าต่าง เท้าข้างหนึ่งห้อยตกลง ราวกับเกียจคร้านเสียยิ่งนัก สายลมเย็นพัดโบกร่างกายของเขา ชั่ววินาทีก็เห็นเสื้อผ้าของเขาพลิ้วสะบัด และสะท้อนแสงอยู่ในความมืดมิด ราวกับอยู่ในหลุมดำมืดแห่งหลุมราตรี และราวกับความมืดดูครึ้มหนักยิ่งขึ้น 

 

 

เขาสวมเสื้อผ้ารัดกุม และคลุมเสื้อคลุมเอาไว้ด้านนอกอีกชั้น 

 

 

หนิงจื่อเย่ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้? 

 

 

เพียงปรายตามองเป็นระยะเวลาสั้นๆ อวี้อาเหราก็สามารถพิจารณาการแต่งกายของเขาเอาไว้เสียจนสิ้น 

 

 

หนิงจื่อเย่ยังคงสวมหน้ากากดูชินตาที่ฉายแววหล่อเหล่าของโครงหน้าและริมฝีปากบาง แต่ก็ยังแผ่รัศมีความเย็นชาออกมาอยู่ดี 

 

 

เป็นหนิงจื่อเย่จริงๆ นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครสวมเสื้อผ้าเช่นนี้อีกแล้ว 

 

 

อวี้อาเหราถอนสายตากลับมา อล้วมองไปยังสายตาตื่นตกใจของเขา ก้มหน้าลงถามอย่างนิ่งเฉย “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” 

 

 

“แน่นอนว่าต้องมาเพื่อแสดงความยินดีกับคุณหนูรองซี ” สายลมพัดผ่าน หนิงจื่อเย่ก็กระโดดลงมาจากหน้าต่าง แล้วหยุดยืนที่หน้าของอวี้อาเหรา เงยหน้าขึ้น สองตาเฉยชามองใบหน้าของนาง จากนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป จู่ๆ เขาก็เอ่ยว่า “แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูรองได้จัดการเรื่องที่รับปากเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่” 

 

 

“ยัง” อวี้อาเหราได้ยินเช่นนั้นก็โกรธขึ้นมา แต่เพราะมีชนักติดหลังกับอีกฝ่าย จึงไม่กล้าที่จะโมโหโกรธา นางจึงจำต้องตอบไปอย่างห้วนๆ สามารถตอบเขาได้ก็ถือว่าไม่เลว หากเป็นช่วงเวลาปกติแล้ว นางก็คงจะไม่ตอบเขาเสียแล้ว 

 

 

สีหน้าของหนิงจื่อเย่ยังคงดูนิ่งเฉย “คุณหนูรองช่างลืมง่ายเสียจริง แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังลืมได้ลง แต่ไม่รู้ว่าจะสนใจคุณหนูรองหลิง…” 

 

 

“เจ้าพอเสียที!” อวี้อาเหราที่แต่เดิมก็ไม่มีความสุขอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก อดไม่ได้ที่จะโมโห จากนั้นก็พูดขึ้นมาให้กระจ่างว่า “แม้เจ้าจะกุมจุดอ่อนของข้าเอาไว้ แต่เจ้าก็อย่าลืมว่า หากข้าอวี้อาเหราโดนเจ้ายั่วโมโหขึ้นมา ไฟแห่งความโกรธก็แผดเผาเจ้าได้เช่นเดียวกัน” 

 

 

สายตาของหนิงจื่อเยย่ดูลึกล้ำ แล้วเปลี่ยนเป็นเย็นชา แต่น้ำเสียงฟังดูลื่นไหลยิ่งนัก  

 

 

“ที่คุณหนูรองพูดก็คือตอนนี้ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจ เพราะรู้ว่าเจ้าไม่อาจลงมือกับฉู่ป๋ายได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสสอนวิธีเจ้าเอง…” 

 

 

“วิธีอะไรกัน?” อวี้อาเหราได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็ระแวงขึ้นมา 

 

 

หนิงจื่อเย่เป็นคนเช่นไร เขาจะมีวิธีแบบไหนได้? อย่างมากเขาก็เพียงหาวิธีใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น 

 

 

แต่อวี้อาเหราที่ไม่ชอบเป็นคนถูกควบคุม ทำได้แต่เพียงแสดงความไม่พอใจ แต่ก็ต้องฟังเขาพูด 

 

 

“เจ้าไปกับข้าที่หนึ่งก่อน แล้วข้าจะบอกเจ้า…” หนิงจื่อเย่กำลังยิ้ม ทว่ารอยยิ้มกลับเย็นชากว่าปกติ 

 

 

อวี้อาเหรามองเขาด้วยสายตาสงสัย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

“ไปเถอะ” หนิงจื่อเย่ยืดกายขึ้น แล้วเดินไปทางไปที่หน้าต่าง 

 

 

อวี้อาเหราชะงัก “เจ้าจะทำอะไร” 

 

 

“พวกเราต้องแอบออกไป มิเช่นนั้นเจ้าจะเดินออกไปหน้าประตูอย่างเปิดเผยเลยหรืออย่างไร? หากเจ้าไม่ถือ ข้าเองก็ไม่ถือเหมือนกัน” หนิงจื่อเย่อธิบายขึ้นมาขันๆ 

 

 

อวี้อาเหราเหยียดริมฝีปากในทันที “ช่างมันเถอะ ข้าปีนหน้าต่างไปกับเจ้าก็ได้” 

 

 

หากจะให้หนิงจื่อเย่เดินออกไปทางหน้าต่าง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางคงจะต้องถูกเปิดเผยและค่อยๆ กลายเป็นข่าวลือแน่ ชื่อเสียงสำหรับสตรีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และยิ่งสำหรับนางทีมีพระราชโองการสมรสเป็นว่าที่พระชายารัชทายาท แน่นอนว่าย่อมอยู่ในสถานะเสี่ยงเป็นแน่