ตอนที่ 838 ความโกลาหลในทะเล

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ฮุ่นตุ้นเคลื่อนที่ไปในทะเลและพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ!

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าอะดรีนาลีนกำลังพลุ่งพล่านไปตามกระแสเลือด ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยสาหร่ายในขณะที่ฮุ่นตุ้นว่ายขึ้นมาจากร่องลึกอันมืดมิดก็ตาม

 

 

ในตอนที่ฮุ่นตุ้นโผล่ขึ้นมาจากน้ำ หลี่ว์ซู่ก็เต็มไปด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม นั่นคือความหมายที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญ ท้องฟ้าที่เปิดกว้างและชีวิตแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!

 

 

แต่เดี๋ยวก่อน ใบหน้าของหลี่ว์ซู่แข็งค้าง คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ฟรานเชสโก…ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือคลาวด์อี และชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ จะต้องเป็น…พยัคฆ์จื๋อ!

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกพูดไม่ออก หนึ่งวินาทีก่อนหน้านี้ เขาพร้อมมากที่จะต่อสู้กับฟรานเชสโก ระดับ A แต่ชายคนนั้นจากไปแล้ว นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับระดับ A ถึงสองคนใช่หรือไม่…

 

 

ในตอนนี้ใบหน้าของหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยหญ้าทะเล คลาวด์อีถามอย่างลังเลว่า “นายคือหลี่ว์ซู่ใช่ไหม”

 

 

หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “ไม่ใช่”

 

 

คลาวด์อียิ้ม “แล้วนายเป็นใคร”

 

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปรอบๆ แล้วมองไปที่ฮุ่นตุ้น หลังจากหยุดคิดสักครู่ เขาจึงตอบว่า “นาจา”

 

 

ความมั่นใจหลุดลอยไปจากเขา ไม่รู้ว่าทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงมาอยู่ที่นี่ตั้งสองคน! สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้ก็คือรีบหนี!

 

 

“ไปกันเถอะซานไท่จื่อ!” หลังจากนั้นเขาก็ขี่ฮุ่นตุ้นออกไปทันที พร้อมๆ กลับหันมองย้อนกลับไปซ้ำๆ เพื่อตรวจสอบว่าคลาวด์อีและพยัคฆ์จื๋อไล่ตามมาหรือไม่

 

 

ด้วยความตกตะลึง พยัคฆ์จื๋อจ้องมองไปที่ร่างที่กำลังห่างออกไปของหลี่ว์ซู่ เขาบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “มีอะไรผิดพลาดอย่างนั้นหรือ”

 

 

จริงๆ แล้วพวกเขารีบมาเพื่อดูสถานการณ์หลังจากได้รับแจ้งว่าฟรานเชสโกกำลังไล่ตามหลี่ว์ซู่อยู่ แต่แทนที่จะเจอฟรานเชสโก พวกเขากลับเจอแต่มังกร…

 

 

คลาวด์อีกล่าวว่า “นั่นคือชายที่โชคชะตาเลือก เขาถึงขั้นทำให้มังกรเชื่องได้”

 

 

พยัคฆ์จื๋อเหลือบมองเธอด้วยสายตาปลงๆ “มนุษย์พูดกันว่าอย่าบูชารูปเคารพจนตาบอด นอกจากนี้ ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนไม่จำเป็นต้องมีมังกร แต่ครั้งหนึ่งมีมังกรที่ต้องการร่วมมือกับเขา”

 

 

“การร่วมมือกันแตกต่างจากการทำให้เชื่อง นอกจากนี้ราชาองค์เก่ายังมีพลังมากกว่าหลี่ว์ซู่ในตอนนี้นายสามารถทำให้มังกรเชื่อง ทั้งๆ ที่เป็นแค่ระดับ B ได้ไหมล่ะ” คลาวด์อีแย้ง

 

 

พยัคฆ์จื๋อโบกมือเพื่อยุติการโต้เถียง “ช่างเถอะ เธอน่ะเสียสติไปแล้ว!”

 

 

“นายติดตามราชาองค์เก่ามานานแค่ไหนแล้ว” จู่ๆ คลาวด์อีก็ถามขึ้น

 

 

พยัคฆ์จื๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ฉันต่อสู้เคียงข้างเขามากกว่าสามพันปีแล้ว”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็สู้เคียงข้างราชาองค์ใหม่ไปอีกสามพันปีสิ” คลาวด์อีกล่าว

 

 

“แต่ฉันไม่คิดว่าราชาองค์ใหม่จะกระหายเลือดขนาดนั้น” พยัคฆ์จื๋อพึมพำ “แต่จากบุคลิกของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสร้างศัตรูได้เป็นจำนวนมากถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าใครก็ตาม…”

 

 

“ในฐานะปรมาจารย์หุ่นเชิด หน้าที่ของเราคือการอยู่เคียงข้างองค์ราชา และเฝ้ามองโลกมนุษย์จากข้างบัลลังก์ของเขา ไปกันเถอะ ได้เวลาชำระหนี้เก่าแล้ว”

 

 

 

 

ความตึงเครียดกำลังก่อตัวขึ้นในเต็นท์มืด ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง คนที่เฝ้าประตูไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ด้วยกลัวว่านั่นอาจจะทำให้คนใหญ่คนโตที่อยู่ข้างในโกรธ

 

 

นักบุญนั่งอยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าอย่างสงบ ลูกบอลโลหะเรืองแสงลอยอยู่เหนือปลายนิ้วของเขา มันเป็นของเหลวที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามที่เขาควบคุม บางครั้งมันก็เปลี่ยนเป็นแพะที่มีชีวิตชีวา เส้นขนแต่ละเส้นของมันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่บางครั้งมันก็กลับไปเป็นทรงกลมตามเดิม

 

 

ถึงแม้ว่าทุกคนที่นี่จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็แทบไม่มีใครที่สามารถควบคุมพลังในระดับเดียวกับนักบุญได้

 

 

นักบุญเป็นยอดฝีมือธาตุลม แต่ในคืนนี้เองที่ผู้คนได้รู้ว่าเขาได้ปลุกพลังธาตุโลหะขึ้นมาแล้วเช่นกัน!

 

 

เห็นได้ชัดว่านักบุญได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยไพ่ตายของเขาหลังจากที่ฟรานเชสโกก้าวขึ้นสู่ระดับ A ลูกบอลบนฝ่ามือของเขาเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทโลหะ แต่ตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของมันยังคงเป็นปริศนาสำหรับคนอื่นๆ ที่เหลือ

 

 

นักบุญพูดอย่างมีสติ “ในตอนนี้ การขนส่งของพวกคุณถูกตัดขาดทั้งหมดใช่ไหม ผมยินดีที่จะร่วมมือกับพวกคุณเพราะผมยอมรับในความสามารถของพวกคุณ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าพวกคุณทุกคน กลับขาดการใช้สมองที่จะดึงเอาความสามารถออกมาใช้ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง เพียงแค่คิดว่าพวกคุณปล่อยให้ผู้ชายคนเดิมขโมยเสบียงของพวกคุณไปถึงสองครั้ง”

 

 

ไม่มีใครในห้องกล้าพูดหรือกล้าเรียกผู้นำคนอื่นว่าโง่เหมือนอย่างที่นักบุญทำ

 

 

“มีสายลับอยู่ในหมู่พวกเรา” ผู้นำของอาณาจักรมืดกล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ “ไม่อย่างนั้นมันจะรู้ได้ยังไงว่าเสบียงกำลังจะมาถึง ผมบอกว่าเสบียงจะมาถึงที่นี่ภายในแปดชั่วโมง ดังนั้นต้องมีคนคำนวณตำแหน่งของเรือบรรทุกสินค้าและบอกข้อมูลให้มันรู้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงสามารถระบุตำแหน่งของเรือได้อย่างแม่นยำ”

 

 

ฟรานเชสโกที่ยืนอยู่ด้านหลังนักบุญถามว่า “อาจจะเป็นเพราะโชคหรือเปล่า”

 

 

นักบุญรวบลูกบอลของเขาเข้าด้วยกันและหัวเราะอย่างเย็นชา “นายคิดว่าพวกเราทุกคนโง่เหมือนนายเหรอ?”

 

 

หัวหน้าบาทหลวงยิ้ม “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลายได้โปรดใจเย็นลงก่อน อย่างไรเสียพวกเราทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นก็คือสมบัติของเผ่าโบราณอี๋ ดังนั้นเราควรมุ่งไปที่เรื่องเฉพาะหน้าก่อนว่าเราจะจัดการกับปัญหาการขาดแคลนเสบียงได้อย่างไร”

 

 

“คุณมีแผนอะไร”

 

 

“พิจารณาจากเสบียงที่เรานำมาในครั้งที่แล้ว ตอนนี้เรามีเหลืออยู่ทั้งหมดสามสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพอสำหรับเลี้ยงคนมากมายขนาดนี้” ใบหน้าของหัวหน้าบาทหลวงซ่อนอยู่ในเงามืด “แต่ถ้าเราไม่ได้มีคนมากขนาดนั้นล่ะ เราก็แค่ส่งพวกผู้บำเพ็ญลับไปลงนรกซะ คนที่เหลือก็จะอยู่รอดเพราะอัตราการแย่งชิงเสบียงน้อยลง “

 

 

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่แยแสและมุ่งร้าย แต่ความคิดของเขาก็สมเหตุสมผลอย่างน่ากลัว

 

 

“ผมเห็นด้วย” ซาตานพูด

 

 

ผู้นำของอาณาจักรมืดพูดขึ้น “ผมก็เห็นด้วยเช่นกัน”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มการโจมตี” นักบุญตัดสินใจราวกับว่าเขาเป็นประธานของการประชุมนี้ ชีวิตของผู้บำเพ็ญลับอยู่ในมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว

 

 

“เราจะแบ่งสมบัติกับองค์กรเยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง ตอนนี้เราควรจะตกลงกันเรื่องนี้ด้วย” หัวหน้าบาทหลวงกล่าว

 

 

“สิบเปอร์เซ็นต์สำหรับดังเคอร์!”

 

 

“สิบเปอร์เซ็นต์สำหรับเพลดจ์!”

 

 

องค์กรหลักส่วนใหญ่เรียกร้องส่วนแบ่งสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ในตอนนี้พวกเขามีมากกว่าสิบองค์กร

 

 

“มีเพียงผู้รอดชีวิตจากสงครามเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดถึงสมบัติ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกท่านคิดว่าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนจบได้จริงๆ หรือ อย่าได้ประมาทเครือข่ายฟ้าดิน หลังจากสงครามสิ้นสุด ผู้ที่ยังมีชีวิตรอดจะได้รับรางวัลตามการมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้” ด้วยเหตุนี้ นักบุญจึงยุติการประชุมลง ในสงครามผู้คนต่างล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

 

 

ในช่วงสงคราม เราไม่สามารถตัดสินความตายได้ด้วยตนเอง มีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่ทำได้

 

 

“คนตาย…ก็ถือเป็นสมบัติเช่นกัน” หัวหน้าอาณาจักรมืดกล่าว เขาหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ราวกับว่าในที่สุดเขาก็ได้บรรลุความปรารถนาในหัวใจของเขาแล้ว

 

 

แต่ในครั้งนี้ ทั้งหัวหน้าบาทหลวงและฟรานเชสโกต่างก็นิ่งเงียบ