บทที่ 702 ปราการดวงจันทร์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

วันคืนผ่านไปขณะหวังเป่าเล่อคิดหาหนทาง ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่ประจำอยู่ในฐานทัพทุกคนทราบเรื่องการมาถึงของเขาและเฟิ่งชิวหรันดี ต้วนมู่ฉีตั้งใจเปล่าประกาศเรื่องนี้ออกไป ทำให้ทุกคนบนดาวศุกร์ ดาวอังคาร รวมถึงโลกต่างทราบถึงการกลับมาของหวังเป่าเล่อ

พวกเขาทราบว่าหวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นการฝึกตนไปไกล อีกทั้งเฟิ่งชิวหรัน ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาลก็ได้เข้าร่วมทัพกับสหพันธรัฐ ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจ

กระแสตอบรับบนดาวศุกร์เป็นไปในด้านบวก คำพูดปลุกใจของหวังเป่าเล่อที่ท่าอากาศยานส่งเข้าไปถึงใจใครหลายคน พวกเขาต่างรู้สึกฮึกเหิมจากไฟนักสู้ที่ลุกโชนอยู่ภายใน

ผู้คนต่างแวะเวียนมาหาหวังเป่าเล่อถึงที่พักชั่วคราว มีทั้งเหล่าพันธุ์กล้าที่ได้รู้จักกันบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ คนคุ้นเคยกันดีอย่างต้นไม้ยักษ์และประมุขสำนักสวี รวมถึงผู้ทรงอำนาจจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในสหพันธรัฐ พวกเขาต่างแสดงเจตนาอยากรู้จักชายหนุ่มให้มากขึ้นรวมถึงแสดงความนอบน้อมให้เห็น

หากเป็นโอกาสอื่น หวังเป่าเล่อผู้จดจำคำสอนในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงได้จนขึ้นใจคงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสานสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น ผ่านไปสองสามวันเขาก็ประกาศว่าจะเข้าสู่การถือสันโดษ

สงครามยังคงดำเนินต่อไปและคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ชายหนุ่มเก็บตัว วงแหวนปราณระบบสุริยะซึ่งคอยตรวจตราทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ทำให้พบว่า…สำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นใกล้จะเตรียมการทำศึกเสร็จสมบูรณ์แล้ว สงครามกับดาวศุกร์ใกล้จะเปิดฉากขึ้นเต็มที

ในวันที่สิบของการถือสันโดษ กงเต๋าก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นและกลับมายังสหพันธรัฐ เขาเป็นสหายคนแรกของหวังเป่าเล่อที่กลับมา

กงเต๋ามาหาหวังเป่าเล่อถึงที่พักทันทีที่กลับมา สิ่งแรกที่เขาบอกออกไปเมื่อได้เจอหน้าอีกฝ่ายก็คือ…

“เป่าเล่อ จั่วอี้ฟานหายตัวไป!”

แสงเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ คำถามมากมายพรั่งพรูออกจากปาก ระหว่างปฏิบัติภารกิจบนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น กงเต๋าได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในยานกู้ภัยจึงรอดจากการสังหารหมู่ที่ตามมาได้ จากนั้นเขาก็รอจนโยวหรันออกไปที่อื่น และใช้จังหวะที่คลื่นแทรกของเรือบินรบอ่อนกำลังลงหลบหนีออกมา

เขาตามเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ทันหลังจากกลับมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และพลาดการอพยพกลับสหพันธรัฐ แต่กงเต๋าก็ใช้เส้นสายในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มีรวมถึงแต้มการรบทั้งหมดที่สะสมมา พาตัวเองหลบหนีออกมาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ก่อนที่โยวหรันจะกลับมา

“โชคดีที่ดาวพุธยังอยู่ตอนที่ข้ากลับมา ผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้สั่งระเบิดดาวพุธทิ้ง มิเช่นนั้นข้าคง…” กงเต๋าตัวสั่นเมื่อคิดเช่นนั้น

“ข้าเจอเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ตอนที่กลับมาถึง พอได้พูดคุยกันก็พบว่าไม่มีใครเห็นจั่วอี้ฟานเลย เจ้าเองก็กลับมาแล้ว แต่ยังตามหาตัวจั่วอี้ฟานไม่พบ พี่ชายของเขา จั่วอี้เซียนก็หายตัวไปด้วย!” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับมองหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเงียบอยู่นานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกมา หากไม่ได้เกิดสงครามอยู่ เขาคงสามารถใช้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนักวังเต๋าไพศาลในการตามหาตัวสหายได้

แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงสงคราม จั่วอี้ฟานจึงต้องพึ่งพาตนเอง ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นห่วงสหายสักเพียงใดก็ทำได้แค่ผลักเรื่องนี้ออกไปก่อนเพราะสงครามกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า เขาคุยกับกงเต๋าอีกพักใหญ่ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเหนื่อยอ่อนและซ่อนอาการบาดเจ็บเอาไว้ ชายหนุ่มก็หยิบของเหลววิญญาณสองสามขวดให้ก่อนจะจบการสนทนา

การปะทะกันของสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกงเต๋าฟื้นจากอาการบาดเจ็บและได้พักจนเพียงพอแล้ว เขาก็ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนต้องทำงานกันอย่างหนัก มีเรื่องมากมายให้จัดการเต็มไปหมด

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเป็นเสาหลักช่วยสนับสนุนกลุ่มสำรวจเขตแดน ดูแลอภิมหาวงแหวนปราณ ออกปฏิบัติภารกิจสอดแนมและปฏิบัติการกู้ภัย กระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อส่งกลับมาตอนที่อยู่สำนักวังเต๋าไพศาลช่วยกลุ่มผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐที่ติดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์มานานได้เห็นทางสว่าง ถึงกระนั้น ก็มีเพียงสามคนที่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ขึ้นมายืนอยู่จุดเดียวกับประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ ต้วนมู่ฉี และหลี่ซิงเหวิน

หนึ่งในนั้นคือผู้นำคณะเสนาบดี บิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์ อีกคนคือผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลนภาห้าสมัย ส่วนคนสุดท้ายนั้น…ไม่ได้มาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าหรือกลุ่มไตรจันทรา ไม่ได้มาจากสำนักชุมนุมสกุณา เป็นคนที่ไม่น่าจะบรรลุขึ้นมาได้ แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดาอะไร คนที่สามที่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณคือ…บิดาของหลินเทียนหาว เจ้านครศักดิ์สิทธิ์ หลินโยว!

หลินโยวเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะเสนาบดี แม้ตำแหน่งเจ้าเมืองจะทำให้เขามีอำนาจมากในสหพันธรัฐ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งในสหพันธรัฐ พอหลินโยวบรรลุขั้นการฝึกตน ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครกล้าดูถูกเสนาบดีผู้ยังเยาว์คนนี้อีกต่อไป!

นอกจากนี้ หลินโยวยังมีความสามารถด้านการจัดการกับผู้คน ทำให้บิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์แต่งตั้งเขาให้เป็นรองผู้นำคณะเสนาบดี ด้วยสถานะทางการเมืองที่สูงขึ้นทำให้สถานะของนครศักดิ์สิทธิ์และลูกชายของเขาสูงมากขึ้น

เมื่อนับหลินโยวและหวังเป่าเล่อแล้ว สหพันธรัฐในตอนนี้มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งหมดแปดคน ห้าในแปดคนนั้นประจำการอยู่บนดาวศุกร์ ส่วนอีกสามคนแบ่งไปคุ้มกันโลกหนึ่งคนและประจำการบนดาวอังคารอีกสองคน สองคนที่ประจำการบนดาวอังคารคอยคุ้มกันเจ้านครอาณานิคมที่กำลังถือสันโดษเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่ สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้บทบาทของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมีความสำคัญเป็นอย่างมากในตอนนี้

กงเต๋าไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ยุ่งจนหัวหมุน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของสหพันธรัฐทุกคนต่างยุ่งจนมือเป็นระวิงกันหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่มีสถานะพิเศษกว่าคนอื่นๆ นางส่งข้อความเสียงหาหวังเป่าเล่อเรื่อยๆ ระหว่างออกปฏิบัติภารกิจ แต่ก็ยังไม่ได้กลับสหพันธรัฐเลยตั้งแต่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวศุกร์

หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้มีเวลามากมายให้ถือสันโดษเพียงอย่างเดียว ไม่นานหลังจากกงเต๋ากลับออกไป ชายหนุ่มก็ได้รับภารกิจจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี

“จงไปที่ดวงจันทร์ ภารกิจของเจ้าคือการพาดวงจันทร์…มายังดาวศุกร์ให้ได้โดยสวัสดิภาพ!”

ดวงจันทร์นั้นเป็นดาวบริวารของโลก ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์วิญญาณในปัจจุบันทำให้สหพันธรัฐสามารถแปลงดาวบริวารให้กลายเป็นปราการชั้นสูงซึ่งเกือบจะสมบูรณ์แบบได้ ปราการดวงจันทร์นั้น นอกจากจะมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรของตนเอง ทำให้มันเป็นเหมือนปราการอวกาศที่สามารถเดินทางข้ามห้วงอวกาศได้!

แผนตั้งต้นคือการใช้ปราการดวงจันทร์ในการสนับสนุนศึกบนดาวอังคาร หลังจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีได้พูดคุยกันและปรึกษากับคนอื่นๆ พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาใช้ปราการดวงจันทร์สนับสนุนดาวศุกร์แทน

ภารกิจนี้ถือเป็นภารกิจที่สำคัญมาก แต่มีความเสี่ยงน้อย การเดินทางไปดวงจันทร์อาจจะกินเวลานาน แต่ก็อยู่ภายใต้การคุ้มกันของวงแหวนปราณระบบสุริยะ แทบไม่มีโอกาสปะทะกับกองกำลังสำนักวังเต๋าไพศาลเลยแม้แต่น้อย

ภารกิจนี้สำคัญมาก หวังเป่าเล่อจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้รับผิดชอบ เขาต้องไปเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ที่หมุนรอบโลกให้เข้าสู่สนามรบ แค่คิดฝูงชนก็คงคึกคักกันยกใหญ่ ภาพดวงจันทร์เปลี่ยนวิถีวงโคจรย่อมสร้างชื่อเสียงให้ชายหนุ่มแน่!

เขาตอบรับภารกิจอย่างไม่ลังเล แม้ใจหนึ่งจะคิดว่าด้วยความสามารถของตน ให้ไปทำภารกิจที่ยากกว่านี้คงจะดีเสียกว่า แต่ชายหนุ่มก็มีแผนลับเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่อยากจะลองทำดู เมื่อรับภารกิจมา หวังเป่าเล่อก็ขึ้นเรือบินรบของสหพันธรัฐ นำผู้ฝึกตนกว่าพันคนมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์

เรือบินรบของสหพันธรัฐได้วงแหวนปราณระบบสุริยะช่วยเสริมความเร็ว ผ่านไปหกวัน พวกเขาก็เข้าไปใกล้โลกและลงจอดบนดวงจันทร์

เหล่าผู้ทรงอำนาจจากทุกกลุ่มอำนาจการเมืองที่ประจำอยู่ในฐานทัพต่างรออยู่พร้อมหน้า พวกเขาได้รับคำสั่งมาให้ทำตามที่ชายหนุ่มบอก หวังเป่าเล่อได้รับสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมฐานทัพบนดวงจันทร์

กลุ่มอำนาจการเมืองหลายฝ่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลงผู้นำอย่างกะทันหันครั้งนี้ ถึงกระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ถึงจะได้ยินมาว่าชายหนุ่มบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เห็นหรือสัมผัสพลังของเขาด้วยตนเอง เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกกดดันหรือเคารพยำเกรงหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีพวกหัวโบราณที่คิดว่ายศถาบรรดาศักดิ์นั้นสำคัญกว่าระดับการฝึกตน คนกลุ่มนี้อาจจะไม่แสดงออกโต้งๆ ว่าไม่พอใจชายหนุ่ม แต่ก็จะไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็ม

แน่นอนว่านี่…คือสิ่งที่พวกเขาคิดก่อนเรือบินรบจะลงจอด และความคิดเหล่านั้นก็ปลิวหายไปทันทีเมื่อหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากเรือบินรบ จริงๆ แล้ว…หวังเป่าเล่อก็ทราบดีว่าเหล่าผู้ทรงอำนาจที่มากด้วยวัยวุฒิคิดเห็นเช่นไร ชายหนุ่มไม่มีทางเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นได้ต่อต้าน ทันทีที่เดินออกจากเรือบินรบ เขาก็ปลดปล่อยเกราะจักรพรรดิ วิญญาณจุติดวงดารา ดวงตาปีศาจ รวมถึงจิตสังหารที่ได้จากการสังเวยชีวิตมามากมายในทันใด ทำให้ดวงจันทร์ในตอนนี้เหมือนโดนถล่มด้วยพายุและคลื่นยักษ์รุนแรง!

“ข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้จักข้า คงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไรกับข้า แต่นับจากนี้ จงเก็บความคิดนั้นไว้กับตัวเอง เลือกเอาว่าจะทำตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด…หรือจะโดนเชือดทิ้ง!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงนิ่งขณะเดินออกมาจากเรือบินรบ เขาไม่ได้พูดเสียงดังมาก แต่เมื่อได้พลังรัศมีรุนแรงมาช่วยเสริม เสียงของเขาก็กลับกลายเป็นสายฟ้าที่ฟาดเข้ากลางหัวทุกคน ผู้ฝึกตนทั้งหมดหายใจถี่รัวทันใด หันมองหวังเป่าเล่อที่เป็นดังปีศาจด้วยหัวอันอื้ออึง พวกเขาตัวสั่นเทิ้มจากจิตสังหารรุนแรง ความคิดร้ายพลันหายวับไป ทุกคนก้มหัวอย่างเชื่อฟังพร้อมร้องตอบออกไป

“รับทราบ!”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปทางศพมหึมาที่นอนอยู่พร้อมกับหรี่ตาลง

อาจเป็นเพราะพลังรัศมีของเขาแกร่งกล้าเกินไป ศพขนาดยักษ์ที่นอนอยู่เหมือนจะมีการตอบกลับ ดวงจันทร์สั่นไหวรุนแรงทันทีที่หวังเป่าเล่อหันไปมองศพที่หลับใหลอยู่ เสียงร้องผิดมนุษย์ค่อยๆ ดังขึ้นจากศพที่นอนอยู่บนพื้น!

………………………….