สถานการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยในกองทัพ ชายกำยำที่รับผิดชอบกดร่างเปาอีฝานเห็นท่าทีลำบากใจของนาง พูดว่า “ข้าเองขอรับ!” พูดจบ ส่งสายตาให้ชายอีกคนหนึ่ง
ชายผู้นั้นเข้าใจพลัน พยักหน้า ประคองร่างเปาอีฝานขึ้น ใช้มือง้างขากรรไกรเขาออก
คนที่พูดรับถ้วยยามาจากเมิ่งเชี่ยนโยว ค่อยๆ กรอกยาใส่ปากเปาอีฝาน
เปาอีฝานกลืนยาส่วนใหญ่ลงไปตามสัญชาตญาณ และมีส่วนน้อยที่ไหลออกข้างปาก
ซุนฮุ่ยน้ำตานอง เดินขึ้นหน้า บรรจงซับคราบยาที่ไหลออกมาจากมุมปาก
เป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก
ฮูหยินเปาปิดปากตัวเองไว้แน่น เสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมา
ชายกำยำกรอกยาให้เปาอีฝานเสร็จ ก็คืนถ้วยยาให้เมิ่งเชี่ยนโยว เอนตัวเปาอีฝานลงนอนตามเดิม
แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น ไปยืนอีกด้านอย่างสำรวม
“ออกไปรอข้างนอกเถอะ” ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งทั้งสองคน
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” ทั้งสองขานรับ เดินออกไป มีเสียงซักถามจากลานเรือนดังลอดเข้ามา
ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินไปที่โต๊ะ วางตะเกียงในมือลง กลับไปนั่งนิ่งขรึมบนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงมือซุนฮุ่ยไว้ ขยิบตาให้นาง พูดว่า “พี่ฮุ่ยเอ๋อร์ คุณชายเปาคงยังไม่ฟื้นตัวในเวลานี้ ท่านประคองท่านป้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ พอเขาฟื้น ข้าจะให้คนไปตามพวกท่าน”
ซุนฮุ่ยเข้าใจความหมายนาง เช็ดน้ำตาตัวเอง เดินตาบวมแดงมาตรงหน้าฮูหยินเปา อุ้มม่อเอ๋อร์ขึ้น พูดกับฮูหยินเปาที่ยังร่ำไห้ไม่หยุดด้วยน้ำเสียงละมุน “ท่านแม่ พวกเรากลับไปที่ห้องก่อนเถอะ พอท่านพี่ฟื้น พวกเราค่อยมา”
ฮูหยินเปาร้องไห้โบกมือ พูดขาดตอนเป็นห้วงๆ “ไม่…ไม่ต้อง ข้า…จะ…อยู่…ที่นี่…รอ…ฝานเอ๋อร์…ฟื้นขึ้นมา”
“ท่านป้า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าว “พอคุณชายเปาฟื้น ยังต้องการคนดูแล ท่านเอาแต่เศร้าโศก ร้องไห้จนเสียสุขภาพไปจะทำอย่างไร ใครจะดูแลคุณชายเปา ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงมาดูแลคุณชายเปา”
ฮูหยินเปาช้อนดวงตาเศร้าระทมขึ้น ส่ายศีรษะอย่างดื้อรั้น “ไม่ได้ หากไม่ได้เห็นฝานเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมากับตาข้าไม่อาจวางใจ พวกเจ้าไม่ต้องพูดเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว ข้าจะเฝ้าเขาอยู่ที่นี่”
เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะกันนางออกไป เมื่อเปาอีฝานฟื้นจะได้ถามความเห็นเขา หากเขายินยอมให้ตัดขา จะได้ลงมือทันที พอฮูหยินเปากลับมาทุกอย่างก็จะเสร็จเรียบร้อย เลี่ยงไม่ให้นางต้องเห็นภาพปวดใจ จนรับไม่ได้เป็นลมสลบไป
แต่ฮูหยินเปายืนหยัดไม่ยอม เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่มีทางเลือก จำต้องหันไปมองเปาชิงเหอ
เปาชิงเหอกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ให้ฮูหยินอยู่ที่นี่เถอะ หากฝานเอ๋อร์เป็นอะไรขึ้นมา จะได้ทันเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
ฮูหยินเปาเปล่งเสียงสะอื้นไห้อีกครั้ง
“ฮูหยิน” เปาชิงเหอเตือนนาง “ทำใจดีๆ ตอนนี้ยังมีความหวัง เดี๋ยวจะเสียสุขภาพไปก่อน”
เปาชิงเหอเป็นเสาหลักของครอบครัว ฮูหยินเปาพยักหน้า หยุดสะอื้นไห้
ภายในห้องเงียบสงัด
เงียบจนทุกคนหัวใจระส่ำ
แม้แต่เจ้าหนูม่อเอ๋อร์ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้ เม้มริมฝีปากแน่น หันกลับไปโอบลำคอซุนฮุ่ยไว้แน่น แก้มนุ่มแนบใบหน้านาง ส่งต่อพลังให้ซุนฮุ่ย
ซุนฮุ่ยหลั่งน้ำตาโดยไร้เส้นเสียงอีกครั้ง
คนทั้งหมดรู้สึกว่าเวลาผ่านไปยาวนาน เปาอีฝานถึงส่งเสียงร้องครางเจ็บปวดออกมา
เปาชิงเหอก้าวเพียงหนึ่งก้าวก็มาถึงข้างเตียง ถามขึ้น “ฝานเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว”
ฮูหยินเปาก็ลุกขึ้น สาวเท้าเดินมาข้างเตียง ร้องเรียกเสียงหลง “ฝานเอ๋อร์ ฝานเอ๋อร์”
ซุนฮุ่ยอุ้มม่อเอ๋อร์เดินเข้ามา
แม้แต่ฉู่เหวินเจี๋ยก็ลุกขึ้น เดินเข้ามามองเปาอีฝานอย่างเฝ้ารอ
คนในลานเรือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ต่างพุ่งความสนใจเข้ามา
แม้แต่เมิ่งฉีที่ตามมาก็มีสีหน้าปิติ
ฮูหยินเปาร้องเรียกเปาอีฝานไม่หยุด ในที่สุดเปาอีฝานก็ฝืนลืมตาขึ้นได้
ฮูหยินเปาน้ำตาไหลเป็นสาย “ฝานเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน”
เปาอีฝานร้องเรียกเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ ท่านแม่”
เปาชิงเหอขานรับ ดวงตาแดงเรื่อ
ฮูหยินเปาพยักหน้ารับ ร้องไห้จนพูดไม่ออก
ภาพบรรยากาศนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากรบกวนพวกเขาเลย แต่สถานการณ์เร่งด่วน จำต้องเม้มริมฝีปากพูดว่า “ท่านป้า ใต้เท้าเปา คุณชายเปาจะฟื้นขึ้นมาไม่นาน ข้าต้องหารือเรื่องการตัดขากับเขาเจ้าค่ะ”
“ใช่ๆๆ ให้แม่นางเมิ่งดูอาการก่อน” เปาชิงเหอได้สติ รีบดึงฮูหยินเปาหลีกทางออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างเตียง
เปาอีฝานมองนาง แย้มยิ้มอ่อน สูดลมหายใจเข้าลึกช้าๆ พูดอย่างอ่อนแรง “แม่นางเมิ่ง ไม่เจอกันนาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยกยิ้มมุมปาก ไม่ทักทายปราศรัย พูดเข้าประเด็น “ตอนนี้อาการของท่านรุนแรงมาก หากต้องการรักษาชีวิตไว้ จักต้องตัดขาซ้ายของท่านออก ท่านใคร่ครวญหน่อยเถิดว่าจะยินยอมหรือไม่”
เปาอีฝานชะงักงัน จ้องนางเขม็ง เห็นสีหน้าเคร่งเครียด ไม่เหมือนคนล้อเล่น จึงขมวดคิ้วถามเสียงแผ่ว “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ”
“มี” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามตรง “แต่ไม่มั่นใจเท่าวิธีนี้”
“กี่ส่วน” เปาอีฝานถาม
“วิธีนี้ห้าส่วน อีกวิธีอย่างมากก็สองส่วน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตามจริง
“หมายความว่าหากข้าตัดขาซ้ายออก ความหวังที่จะรอดชีวิตก็มีเพียงครึ่งเดียวอยู่ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับ “ใช่”
เปาอีฝานไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้าเขา
ครู่หนึ่ง เปาอีฝานถึงพูดเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว รบกวนพวกท่านออกไปก่อนเถอะ”
มารดาเป็นผู้ที่เข้าใจบุตรที่สุด เขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา ฮูหยินเปาก็รู้ทันทีว่าเขาจะพูดอะไรกับเมิ่งเชี่ยนโยว สะบัดมือเปาชิงเหอ ฟุบลงข้างเตียง พูดเสียงกระเส่า “ฝานเอ๋อร์ ลูกต้องคิดให้ดีๆ เจ้าทำใจเห็นคนหัวหงอกส่งคนหัวดำได้หรือ”
ว่าแล้ว ก็ลุกลนพูดต่อ “ยังมี ม่อเอ๋อร์อายุสี่ขวบแล้ว ฉลาดมีไหวพริบ ร่าเริงสดใส เจ้าทำใจทิ้งให้พวกเขาต้องเป็นหม้ายกำพร้าได้หรือ” พูดจบ หันไปกวักมือหาม่อเอ๋อร์ “ม่อเอ๋อร์ รีบมาเรียกท่านพ่อ”
ซุนฮุ่ยอุ้มม่อเอ๋อร์เข้ามา
ม่อเอ๋อร์เบิกดวงตากลมโตดำขวับที่เหมือนเปาอีฝานราวพิมพ์เดียวมองเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เปาอีฝานเห็นบุตรชายตนเอง ปลาบปลื้มปิติ แย้มยิ้มพูดกับเขาเสียงแผ่ว “ม่อเอ๋อร์โตเช่นนี้แล้ว”
ม่อเอ๋อร์เผยอปาก เปล่งน้ำเสียงใสกังวาน “ท่านพ่อ”
เปาอีฝานรับคำเสียงอ่อน
“คุณชายเปา รีบตัดสินใจเถอะ อาการของท่านจะชักช้าไม่ได้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“ข้าไม่ยินยอม!” เปาอีฝานน้ำเสียงเด็ดขาด
“ฝานเอ๋อร์!” ฮูหยินเปาร้องลั่น
“ท่านพี่!” ซุนฮุ่ยร้องลั่น
คล้ายว่าเปาชิงเหอจะคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าเขาจะพูดเช่นนี้ ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ “ฝานเอ๋อร์ เจ้าตัดสินใจดีแล้ว”
เปาอีฝานพยักหน้าอย่างยากเข็ญ “นี่เป็นความปรารถนาเดียวของลูก จักไม่ยอมมีชีวิตเยี่ยงคนพิการ ขอท่านพ่อยอมรับคำขอของลูกด้วย”
เปาชิงเหอหลับตาลงอย่างร้าวราน ครั้นลืมตาอีกครั้ง ดวงตาเด็ดเดี่ยว “ได้ พ่อรับปากเจ้า ไม่ว่าลูกจะเป็นหรือตาย พ่อก็ภูมิใจในตัวลูก”
“ท่านที่!” ฮูหยินเปาร้องปานจะขาดใจ “ท่านรับปากเขาได้อย่างไร”
เปาชิงเหอหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ข้ามอบฝานเอ๋อร์ให้เจ้าแล้ว ทำให้เต็มที่ ที่เหลือแล้วแต่ฟ้าลิขิต ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้หรือไม่ ข้าเปาชิงเหอขอสำนึกในบุญคุณเจ้าไปชั่วชีวิต”
ว่าแล้วก็ไม่รอเมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ ตะโกนออกไปด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาประคองฮูหยินกลับไปที่ห้อง”
สาวใช้หน้าประตูรับคำ เดินเข้ามาประคองฮูหยินเปาที่โศกตรมเดินออกไป
“ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าตามไปดูแลท่านแม่ อย่าให้นางทำอะไรชั่ววูบ” เปาชิงเหอสั่งซุนฮุ่ยเสียงเย็น
ซุนฮุ่ยอุ้มม่อเอ๋อร์เดินตามออกไปทันที
“แม่นางเมิ่ง ข้าฝากฝานเอ๋อร์ด้วย” เปาชิงเหอพูดจบก็เดินออกไป ภายในห้องเหลือเพียงฉู่เหวินเจี๋ยที่นั่งข้างโต๊ะ
เปาอีฝานเอ่ยปากเสียงแผ่ว “แม่นางเมิ่ง ข้าขอร้องอะไรเจ้าสักเรื่องได้หรือไม่”
“ไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวสกัดคำพูดเขา “ดูแลพวกเขาเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาฝากฝังข้า”
เปาอีฝานยิ้มเจื่อนๆ พูดว่า “ไม่เจอกันหลายปี เจ้าโตขึ้นไม่น้อย แต่ทำไมนิสัยถึงยังไม่น่ารักเอาเสียเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดว่า “ชายชาติทหาร มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ขอเพียงยังสร้างผลงานได้ ก็คือชายชาตรีเช่นกัน”
เปาอีฝานส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ ร้องตะโกนออกไปด้านนอก “จัดยาอีกขนานมาแล้วหรือไม่”
“จัดมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านรับคำ
“เอาเข้ามา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
บ่าวคนหนึ่งถือห่อยาเดินเข้ามา มอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เปิดออกตรวจดู แล้วยื่นให้บ่าว กำชับว่า “รีบไปต้มแล้วยกเข้ามา”
บ่าวรับคำ พับห่อยาแล้วรีบเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างเตียง พูดกับเปาอีฝานอย่างขึงขัง “บาดแผลของท่านไม่หนักหนา แต่พิษร้ายแรงมาก ตอนนี้พิษลามไปทั่วทั้งขาซ้ายแล้ว และมีแนวโน้มจะลุกลามขึ้นด้านบน ข้าไม่มีความมั่นใจต่อพิษนี้ วิธีเดียวก็คือใช้สองวิธีพร้อมกัน หนึ่งคือให้เจ้าดื่มยาขับพิษ สองคือต้องถ่ายเลือดจำนวนมากในตัวเจ้าออก หากเจ้าฝืนทนผ่านด่านนี้ไปได้ เจ้าก็จะยังได้เป็นคุณชายเปาหนุ่มเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ หากเจ้าทนไม่ไหว นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบหน้ากัน”
เปาอีฝานฝืนพยักหน้า “ไม่เป็นไร ข้าทนไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาเขม็งครู่หนึ่ง หันหลัง หยิบมีดมาเผาไฟฆ่าเชื้ออีกครั้ง ทั้งพูดกับฉู่เหวินเจี๋ยว่า “ท่านแม่ทัพฉู่ช่วยเรียกคนด้านนอกเข้ามาหน่อยเถิด ข้าต้องการให้พวกเขาช่วย”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า เปล่งเสียงออกไปด้านนอก “พวกเจ้าจงเข้ามาในห้องทั้งหมด!”
คนทั้งหมดเดินเข้ามา ยืนด้านข้างของฉู่เหวินเจี๋ยอย่างนอบน้อม
ฉู่เหวินเจี๋ยเปล่งเสียงน่าเกรงขาม “พวกเจ้าทั้งหมดจงทำตามที่แม่นางเมิ่งสั่ง”
คนทั้งหมดขานรับ มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพวกเขา “ประเดี๋ยวข้าจะถ่ายเลือดคุณชาเปา ให้พวกเจ้าช่วยกันกดเขาไว้”
คนทั้งหมดหันหน้ามองกัน ไม่เข้าใจว่าการถ่ายเลือดทำไมต้องกดตัวเปาอีฝานไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบายความ ยังคงเผามีดบนเปลวไฟต่อ
บ่าวยกยาที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา
เปาอีฝานมีสติครบถ้วน ชายสองคนที่เข้ามาช่วยเมื่อครู่เดินตรงเข้ามา คนหนึ่งประคองเขาลุกขึ้น อีกคนยกมาให้เขาค่อยๆ ดื่มลงไป
พอดื่มยาเสร็จ เปาอีฝานก็นอนลงตามเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองไปรอบห้อง เดินมาบนชั้นวางกะละมัง หยิบผ้าขนหนูขึ้น ม้วนเป็นก้อน เดินกลับมาที่เตียงพูดว่า “กัดไว้!
เปาอีฝานไม่เข้าใจ กลับกัดผ้าขนหนูไว้อย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้พวกเขากดเปาอีฝานไว้
คนทั้งหมดกดแขนกดขาเขาไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องมองเปาอีฝาน พูดขึงขัง “นี่เป็นการเลือกของตัวเจ้าเอง จำไว้ว่า ไม่ว่าเจ็บปวดเพียงใดเจ้าก็ต้องกัดฟันทน อีกอย่าง จะต้องครองสติให้ได้ตลอด”
เปาอีฝานพยักหน้าแผ่ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้านวมบนร่างเขาออก เผยให้เห็นขาซ้ายทั้งท่อนของเขา ใช้มีดกรีดแผลที่เพิ่งถูกเฉือนเนื้อเน่าออกไป เลือดสีดำไหลทะลักออกมาพลัน
ชายที่กดร่างเปาอีฝานเป็นหัวหน้ากองต่างๆ ในค่าย ติดตามฉู่เหวินเจี๋ยประสบเหตุการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วน ฆ่าฟันศัตรูมากมาย เห็นซากศพกองกระดูกจนชินตา ครั้นพอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวคว้านบาดแผลเปาอีฝาน กลับต้องเบี่ยงหน้าหลบ ทนดูต่อไปไม่ได้
เปาอีฝานแค่นเสียงหึ ร่างกายดิ้นพล่านเล็กน้อย เหงื่อผุดซึมจากทุกรูขุมขน
เมิ่งเชี่ยนโยวกดขาซ้ายของเขาไว้แน่น ค่อยๆ เฉือนเนื้อสีเขียวคล้ำรอบบริเวณบาดแผลออก กระทั่งปรากฎกระดูกสีขาวซีด
ครั้นได้เห็นวิธีการของนาง คนทั้งหมดถึงกับสูดลมหายใจเข้าปาก และเข้าใจแล้วว่าทำไมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องให้พวกเขากดเปาอีฝานไว้ นี่เป็นการรักษาขูดกระดูกโดยแท้
เหงื่อเม็ดโตไหลหยด ใบหน้าเปาอีฝานซีดเผือก
น้ำเสียงเย็นเยียบของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “แต่งงานไม่ถึงหนึ่งปี เจ้าก็ติดตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน แม้แต่วันที่ม่อเอ๋อร์คลอดเจ้าก็ไม่ได้เห็น ทิ้งพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ไว้คนเดียว ทั้งต้องดูแลสองผู้เฒ่า ยังต้องช่วยเจ้าเลี้ยงบุตรชาย ไม่เคยได้มีชีวิตที่ผ่อนคลายสบายใจ หากเจ้าอดทนข้ามผ่านวันนี้ไปไม่ได้ ครึ่งปีให้หลัง ข้าจะยุให้นางแต่งงานใหม่ หาชายที่รักนาง ตามใจนาง และไม่จากนางไปไหนอีก”
ได้ยินดังนั้น พวกชายกำยำมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่านางพูดเรื่องพวกนี้ทำไม
เปาอีฝานกลับเข้าใจนัยแฝงของนาง ฝืนเบิกตากว้าง กัดผ้าขนหนูยืนหยัดไม่ให้ตัวเองสลบไป
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ คว้านเนื้อขาวบริเวณบาดแผลเขาออกทีละนิด เผยให้เห็นกระดูกขาวซีดมากขึ้น
ชายที่กดร่างเขาเริ่มทนไม่ไหว มือเท้าสั่นเทิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวมีเหงื่อผุดซึมทั่วหน้าผาก เงยหน้าพูดว่า “แม่ทัพฉู่ รบกวนท่านช่วยเช็ดเหงื่อให้ข้าหน่อยเถิด”
สิ้นเสียงนาง ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้น ยังไม่ทันเดินมาถึงตัวนาง เปาอีฝานก็ปล่อยร่างอ่อนยวบ สลบไปพลัน