บทที่ 560 ถ่ายทอดสด
ยังไม่ทันที่กอร์ดอนจะอุทานจบประโยค ลูเซียนก็ร่าย ‘เวทมายาเสมือน’ เสร็จแล้วและแยกออกเป็นสองร่างในฉับพลันนั้น จากนั้น เงาร่างอีกสองเงาก็ผุดพรายขึ้นมาจากลูเซียนทั้งสอง ลูเซียนทั้งสี่คนยืนล้อมรอบเขา โดยเว้นระยะห่างจากกันพอสมควร จากนั้นลูเซียนตัวจริงกับ ‘ร่างเหมือน’ ก็ร่าย ‘เวทกระจกเงา’

การต่อสู้กับนักเวทนับเป็นเรื่องยากลำบากอย่างแท้จริง ด้วยไม่มีของวิเศษใดๆ ในการใช้เวทมนตร์หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ กอร์ดอนจึงทำได้เพียงกัดฟันและโจมตีด้วยสัญชาตญาณของอัศวิน อย่างไรเสีย อัศวินอาภาระดับเขาย่อมมีวิถีทางและการโจมตีแบบวงกว้างมากมาย

แต่ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไป เขาก็พลันได้ยินลูเซียนพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า

“ข้าต้องการกำลังเสริม”

ขณะที่เขาพูด แว่นตาข้างเดียวของเขาก็ส่องแสงวูบวาบ

‘กำลังเสริมหรือ’

หัวใจของกอร์ดอนพลันหน่วงหนัก บริเวณนี้ยังมีผู้วิเศษหรือนักเวทระดับสูงคนอื่นอยู่อีกหรือ เขาสงสัยว่านี่อาจเป็นการข่มขวัญของลูเซียน แต่ตอนนี้เขาอยู่ในนครเรนทาโต และอัลลินก็อยู่ไม่ไกลนัก สถานที่แห่งนี้จึงมีนักเวทจากทั่วทั้งโลกมารวมตัวกันมากที่สุด สภาเวทมนตร์ไม่มีทางขาดกองกำลังในการทำภารกิจอย่างแน่นอน

เมื่อนึกไปถึงพระคาร์ดินัลหลวงซาร์ดที่กำลังเผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา เจตจำนงในการต่อสู้ของกอร์ดอนก็พลันเหือดหายไป เขาเปลี่ยนทิศทางการโจมตีเล็กน้อยแล้วฉีกหนีไปทางด้านข้าง

ชั่วเวลาที่เขากระโดดออกมา สีสันรอบกายเขาก็เลือนหายไป เหลือไว้เพียงสีดำเทาอันไร้ชีวิตชีวาเท่านั้น เขาถูกแช่แข็งไว้กลางอากาศราวกับแมลงในอำพัน

มันคือ ‘เวทหยุดเวลา’ เวทมนตร์ระดับเก้า!

มอร์ริสปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ ในเมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างค่อนข้างราบรื่น และยังถึงกับมีภาพน่าตื่นตาตื่นใจของ ‘พลังพระเจ้าเสด็จปะทะพลังพระเจ้าเสด็จ’ ซึ่งอาจมองว่าเป็นการเฝ้าดูโอเปร่าคลาสสิกอยู่ก็ได้เพราะเขามิได้มีส่วนร่วมอยู่ในนั้น มอร์ริสจึงค่อนข้างอารมณ์ดี เขาแย้มยิ้มให้ลูเซียนแล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่แถวๆ นี้”

“พระสันตะปาปาและซาร์ดอยู่บนท้องฟ้า ข้าจึงเดาเอาว่าสมาชิกราชวงศ์แห่งโฮล์มอาจจะอยู่รอบๆ นี้ก็เป็นได้น่ะขอรับ” ลูเซียนไม่มีทางสารภาพออกไปแน่ๆ ว่าเขาเพียงข่มขวัญกอร์ดอนเท่านั้น

แม้ว่าลูเซียนจะไม่สงสัยเลยว่ามอร์ริสและนักเวทระดับสูงคนอื่นๆ อาจมาช่วยเขาภายในสามสิบวินาทีหลังจากที่เขาขอกำลังเสริม แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนอื่นๆ จะมาได้ในทันที แต่หากกอร์ดอนสามารถหลบหนีไปเพราะความหวาดกลัว เขาก็จะไม่ต้องใช้สามสิบวินาทีนั้น หากว่ากอร์ดอนไม่หนีไป เขาก็ยังมีพละกำลังระดับเจ็ดหลังจากถูกกดข่มพลัง และเขาก็อาจรับมือได้นานครึ่งนาทีด้วยมือซ้ายของเขา

แม้ว่ากอร์ดอนจะเป็นอัศวินอาภาขั้นที่เก้าเพราะพลัง ‘เทวาจุติ’ และ ‘วิมานบนดิน’ ลูเซียนเชื่อว่าเวทมนตร์ของเขาจะช่วยให้เขาต้านทานอีกฝ่ายได้อย่างน้อยหนึ่งนาที ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าเขามีม้วนคาถาบรรจุเวทมนตร์ระดับเก้า อย่าง ‘เวทวงโคจรทำลายล้างขั้นสูงสุด’ และมี ‘ฮีเลียมที่แข็งตัว’ อยู่สองหลอดซึ่งสามารถใช้ในการร่ายเวทแส้เทพธิดาหิมะ

เขาไม่คาดคิดเลยว่ามอร์ริสจะมาถึงเร็วเพียงนี้ ดูเหมือนว่าเป้าหมายหลักของเขาจะเป็นแกนพลังควบคุมปราการป้องกันด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นว่ามีแสงสว่างทอประกายออกจากร่างของกอร์ดอนและทำให้ผลจากเวท ‘หยุดเวลา’ อ่อนลง มอร์ริสจึงหันมาพูดกับลูเซียน “เจ้าจงไปที่แกนพลังควบคุม ข้าจะจัดการเขาเอง อย่างไรเสียเขาก็เป็นสมาชิกราชวงศ์คนหนึ่งของโฮล์ม มันยังจะพอรับได้หากเขาตายด้วยน้ำมือข้า”

โดยไม่ลังเลอะไรอีก ลูเซียนทั้งสี่เร่งฝีเท้าไปยังแกนพลังควบคุม พลางนึกชื่นชมความละเอียดรอบคอบของแผนการนี้ในใจ หากมิเช่นนั้นแล้ว เขาคงเอาชนะกอร์ดอนไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้

แน่นอน ลูเซียนทราบดีว่าซาร์ดไม่มีทางเป็นคนจัดให้กอร์ดอนมาคุ้มกันแกนพลังควบคุม ในทางกลับกัน กอร์ดอนควรจะเป็นผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์หลังจากที่เขาสังหารนาตาชา มันควรจะเป็นคริโทเนีย ‘เจ้าแห่งกาล’ ที่มาปรากฏกายที่นี่!

ทว่า ในเมื่อตอนนี้ซาร์ดกำลังเผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา คริโทเนียจะ ‘ภักดี’ ต่อเขาถึงเพียงไหนกัน ยิ่งไม่ถึงพูดถึงวินสตัน ‘บุรุษรัตติกาล’ ที่จะรั้งตัวเขาเอาไว้

ภายในตำหนักไกลออกไป วินสตันยืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลาย เขาพูดกับคริโทเนีย “ซาร์ดกำลังปะทะกับพระสันตะปาปา แม้ว่าเขาจะมีพลังพระเจ้าเสด็จเป็นไพ่ตาย แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คือการตายไปพร้อมกับศัตรู ท่านคริโทเนีย ท่านจะโจมตีข้าหรือไม่ขอรับ” เพราะคริโทเนียคือวีรบุรุษชั้นตำนานผู้มีส่วนช่วยในการก่อตั้งอาณาจักรโฮล์ม วินสตันที่เพิ่งจะเลื่อนขึ้นเป็นชั้นตำนานเมื่อร้อยกว่าปีก่อนจึงค่อนข้างให้ความเคารพอีกฝ่าย

“แม้ว่าเจ้าจะอยากย้ายข้างและกำจัดข้อสงสัยว่าเจ้าเป็นพวกนอกรีตด้วยการสร้างคุณงามความดี เจ้าก็ควรรอดูว่าท่านผู้ทรงศีลสูงสุดจะมีความสามารถเพียงใดหลังจากเค้นพลังเพื่อใช้พลังพระเจ้าเสด็จ”[PL1]

มันค่อนข้างเหมือนกับสิ่งที่คริโทเนียบอกกับวินสตันก่อนหน้านี้ เขามองออกไปด้านนอกเงียบๆ เฝ้ามองลูเซียนเจาะปราการป้องกันภายนอกของห้องเก็บแก่นพลังควบคุม การปรับเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้นั้นรวมถึงการมีอัศวินชั้นตำนานเฝ้าอารักขา ลูเซียนเกรงว่ามันอาจส่งสัญญาณไปหาซาร์ด เขาจึงไม่ได้ยุ่งกับมัน แต่โชคดีที่นาตาชาได้มอบโครงสร้างทั้งหมดของวงแหวนเวทศักดิ์สิทธิ์นี้ เขาคงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในการทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง

ในวินาทีถัดมา คริโทเนียก็ถอนหายใจแล้วหมุนกายหันหลัง แล้วเดินออกไปจากห้อง

วินสตันแย้มยิ้ม แล้วมองลงไปทางลูเซียนอีกครา พลางครุ่นคิดว่าเขาควรจะช่วยเหลืออีกฝ่ายเพื่อประหยัดเวลาทั้งสองฝ่ายดีหรือไม่

แต่ทันใดนั้น เขาก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเขาเริ่มช้าลง ราวกับว่าเขาได้ตกลงไปในหนองน้ำ

ดาบเล่มหนึ่งตวัดฟาดฟันมา แต่กลับไม่โดนตัววินสตัน เขาไปปรากฏกายขึ้นจากความมืดใกล้ๆ กันนั้น เหมือนกับเงามืดในยามราตรี

“ท่านคริโทเนี่ย ท่าน…” วินสตันลังเลขณะมองคริโทเนีย ต้องขอบคุณจริงๆ ที่เขาระแวดระวังตัวตามปกติ

คริโทเนียทอดถอนใจ “มันไม่มีทางหันหลังกลับมาได้หลังจากเริ่มต้นบางอย่างไปแล้ว”

“แม้ว่าข้าจะยังไม่พบหนทางในการเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับสาม แต่ข้าก็น่าจะพอต่อกรกับท่านได้ค่อนข้างนานทีเดียว ท่านแน่ใจหรือว่าท่านไม่อยากจะรอก่อน” วินสตันเชื่อว่าสถานการณ์ภายนอกอย่างไรก็คงจะอยู่เหนือการควบคุมแม้ว่าคริโทเนียจะเอาชนะเขาได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย

หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะต่อสู้กับ ‘เจ้าแห่งกาล’ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างมาก

คริโทเนียส่ายศีรษะ “เจ้าและข้าต่างก็เป็นอัศวิน เราเข้าใจความแน่วแน่ของอีกฝ่ายดี ข้ารู้ว่าความหวังนั้นมีอยู่น้อยนิด แต่ข้าก็อยากจะพยายามไขว่ขว้ามันแทนที่จะเฝ้ารอผลลัพธ์ ถึงข้าจะต้องตาย ข้าก็จะตายบนสนามรบ!”

การต่อสู่อันดุเดือดระหว่างทั้งสองคนพลันเริ่มขึ้น แล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกดึงเข้าสู่ ‘วิมานบนดิน’

เพราะการต่อสู้ของอัศวินชั้นตำนานจำเป็นต้องใช้พื้นที่มากกว่า ไม่นานพวกเขาก็ทลายปราการป้องกันของพลังศักดิ์สิทธิ์และลอยขึ้นไปประมือกันกลางอากาศ

นาตาชาในชุดเกราะสีเงินและมงกุฎทองคำแทงดาบแห่งสัจธรรมลงบนปะรำพิธีก่อนที่นางจะกวาดสายตามองไปรอบห้องโถง แล้วประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง

“สงครามระหว่างศาสนจักรและสภาเวทมนตร์ได้เกิดขึ้นแล้ว และถึงเวลาที่เราจะต้องตัดสินใจแล้ว”

“เราจะขจัดปีศาจร้ายตามอย่างศาสนจักร หรือจะออกไปช่วยเหลือสภาเวทมนตร์เพื่อกำจัดผู้ศรัทธาที่มีความคิดหัวรุนแรงและคืนความเชื่อสู่พระเจ้า”

“หากเราเลือกอย่างแรก สภาเวทมนตร์ก็อาจจะหลบหนีไปทางมหาสมุทรหลังจากสูญเสียกำลังไปในจำนวนหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้น เราจะกลายเป็นปราการด่านแรกในการเผชิญหน้ากับสภาเวทมนตร์ ข้าเชื่อว่าทางศาสนจักรย่อมต้องพึ่งพาเรา เมื่อรวมกับพวกนอกรีตทางตอนเหนือ สมดุลใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้น”

“แต่หากเราเลือกอย่างหลัง สภาเวทมนตร์ก็จะต้องพึ่งพิงเราและเหล่าผู้ศรัทธาที่เป็นกลางเพื่อต่อกรกับศาสนจักรเช่นกัน ทางเลือกนี้จะนำไปสู่สมดุลใหม่เช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องลอบสังหารจากผู้พิทักษ์ราตรีอีกต่อไป และความสงบก็จะกลับคืนมา”

“กุญแจสู่ชัยชนะอยู่ในมือเรา พวกเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรหรือ”

นาตาชาหยุดพูด เหล่าขุนนางต่างเข้าใจดีถึงสิ่งที่องค์ราชินีต้องการจะสื่อ การต่อสู้น่าหวาดหวั่นภายนอกนั้นก็คอยย้ำเตือนพวกเขาว่าทุกอย่างนั้นเป็นความจริง

นอกจากนี้ พวกเขาก็รู้อีกด้วยว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกฝ่ายใด ผลประโยชน์ของพวกเขาก็จะได้รับการปกป้องต่อไปตราบใดที่ฝ่ายนั้นชนะ ดังนั้น ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือการไม่ไปยืนอยู่ข้างฝ่ายที่กำลังจะพ่ายแพ้

ในตอนนั้นเอง ดยุกเร็กซ์ก็ยืนขึ้นและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มแผ่ว “ฝ่าบาท เราทุกคนต่างเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และความศรัทธาของเราก็ไม่ควรเป็นที่สงสัยเลย หากว่าสมดุลใหม่จะต้องเกิดขึ้นและผลประโยชน์ของเราก็จะได้รับการปกป้องไม่ว่าจะทางใด เหตุใดเราไม่เลือกฝ่ายศาสนจักรเล่าพะยะค่ะ และเหตุใดเราจึงต้องไปมาหาสู่กับพวกนักเวทชั่วร้ายต่อไปด้วยพะยะค่ะ”

กลุ่มอนุรักษ์นิยมกว่าครึ่งพยักหน้าเห็นพ้อง มันคือสิ่งที่อยู่ในความคิดพวกเขาเป๊ะๆ แม้แต่กลุ่มเสรีนิยมหลายคนก็ยังยอมละทิ้งนักเวทไปอย่างไม่ลังเลในยามคับขัน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถร่วมมือกับนักเวทเพื่อทำเงินได้ก็ตาม

ทั้งห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบ ดยุกเจมส์กำหมัดแน่นก่อนจะยืนขึ้น “ขอคัดค้าน! หากเราเข้ากับฝ่ายศาสนจักร ท่านไม่ต้องคอยหวาดกลัวการลอบสังหารจากพวกผู้พิทักษ์ราตรีหัวรุนแรงเช่นนั้นหรือ พวกนั้นจะยอมทนเห็นโรงงานผลิตของวิเศษ โทรศัพท์ แผนที่คริสตัลเวทมนตร์หรือวิทยุเช่นนั้นหรือ ท่านอยากจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนบ้านนอกเหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ”

แม้ว่านาตาชาจะไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน แต่การร่วมมือกันระหว่างดยุกเจมส์และสภาเวทมนตร์นั้นลึกล้ำกว่าที่เขาจะปล่อยไปได้ อีกอย่าง เขารู้ดีถึงความโน้มเอียงที่แท้จริงขององค์ราชินี ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

นาตาชาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เป็นไปตามคาดสำหรับผู้มีความคิดเสรีนิยมสุดโต่งที่ถูกมองว่าควรไว้วางใจจากทั้งสภาเวทมนตร์และลูเซียน

หลังจากจบคำประกาศกร้าวของดยุกเจมส์ ผู้มีความคิดเสรีนิยมอีกหลายคนต่างก็แสดงจุดยืนของตน แต่พวกเขาก็ยังบอกเป็นนัยๆ อย่างชาญฉลาดว่าพวกเขาเคารพและยอมรับการตัดสินใจสุดท้าย

เมื่อรักษาเวลา นาตาชาจึงยกมือขวาขึ้นเพื่อจบการโต้เถียง

“ข้าขอพูดอะไรสักหน่อย”

ยอร์ซนาร์ ‘บทเพลงสนธยา’ ยืนอยู่ภายในรัฐสภาขุนนางและฟัง ‘การถ่ายทอดสด’ การประชุมในโฮล์มพร้อมกับพระราชาและเหล่าขุนนาง เขาฟังคำเกริ่นนำของนาตาชาและวิเคราะห์ทั้งสองตัวเลือก

“ถ้าทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ เราก็ยังไม่ถูกโน้มน้าวง่ายๆ และเราคงต้องสังเกตการณ์ต่อไป” ยอร์ซนาร์พูดกับขุนนางคนอื่นๆ

ชนชั้นสูงคนใดที่สติดีย่อมคิดออกถึงสมดุลใหม่ทั้งสองนี้ สำหรับขุนนางที่ใช้สมดุลอยู่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการยืนอยู่ฝ่ายมีชัย

ขุนนางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ข้ารู้สึกว่านักบวชน่าไว้ใจมากกว่านักเวท ข้าค่อนข้างหวาดกลัวและไม่ประทับใจกับพวกนักเวทโบราณนัก ข้าจะไม่เลือกพวกนั้นเว้นแต่ว่าจะมีผลลัพธ์ที่คัดค้านไม่ได้”

ภายในอาณาจักรบริแอนน์ โคเล็ตต์ และแถบชายฝั่งทางตอนเหนือ ค้อนแห่งการลบล้าง อัศวินแห่งความพินาศ ท่านหญิงเพลิงผลาญ และมัจจุราชพรากวิญญาณต่างแสดงความเห็นคล้ายคลึงกัน

และค้อนแห่งการลบล้างและอัศวินแห่งความพินาศก็ยังออกมาสังเกตการณ์สถานการณ์ภายนอกอีกด้วย บรูคที่จัดการบีเวอร์เสร็จแล้วและกลับมายังหอคอยเวทมนตร์ของสหพันธ์บทเพลงจันทราพร้อมกับโฮลต์ กำลังจะกลับไปยังอัลลินผ่านทางประตูมิติสู่ดินแดนอื่นที่ใช้ก่อนหน้านี้

พวกเขาคือกุญแจสำคัญที่อาจส่งผลต่อสถานการณ์!

“ไม่สามารถระบุตำแหน่งของอัลลิน…” บรูคขมวดคิ้วมุ่น จากเวทพยากรณ์ เขาเข้าใจว่าเมืองอัลลินนั้นถูกปราการบางอย่างโอบล้อมเอาไว้ ดังนั้นจึงตัดสินใจกลับมายังชานเมืองของนครเรนทาโตโดยใช้เวทกระโดดข้ามอวกาศ

เพราะอาณาจักนบริแอนน์และโฮล์มอยู่ไม่ไกลกันนัก และบรูคคงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหากเขาจะบินมาด้วยความเร็วเต็มที่ แต่เวทกระโดดข้ามอวกาศนั้นใช้เวลาน้อยกว่ายี่สิบวินาทีเสียอีก

เหนือซากปรักหักพังของคริสตจักรแห่งอาภา เฟอร์นันโดที่ถูกกดข่ม และแฮททาเวย์กับดักลาสที่กำลังเป็นต่อฝ่ายศัตรู สื่อสารถึงกัน ถึงเวลาแล้ว! พวกเขาต้องฉวยโอกาสนี้ก่อนที่พระสันตะปาปาจะกลับมา!

……………………………………