งานประชุมใหญ่หงเหมิน โดย Ink Stone_Fantasy
“ผม…ผมว่านะเหล่าถัง ผมไม่เรียกท่านว่าท่านผู้เฒ่า ท่านเองก็อย่าเรียกผมว่าท่านเยี่ยเลย พวกเรานับว่าเป็นสหาย ต่างรุ่น คุณเรียกผมว่าเยี่ยเทียนเฉยๆ ได้ไหมครับ?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะรู้กฎนี้ของชิงปัง แต่ว่าถูกผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบกว่าเรียกว่าท่าน ทำยังไงใจเขาก็ไม่สามารถบิดเบือน ให้รับได้ คุยกันส่วนตัวยังพอไหว แต่ถ้าหากไปข้างนอกพูดแบบนี้ เขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน
“เอาอย่างนั้นเหรอ?”
ถังเหวินหย่วนพึมพำอยู่สักครู่ แล้วเอ่ยปาก “ได้ งั้นเอาตามท่านเยี่ย ไม่ใช่สิ….งั้นก็เอาตามที่ท่านบอกให้ทำแล้วกัน แต่ว่าเยี่ยเทียน ถ้าหากวันหลังท่านนำสาส์นมงคลมาส่งที่หอกลางจริงๆ ฉันก็ยังต้องเรียกท่านว่าท่านเยี่ย…”
“เรื่องในอนาคตไว้ค่อยพูดกันเถอะครับ เอาคำว่า ‘ท่าน’ นี้ ออกไปด้วยเถอะ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างปวดหัวเบาๆ เขาไม่ได้อยากเข้าร่วมกลุ่มสมาคม วันนี้ก็แค่หลุดเปิดเผยเรื่องที่ ท่านอาจารย์ เคยเป็นหัวหน้าชิงปังในอดีตออกมาเท่านั้น แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเข้าสมาคมชิงปังหรือหงเหมิน
ที่สำคัญ หลังจากสงครามปลดแอกหัวหน้าชิงปังมากมายล้วนไปจากประเทศจีน สมาคมชิงปังที่ฝังรากลงลึกใน เซี่ยง ไฮ้เมื่อในอดีต คล้ายจะถูกถอนรากถอนโคนจนหมด
จนกระทั่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบันทึกข้อมูลต่างๆ หรือว่าในสื่อเผยแพร่โทรทัศน์ ความเห็นที่มีต่อชิงปังล้วนไม่ ค่อยดีนัก ในสายตาคนส่วนใหญ่ ชิงปังนั้นเป็นราวกับแก๊งมาเฟีย
ในฐานะ “อาจารย์เยี่ย” ผู้ที่เกิดมาในยุคประเทศจีนใหม่โตมาภายใต้ธงแดง แน่นอนว่าต้องไม่ยอมลงสู่ที่ต่ำ เข้าร่วมใน กลุ่มองค์กรประเภทนี้ แม้ว่าในอดีตท่านนักพรตเป็นคนเขียนสาส์นมงคลให้เขา แต่นั่นเป็นเพราะเยี่ยเทียนไม่อาจขัดเจตนาดี ของท่านอาจารย์ก็เท่านั้น
ทว่าเยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า ชิงปังในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับวันวานในอดีตได้อีกแล้ว
ในอดีตหลังผู้คนมากมายในชิงปังไปจากประเทศจีน คนส่วนใหญ่นั้นไปยังไต้หวัน อีกทั้งยังก่อตั้งบริษัทถูกกฎหมาย “สมาคมจงหัวอันชิน” โดยแทบจะคัดลอกภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของชิงปังในหาดเซี่ยงไฮ้เมื่อในอดีตมา มีคนในแวดวงทหาร ตำรวจ และวงการบันเทิงไม่น้อยที่เป็นส่วนหนึ่งของสาวกชิงปัง
แล้วยังมีคนบางส่วนไปยังฮ่องกง ประเทศอเมริกา อีกทั้งเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหงเหมิน ที่จุดรวมพลของชาวจีน ในหลายเมืองของอเมริกาล้วนได้รับอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง รวมถึงคนอย่างพวกหลัวจื้อปิ่งที่อยู่ตรงหน้า
อีกอย่างตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชิงปังหรือหงเหมิน ล้วนขยับขยายธุรกิจกันอย่างดุเดือด ไม่เหมือนการเก็บค่าคุ้มครอง บนหาดเซี่ยงไฮ้เมื่อในอดีต พื้นฐานเศรษฐฏิจจึงมั่นคงแน่นหนา และถังเหวินหย่วนก็เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถในนั้น
แน่นอนว่า แม้เยี่ยเทียนจะเข้าร่วมชิงปัง ข้อดีที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีผลอะไรกับเขา อย่างมากก็แค่อาจได้รับการ ต้อนรับอย่างอบอุ่นยามไปเยือนถึงถิ่นเท่านั้น
“เยี่ยเทียน ท่านว่า เรื่องวันนี้ให้มันแล้วกันไปเถอะนะ…”
หลังจากที่รู้สถานะของเยี่ยเทียน ท่าทีวางมาดของถังเหวินหย่วนก็ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ด้วยความใส่ใจถึงระเบียบกฎ เกณฑ์ภายในสำนัก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ยอมให้เขาเรียกว่าท่าน แต่ท่าทีก็ยังคงให้ความเคารพอย่างมาก
“ท่านปู่…”
เยี่ยเทียนไม่ได้ห้ามหลัวจื้อปิ่งเรียกเขาว่าท่าน แถมคนคนนี้ก็ไม่รู้สถานภาพของเขาในสำนักเจียงเซียง เพียงมองเยี่ย เทียนตาละห้อย หลังจากที่ถังเหวินหย่วนขอร้องแทนเขา
เห็นหลัวจื้อปิ่งมองตาละห้อยน่าเวทนาอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็โบกมือ กล่าวว่า “สำนักเจียงเซียงกลายเป็นเพียงประวัติ ศาสตร์นานแล้ว ในเมื่อออกไปแล้ว ก็อย่ากลับมาอีก หลัวจื้อปิ่ง นับจากนี้อย่ากลับเข้ามาในประเทศจีนอีกเลย…”
แม้ว่าสำนักเจียงเซียงในประเทศจีนจะถูกกำจัดถอนรากถอนโคนไปนานแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจใน ประเทศกลับมาดีขึ้น สำนักเจียงเซียงเหล่านั้นที่เหลือรอดแล้วแฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้คนก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากเถ้าถ่าน
ปัจจุบันล้วนสามารถเห็นคนตาบอดทำนายดวงชะตาหรือหมอดูฮวงจุ้ยในสถานที่หลายแห่งของแต่ละเมือง ความ จริงจะใหญ่หรือเล็กล้วนมีความเกี่ยวพันต่อสำนักเจียงเซียง หรืออย่างน้อยก็ใช้วิธีการเดียวกันกับคนพวกนั้นในสำนักเจียงเซียง เมื่อในอดีต
แต่ว่าคนพวกนี้ในปัจจุบัน กลับไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนักเจียงเซียงอย่างเคร่งครัดเหมือนแต่ก่อนแล้ว หลักๆ มักกอบโกยผลประโยชน์เข้าส่วนตัน จึงก่อความเสียหายไม่มากมายเท่าในอดีต
อย่างน้อยที่เยี่ยเทียนไม่ยอมให้หลัวจื้อปิ่งกลับเข้ามาในประเทศจีน เพราะกลัวว่าเขาจะนำกฎในสำนักเจียงเซียงกลับ มา นำพาพวกสิบแปดมงกุฏในยุทธภพที่กระจัดกระจายกันให้มารวมเป็นกลุ่ม จนสร้างความเสียหายให้แก่สังคมอย่างใหญ่ หลวง
“ท่าน…ท่านปู่ แค่…แค่นี้ก็พอแล้วหรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หลัวจื้อปิ่งแน่นิ่งไปอยู่ชั่วขณะ เขาทำผิดกฎใหญ่หลวงของสำนักติดต่อกันถึง สองข้อ ไม่นึกว่าเยี่ยเทียนจะละเว้นให้ง่ายๆ อย่างนี้
“หืม?”
เยี่ยเทียนสีหน้าเข้ม กล่าวต่อว่า “ทำไม? หรือต้องให้ผมเปิดโถงพิธีการแทงหกรูด้วยสามมีดกับคุณ?”
“มิกล้า มิกล้า ขอบคุณท่านปู่ ขอบคุณท่านปู่…”
หลัวจื้อปิ่งอาศัยป้ายธงหลอกลวงคำนวนดวงชะตามาสี่สิบกว่าปี ประสบความสำเร็จชื่อเสียงโด่งดังในพื้นที่เขต ชุมชนชาวจีน ย่อมไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาละเทศะ
ในทางกลับกัน หลัวจื้อปิ่งไม่เพียงช่างใส่ใจสังเกต แต่ยังประพฤติตนสุขุมรอบคอบ เพียงแต่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถูกคนสรรเสริญจนเคยชิน กลับมาประเทศจีนครั้งนี้เพิ่งจะเป็นที่รู้จักเท่านั้น
ที่เยี่ยเทียนกลัวหลัวจื้อปิ่งจะกลับมาแผ่ขยายเครือข่ายในประเทศ ความจริงแล้วเขากลับคิดลึกเกินไป แม้ว่าคนใน ประเทศจะมีมาก สะดวกแก่การเพิ่มพูนสาวกสำนักเจียงเซียง แต่ว่าพวกหลอกลวงที่หลอกคนในระดับเดียวกันกับหลัวจื้อปิ่ง กลับไม่สนใจกำไรเล็กน้อยเพียงแค่นั้น
ที่สำคัญ ปัจจุบันหลัวจื้อปิ่งอยู่ในแวดวงชาวจีนที่ต่างประเทศ ถึงขั้นมีฉายาว่าทองพันชั่งหนึ่งคำทำนาย ไม่เพียง เท่านั้น อยากจะให้เขาทายดวงชะตาให้ อย่างน้อยต้องนัดล่วงหน้าก่อนสามเดือน อีกทั้งค่านัดหมายดูดวงชะตาก็ต้องจ่าย ท่วงท่าใหญ่โตไม่ธรรมดา
ผู้คนมากมายนึกว่าอาจารย์หลัวจะต้องมีความน่าเชื่อถือ ความจริงแล้วน้อยคนนักจะรู้ ว่านี่เป็นเพียงวิธีการหนึ่งของ สำนักเจียงเซียงเท่านั้น
ช่วงเวลาสามเดือน เพียงพอจะให้ลูกน้องของหลัวจื้อปิ่งไปสืบเสาะข้อมูลของคนที่จะมาทำนายดวงชะตา อีกทั้งคน พวกนั้นล้วนมีประสบการณ์สูง สิ่งที่รวบรวมมาได้ล้วนเป็นข้อมูลลับส่วนตัวของคนที่มาทำนาย ด้วยวิธีนี้อาจารย์หลัวจึง สามารถรุ่งเรืองอยู่ในอันดับต้นๆ ไม่มีสั่นคลอน
หลังจากผ่านเรื่องน่ายินดีไปแล้ว หลัวจื้อปิ่งก็รินน้ำชาให้เยี่ยเทียนแก้วหนึ่งอย่างนอบน้อม กล่าวว่า “ท่านปู่ ถึงแม้ ท่านจะไม่ถือโทษผู้น้อย แต่ว่าในฐานะรุ่นน้อง ย่อมไม่อาจไม่เคารพกฎเกณฑ์ ค่าทำนายดวงชะตาที่ได้รับระหว่างมาปักกิ่งครั้งนี้ ขอเชิญท่านปู่รับไว้…”
พอวางน้ำชาตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว ยังมีเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐตามมา หลัวจื้อปิ่งคงจะไม่อยู่ใน ประเทศนานนัก ดังนั้นค่าทำนายดวงชะตาที่คุณชายเกาเปิดไว้ จึงกลับกลายเป็นเงินดอลลาร์
ความจริงค่านัดหมายทำนายดวงชะตา คุณชายเกาจ่ายไปนานแล้ว เพื่อเชิญอาจารย์หลัวกลับมายังประเทศจีน สรุป ทำนายดวงชะตาให้เขา ดังนั้นคุณชายเกาจึงจ่ายเพิ่มไปอีกหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ
“นี่จะทำอะไรน่ะ?”
เยี่ยเทียนจ้องมอง แม้ว่าจะหวั่นไหวอย่างมากกับเช็คบนโต๊ะ แต่ถูกคนเรียกขานว่า “ท่านปู่” ทำให้เยี่ยเทียนกลับรู้สึก กระอักกระอ่วนใจที่จะ “ยิ้มรับ” เช็คใบนี้
หลัวจื้อปิ่งไม่นึกว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษ ใจเกิดหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย ลนลาน กล่าว “ท่านปู่ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากรุ่นน้อง ท่าน…ท่านอย่าคิดมากเลย…”
ตามกฎของสำนักเจียงเซียงแล้ว เมื่อฝ่าฝืนข้อห้ามภายในสำนักนั้น จะต้องตัดมือตัดขา หากทำไม่ได้จะต้องตระ เตรียมของกำนัลชั้นดีเลี้ยงสุราเพื่อขอขมา
แต่ว่าหลิวจื้อปิ่งเพิ่งกลับมาประเทศจีนได้เพียงวันเดียว ก็พบกับ “ท่านปู่” ผู้มีอักษรรุ่นอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้สถานะ ของตนเองถูกเปิดเผย
แถมเยี่ยเทียนเองก็เพิ่งบอกว่าไม่ยอมให้เขาขยับขยายอิทธิพลภายในจีน แล้วไหนเลยหลัวจื้อปิ่งจะกล้ารั้งอยู่ในจีน ได้นาน? ดังนั้นจึงได้นำเช็คใบนี้ออกมาเพื่อแสดงความเคารพนับถือต่อเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน เธอก็รับไว้เถอะ หากเธอไม่รับเงินนี้ หลัวจื้อ…หลัวจื้อปิ่งเขาจะไม่สบายใจเอา…”
ความจริงหลังจากได้ยินชื่อสำนักเจียงเซียงแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เข้าใจภูมิหลังของหลัวจื้อปิ่งได้ในทันที รู้ว่าเทพผู้ ทำนายดวงชะตาชื่อเสียงกว้างไกลไพศาลในหมู่ชุมชนชาวจีนผู้นี้ ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่เทพอุตริเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลัวจื้อปิ่งก็นับว่าเป็นคนในวงการเดียวกัน แถมยังติดตามตัวเองมาถึงประเทศจีน ถังเหวิน หย่วนจึงได้ออกปากพูดช่วยเหลือเขาสักสองสามประโยค
“งั้น…ก็ได้ครับ วางเงินไว้ตรงนี้แล้วกัน…”
หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว เยี่ยเทียนก็พายเรือตามน้ำรับคำไป แม้ในใจจะเบิกบาน แต่ว่าสีหน้ากลับ นิ่งเฉยไม่เผยอารมณ์ หลัวจื้อปิ่งมองแล้วนึกชื่นชมในใจ “สมกับเป็นบุคคลในระดับเดียวกับท่านอาจารย์ เห็นเงินทองราวเป็น แค่ฝุ่นธุลีเชียว?”
แต่ถ้าหากถูกหลัวจื้อปิ่งล่วงรู้ว่า “อาจารย์เยี่ย” ตอนนี้จนกรอบชนิดแทบจะกินแกลบ ไม่รู้ว่าสีหน้านั้นจะเผยให้เห็น อารมณ์เบิกบานถึงขนาดไหน?
ได้เห็นเยี่ยเทียนรับเช็คแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจโล่งอก หากเยี่ยเทียนไม่รับล่ะก็ หมายความว่าเรื่องนี้ยังไม่ ถูกยกออกไป อย่างน้อยหลัวจื้อปิ่งจะต้องทิ้งนิ้วก้อยไว้ถึงจะยอมรับเรื่องนี้ได้
หลังจากสะสางเรื่องของหลัวจื้อปิ่งแล้ว ถังเหวินหย่วนพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เอ่ยปากขึ้นว่า “จริงสิ เยี่ย…เยี่ยเทียน เสี่ยวหลัวยังต้องไปไต้หวัน เพื่อเชิญคนภายในหงเหมินเข้าร่วมงานชุมนุมกระชับมิตรหงเหมินที่จัดขึ้นในซานฟรานซิสโก เธอจะ ไปร่วมด้วยหรือเปล่า?”
ในปี 1992 ประเทศอเมริกาจัดงานชุมนุมกระชับมิตรหงเหมินระดับโลกครั้งที่สาม ตัวแทนมากกว่าหนึ่งร้อยคนจาก แต่ละแห่งทั่วโลกมาร่วมสนทนากันเป็นเวลาสองวัน ด้วยกฎเกณฑ์ของการชุมนุม จึงประกาศว่าเป็นการจัดตั้งงานประชุมหง เหมินระดับโลก
งานประชุมหงเหมินในเมืองครั้งนี้ นำเอาแต่ละสำนักซึ่งเป็นสาขาของพรรคฟ้าดินอันกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ บนโลกล้วนรวมเข้าไปด้วย และหนึ่งในนั้นก็มีชิงปังแห่งไต้หวันและฮ่องกงอยู่
หลัวจื้อปิ่งไม่เพียงเป็น “อาจารย์ทำนายดวงชะตา” ของกลุ่มชาวจีนที่ “โด่งดังไปทั่วโลก” แล้วในขณะเดียวกันก็เป็นผู้มี อำนาจอย่างแท้จริงในงานประชุมหงเหมิน ครั้งนี้ที่ส่งตัวเขาไปยังไต้หวันเพื่อเชื้อเชิญหัวหน้าชิงปัง จึงถือว่าหงเหมินให้ความสำ คัญกับสาขานี้
“งานประชุมใหญ่หงเหมินเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึงเล็กน้อย ในความคิดพลันเกิดภาพของบุคคุลในกลุ่ม มาเฟียสวมแว่นตาดำใส่ชุดสูท สีดำปรากฏขึ้นมา หน้าผากจึงอดมีเหงื่อซึมออกมาไม่ได้ โบกมือไปมากล่าวว่า “เหล่าถัง ผมยังไม่ได้บอกว่าจะเข้าหงเหมินสัก หน่อย เรื่องวันนี้คุณอย่าแพร่งพรายออกไปเชียวนะ ถ้าวันหลังผมได้ยินข่าวลืออะไรมาล่ะก็ ผมจะมาคิดบัญชีกับพวกคุณ…”
“นี่?”
ถังเหวินหย่วนลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อได้เห็นท่าทียืนกรานของเยี่ยเทียนแล้ว จึงได้แต่ส่ายหน้ากล่าว “ตกลง ในเมื่อนาย ไม่ยินยอม ก็ช่างมันเถอะ แต่ว่าเยี่ยเทียน ฉันยังคาดหวังให้นายกลับไปพบทำความรู้จักกับบรรพบุรุษ เข้าร่วมหงเหมินอยู่ดี นะ…”
“ได้ครับ ผมจะพิจารณาดู ถ้าอย่างนั้น เหล่าถัง ที่บ้านยังมีธุระอยู่ ผมขอตัวกลับไปก่อนล่ะ ไว้ครั้งหน้าจะมาเลี้ยงสุรา ต้อนรับอีกที”
มายังไม่ถึงสองชั่วโมง ไม่เพียงได้รู้จักหัวหน้าหงเหมินรุ่นหลาน ยังเกือบจะถูกดึงตัวเข้าไปยังแก๊งมาเฟีย นาทีนี้เยี่ย เทียนไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่อีกแล้ว ขืนก้าวพลาดไปเพียงก้าวเดียว ชีวิตนี้ของเขามีหวังจบกัน!