ราชันเร้นลับ 551 : บัญญัติสิบประการ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 551 : บัญญัติสิบประการ โดย Ink Stone_Fantasy

“บัญญัติประการที่สอง : ห้ามนำชื่อของเราไปแอบอ้าง”

“บัญญัติประการที่สาม : ห้ามศรัทธาในเทพองค์อื่น”

“บัญญัติประการที่สี่ : จงมอบความรักแก่บุพการี คู่สมรส บุตรธิดา เฉกเช่นที่รักเรา”

“บัญญัติประการที่ห้า : ห้ามประพฤติผิดในกาม”

“บัญญัติประการที่หก : ห้ามเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”

“บัญญัติประการที่เจ็ด : ห้ามเพิกเฉยต่อการกระทำความผิด การใส่ร้าย การผิดสัญญา”

“บัญญัติประการที่แปด : จงรับใช้เราด้วยหัวใจ มิใช่การสังเวย”

“บัญญัติประการที่เก้า : หากกระทำความผิดเล็กน้อย จงชดใช้บาปให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงค่อยมาขอขมาต่อเรา”

“บัญญัติประการที่สิบ : จงช่วยเหลือพวกพ้อง เพื่อนร่วมชาติ และพี่น้องร่วมสายเลือด ไปพร้อมกับสรรเสริญนามของเราให้กึกก้อง”

บัญญัติศาสนาชุดใหม่กำลังดังกังวานในห้วงความคิดของ ‘หัวล้าน’ ไครัท หนึ่งในสมาชิกกลุ่มต่อต้าน สิ่งนี้ยิ่งทำให้มันหมอบกราบแนบไปกับพื้น ร่างกายสั่นเทาอย่างมิอาจยับยั้ง เป็นความรู้สึกซาบซ่านจนมิอาจสรรหาคำใดมาอธิบาย

ในฐานะผู้วิเศษลำดับกลางและสมาชิกกลุ่มกบฏผู้เคยได้รับการศึกษาจากฟุซัค ไครัทย่อมมีโลกทัศน์กว้างพอสมควร จึงตระหนักว่าศาสนา ‘เทพสมุทร’ ถือกำเนิดด้วยความหวาดกลัวเป็นที่ตั้ง หวาดกลัวในพลังอันยิ่งใหญ่ของเทพ หวาดกลัวในภัยธรรมชาติที่มนุษย์มิอาจต่อต้านขัดขืน หวาดกลัวต่อพิธีกรรมดิบเถื่อนและโชกเลือด เป็นการถอยหลังทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในอีกไม่ช้าก็เร็ว ศาสนาเทพสมุทรอาจต้องถูกแรงกดดันจากภายนอกทำลาย

ไครัทเชื่อเช่นนั้นมาตลอด แต่ด้วยความที่ถูกบังคับให้ศรัทธาตั้งแต่ยังเล็ก มันมิกล้าขัดขืนต่อวิวรณ์ที่ตนได้รับจากเทพสมุทรโดยตรง จึงต้องฝังกลบความปรารถนาจากใจจริงของตน ความคิดที่จะยกเลิกพิธีกรรมสังเวยชีวิต โดยปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นตามสมัยนิยมของโลก

แต่ในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเทพสมุทรกำลังทำให้มันเกิดความยินดีปรีดาจากก้นบึ้งหัวใจ เหตุเพราะ ‘เทพป่าเถื่อน’ ตามคำเรียกขานของคนภายนอก ได้วิวัฒนาการกลายเป็นเทพจิตใจงดงามเต็มตัว

พวกเราทุกคนถูกอวยพร…กลุ่มต่อต้านทุกคนถูกอวยพร สาวกทุกคนถูกอวยพร…

ไครัทยกศีรษะเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างนำมาประนมใต้ริมฝีปาก

“กระผมจักปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัด! และกล่าวสรรเสริญพระนามของท่านไปตราบจนชีวิตหาไม่!”

ภาพของบุคคลอันเลือนรางเริ่มจางหายไปจากการมองเห็นไครัท ไม่หลงเหลือแม้แต่สุ้มเสียงลุ่มลึกกังวาน ฉากภายในถ้ำกลับคืนสู่ความปรกติ

แต่ไครัททราบดี ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

มันรีบคลานด้วยศอก ตรงไปยังวีลแชร์อย่างคล่องแคล่วและมีกำลังวังชา ปืนขึ้นนั่ง และหมุนหันทิศทางไปยังอีกฝั่งของถ้ำ

เพียงไม่นาน ไครัทได้พบเอ็ดมันตัน และเห็นว่าชายผู้สักงูทะเลยักษ์ไว้บนท่อนแขน กำลังยืนจ้องมองเทวรูปที่ชุ่มไปด้วยเลือด โดยกึ่งกลางหน้าผากเอ็ดมันตันก็กำลังชุ่มเลือดเช่นกัน แต่บาดแผลค่อนข้างลึกและน่าหวาดเสียว

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเอ็ดมันตันกลับเผยความอิ่มเอม เบิกบาน และพึงพอใจอย่างสุดขีด มันหันกลับมาจ้องไครัทและถาม

“ได้รับพระวิวรณ์เหมือนกันใช่ไหม…”

“อา…แฝงด้วยกลิ่นอายของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม เป็นท่านไม่ผิดแน่” ไครัทพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น “ไม่เพียงพระองค์จะกลับมายังโลกของเราอย่างปลอดภัย แต่ยังบัญญัติหลักการใหม่ขึ้นมาด้วย”

เอ็ดมันตันยิ้มอย่างยินดี

“ฉันคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนเสียอีก…ดูเหมือนว่า เพียงให้คนนอกสัมผัสดาบกระดูก พระองค์ก็สามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องยกมันขึ้น”

ไครัทพยักหน้า

“คงเป็นเช่นนั้น…เทวรูปที่แตกหักของพระองค์คงกำลังสื่อว่า ท่านได้วิวัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงรูปโฉม…ทางเราเองก็ต้องสร้างเทวรูปขึ้นใหม่เช่นกัน! ให้เหมือนกับที่เห็นในพระวิวรณ์!”

“ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสำแดงตราสัญลักษณ์ใหม่ให้ข้าประจักษ์ เป็นรูปคทาสายฟ้าลอยอยู่เหนือสัญลักษณ์คลื่น ฉากหลังรายล้อมด้วยพายุ” เอ็มมันตันเล่าพลางทำหน้านึก

ไครัทตบที่เท้าแขนวีลแชร์หนึ่งฉาด :

“รีบตามหาท่านนักบวชเร็ว! ท่านต้องได้รับพระวิวรณ์แบบเดียวกับเราแน่ ถึงเวลาเริ่มต้นยุคสมัยใหม่แล้ว!”

ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ไคลน์วางคทาเทพสมุทรลง บีบนวดหน้าผากด้วยสีหน้าอิดโรย

ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักถึงจุดอ่อนของคทาเทพสมุทร จริงอยู่ คทาด้ามนี้อาจสามารถตอบสนองต่อพิธีกรรมเวทมนตร์ และยังสำแดงฤทธิ์เดชให้อีกฝ่ายได้บางส่วน ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของผู้ประกอบพิธีกรรม แต่พลังที่สำแดงได้จะต้องอยู่ในขอบเขตอำนาจเท่านั้น ไม่สามารถข้ามขีดจำกัดได้ จึงมิอาจช่วยเหลือสาวกได้ทุกเรื่อง

ยกตัวอย่างเช่น เทพธิดารัตติกาลสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ในขอบเขตของ ‘โชค’ ให้แก่เป้าหมาย ช่วยให้ผู้ประกอบพิธีกรรมได้รับเงินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญสำหรับนำไปชดใช้หนี้สิน แต่หากสาวกเทพสมุทรคนใดขอร้องในสิ่งเดียวกัน อย่างมาก ไคลน์ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนสิ่งของบนแท่นบูชาให้มีรูปลักษณ์คล้ายธนบัตร แต่ไม่นานก็จะกลับคืนสภาพเดิมและมิอาจนำมาใช้การได้

“นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างเทพกำมะลอกับเทพตัวจริง…ที่แย่ไปกว่านั้น หากใช้งานคทาด้ามนี้ด้านนอกห้วงมิติเหนือสายหมอก ทุกครั้งที่มีการประกอบพิธีกรรมจากสาวก พลังของคทาจะบังคับให้ผู้ถือเข้าสู่ขั้นตอนตอบสนองพิธีกรรมโดยอัตโนมัติ และเมื่อจบหนึ่งพิธีกรรม พลังวิญญาณก็แทบไม่หลงเหลือ…คงเป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าเทพจารีตถึงเลือกตอบสนองเฉพาะพิธีกรรมเวทมนตร์ที่สำคัญเท่านั้น แต่ถ้าใช่งานบนห้วงมิติเหนือสายหมอก คำสวดวิงวอนทั้งหมดจะถูกปิดกั้นและบีบอัดในรูปของละอองแสง ไม่จำเป็นต้องตอบสนองทุกพิธีกรรมโดยอัตโนมัติ…แต่ปัญหาคือ เราต้องคอยนั่งตอบสนองทุกพิธีกรรมทีละคน…เราก็ไม่สามารถแช่อยู่บนสายหมอกได้ตลอดทั้งวันสักหน่อย แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดี โดยไม่ว่าพิธีกรรมจะถูกประกอบอย่างหยาบสักเพียงใด แต่เป้าหมายของพิธีกรรมจะมุ่งหน้ามายังคทาด้ามนี้เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา หากไม่มีอารมณ์ตอบกลับ ก็ไม่มีใครมาบังคับได้ หืม…ถ้ามีเวลาว่าง เราควรคิดค้นระบบตอบรับอัตโนมัติให้กับคทาเทพสมุทร…ใช้เทวทูตกระดาษได้ไหม? คงไม่ ของแบบนั้นไม่มีวิญญาณ…หรือสร้างหุ่นเชิดแบบกลไกเพื่อคอยตอบสนองคำสวดวิงวอนจิปาถะ? อา…เรายังไม่แน่ใจว่า ‘นักเชิดหุ่น’ มีความสามารถแบบนั้นหรือไม่ เพราะโรซาโก้แสดงให้เห็นแค่การเปลี่ยนมนุษย์เป็นหุ่นเชิด”

สมองไคลน์เริ่มดำดิ่ง ดวงตาเพ่งมองกล่องบุหรี่โลหะ

หลังจากทดสอบดูสักพัก มันพบว่ากล่องบุหรี่โลหะที่ผิวด้านนอกถูกกัดกร่อนด้วยน้ำย่อยคาเวทูว่าอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพอย่างเห็นได้ชัด เนื้อโลหะแข็งขึ้นมาก เหนียวขึ้น จนสามารถต้านทานการกัดกร่อนจากน้ำย่อยได้ แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตจินตนาการของมนุษย์

ยังไม่มีพลังพิเศษแฝง…แต่ถ้าเก็บไว้ในนี้อีกสักสองสามปี หลายสิบปี หรือนานกว่านั้น บางที มันอาจแปรสภาพกลายเป็นสมบัติวิเศษ…หรืออาจถึงขั้นกลายเป็น ‘กล่องผนึก’ ที่พลังวิญญาณจะเสื่อมลงทีละนิดหากนำออกไปด้านนอกมิติ…

มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา สายตามองไปยัง ‘กองขยะ’ ด้านข้าง

สมบัติทุกชิ้นของชายหนุ่ม ถูกสายหมอกปกคลุมอย่างมิดชิดจนแทบจะกลมกลืนไปกับสถานที่แห่งนี้

หึหึ…

ไคลน์หัวเราะในลำคอ เบือนหน้ากลับ

ชายหนุ่มลงมือสำรวจแก้วทองคำของเอลฟ์ครึ่งเทพอีกครั้ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าตนมิได้มองข้ามสิ่งใดไป

หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จสรรพ มันส่งจิตกลับสู่โลกความจริง ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญอีกครั้ง เพื่อนำเข็มกลัดสุริยันและสมบัติวิเศษชิ้นอื่นกลับไปยังโรงแรม

ในตอนนี้ ท้องฟ้าและจันทราสีแดงฉานเบื้องบน กำลังมอบบรรยากาศเงียบสงบชวนฝันหวานให้กับบายัม เมืองแห่งการให้

เก้าโมงเช้า วิหารคลื่นสมุทร

อัลเจอร์ถูกเรียกพบเป็นการด่วน มันใช้การสารภาพบาปบังหน้า เพื่อเข้าไปนั่งสนทนากับบิชอปโชโกรี

“ตามหาชายคนนี้” โชโกรีส่งภาพเหมือนของบุคคลผู้หนึ่งให้

งานใหม่อีกแล้ว… เกิดอะไรขึ้นกันแน่…

อัลเจอร์พึมพำในใจพลางคลี่กระดาษ

เมื่อได้เห็นเนื้อหา มันเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่และหลุดขำเสียงดัง

ในทางทฤษฎี ไม่มีใครในโลกสามารถตามหาบุคคลในภาพได้ เนื่องจากรูปของเป้าหมายคลุมเครือเป็นอย่างมาก ไม่ทราบแม้กระทั่งเพศหญิงหรือชาย หน้าตาเป็นเช่นไร ภายในหัวอัลเจอร์อุทานทันทีว่า ‘จะหาพบได้ยังไง?’

กัปตันหนุ่มไม่ปกปิดสีหน้าประหลาดใจ พลางซักถามออกไปตามความรู้สึก

“ใครกันครับ”

หากพึ่งพาได้เพียงภาพแสนคลุมเครือ มันคงไม่มีจุดเด่นใดสำหรับใช้ตามมา จึงต้องการข้อมูลเพิ่ม

เมื่อวานไม่มีงานนี้…แต่พอถึงช่วงเช้าของวันถัดมา เรากลับถูกเรียกตัวพบด่วน และมอบหมายงานตามหาคนให้ทันที…เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อา…ป่านนี้คาเวทูว่าจะร่วงหล่นไปแล้ว โบสถ์และกองทัพคงกำลังตามหามรดกของมัน…จากเบาะแสเบื้องต้น รังของคาเวทูว่าน่าจะอยู่แถวเกาะไซมีมสินะ…หรือบุคคลในภาพไปถึงที่เกิดเหตุก่อน และขโมยสิ่งสำคัญตัดหน้าท่านเจ้าคุณไป?

เป็นฝีมือของใครกัน?

หัวใจอัลเจอร์เริ่มเต้นระรัว จนแทบไม่กล้าหันไปสบตาอีกฝ่าย

โชโกรีพยักหน้ารับ

“ก็แค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง แถมยังเป็นหัวขโมยต่ำช้า! น่าจะมาจากฟุซัคหรือไม่ก็อินทิส อาจเป็นสมาชิกโบสถ์สุริยันหรือเทพสงคราม”

อินทิสหรือฟุซัค? สุริยันหรือเทพสงคราม? ทำไมกรอบการสันนิษฐานถึงกว้างเช่นนี้…

หรือจะเป็นเพราะผลการทำนายของท่านเจ้าคุณถูกขัดขวาง จึงแทบไม่พบเบาะแสใดของคนร้ายเลย? แต่จากสามัญสำนึก การสันนิษฐานว่ามาจากฟุซัคหรือไม่ก็อินทิสนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ในฐานะที่พวกมันคอยสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมานาน ย่อมมีโอกาสทราบแหล่งกบดานของคาเวทูว่า…หึหึ มีความเป็นไปได้มากทีเดียว พวกมันอาจรู้เรื่องนี้มานานแล้ว…นับว่าสอดคล้องกับสมมติฐานก่อนหน้าของเรา…

แต่เรื่องราวราวอาจไม่เป็นไปตามนี้ก็ได้…

อัลเจอร์เริ่มใจเย็นลง หันไปซักถาม

“มันก่อเรื่องอะไรไว้?”

“คุณยังไม่จำเป็นต้องทราบ แค่คอยตรวจตราความผิดปรกติของพวกอินทิสและฟุซัคในบายัมไว้ก็พอ อา…รวมถึงชนพื้นเมืองที่เป็นผู้วิเศษด้วย…แล้วก็ พยายามสืบหาเบาะแสของผู้ที่นำใบประกาศมาติดหน้าประตูวิหาร พวกมันน่าจะมีข้อมูลในมือ…ไว้คดีมีความคืบหน้าเมื่อไร ผมจะเล่าให้คุณฟังเพิ่มเติม”

โชโกรีกล่าวเสียงทุ้ม

ยิ่งไม่ยอมเล่า ก็ยิ่งตรงกับที่เราคิด…

อย่าบอกนะว่า บุคคลในภาพมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มปิดป้ายประกาศที่ระบุว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังขาดเสถียรภาพ…ชักอยากรู้แล้วว่า ตะกอนพลังของคาเวทูว่าจะตกอยู่ในมือใคร…

จริงสิ เดอะเวิร์ลยังอยู่ในบายัม…เขาเพิ่งมาเยือนไม่นาน แต่กลับเกิดเรื่องใหญ่ทันที หรือนี่จะเป็นพระประสงค์ของมิสเตอร์ฟูล?

เหตุการณ์ครั้งนี้ช่วยคลายผนึกของท่าน และกำลังฟื้นฟูพลังกลับมาทีละนิด?

เมื่อจินตนาการว่าข้อสันนิษฐานของตนเป็นความจริง รูม่านตาอัลเจอร์พลันสั่นเทา

หลังจากลืมตาตื่น ไคลน์ ผู้กอบโกยผลประโยชน์มากมายจากเหตุการณ์เมื่อคืน เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและอารมณ์สดใส

มันเตรียมให้รางวัลตัวเองเป็นอาหารเช้า อาหารเที่ยง และอาหารเย็นชุดใหญ่สุดหรูหรา

ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปยังห้องนั่งเล่น และเห็นว่าเดนิสลุกจากเตียงแล้ว โดยกำลังวุ่นวายอยู่กับการถอดผ้าพันแผลและเฝือก

หายเร็วจังแฮะ…ไคลน์ชะงักเล็กน้อย

เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินออกจากห้องนอน เดนิสหันมายิ้มให้

“ฉันมีพลังในการฟื้นตัวเป็นเลิศ ลำดับ 9 ชื่อว่านักล่า สมรรถภาพร่างกายโดยรวมจะถูกยกระดับอย่างมาก เหนือกว่ามนุษย์ปรกติหลายเท่าตัว ยิ่งเป็นด้านศิลปะการต่อสู้ยิ่งเชี่ยวชาญ และปัจจุบัน ฉันอยู่ในลำดับ 7”

ลำดับ 9 นักล่า? เชือดทิ้งไปแล้วคนนึง และยังรู้ด้วยว่าลำดับ 6 ชื่อนักวางแผน…

ไคลน์หวนนึกถึงศัตรูคนแรกที่ตนพบในกรุงเบ็คลันด์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ผลักให้ชายหนุ่มตกลงไปในวังวนความวุ่นวาย จนเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอด

“ลำดับ 8…นักยั่วยุ?”

ไคลน์ซักถามด้วยเสียงเหยียดหยัน

มันเคยเดาเส้นทางของเดนิสไว้นานแล้ว จากพลังในการสร้างลูกไฟ โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ หรือที่โรซายล์เรียกติดตลกว่า ‘เส้นทางแห่งลูกผู้ชาย’ ลำดับ 7 คือ ‘นักวางเพลิง’ โดยชื่อโบราณคือ ‘จอมอาคมอัคคี’

เดนิสชะงักเล็กน้อย เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายกำลังสบประมาทตน มันขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว

“นายคิดว่าฉันยั่วยุไม่เก่งหรือ? ผิดแล้ว! ฉันชำนาญในเรื่องนี้มาก!”

……………………