ถังเสวียเสวี่ย โดย Ink Stone_Fantasy
ที่จริงแล้วพรรคเจียงเซี่ยงก็คือสมาคมที่นำการดูดวงมาใช้ในการหลอกลวงดีๆ นี่เอง ในฐานะที่เป็นผู้แทนสมัยปัจจุบัน ของพรรคเจียงเซี่ยงในต่างประเทศ ‘อาจารย์หลัว’ ก็เรียกได้ว่ามีประสบการณ์อย่างโชกโชนเลยทีเดียว หลายสิบปีมานี้ อุบายหลอกลวง ที่เขาเคยมีส่วนร่วมนั้น ถ้าไม่ใช่ทุกครั้งก็คงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
การ ‘วางอุบาย’ นั้นแบ่งเป็นระดับเล็กใหญ่ ระดับเล็กเรียกว่าดักจับกวาง ซึ่งก็คือการหลอกไปตามสถานการณ์ เฉพาะหน้านั่นเอง
ส่วนพวกระดับใหญ่นั้น มักจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรืออาจถึงขั้นหลายปี สมัยก่อนสถาปนาประเทศนั้น แม้แต่สมาชิกระดับสูงในพรรคก๊กมินตั๋ง มหาเศรษฐีเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หรือแม้กระทั่งซ่งเหม่ยหลิง ภรรยาของเจียงไคเช็ก พวกพรรคเจียงเซี่ยงนี่ก็ยังกล้าโจมตี
หลัวจื้อปิ่งแม้จะสู้คนรุ่นก่อนไม่ได้ แต่ก็เคยใช้เวลาถึงสามปีสร้างอุบายระดับใหญ่ยิ่งขึ้นมาครั้งหนึ่ง เพียงครั้งเดียว ก็หาเงินมาได้หลายสิบล้าน เพียงพอที่จะให้เขาและบรรดาลิ่วล้อนำไปจับจ่ายใช้สอยได้หลายปีเลยทีเดียว
แต่เปรียบเทียบกับเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ‘อาจารย์หลัว’ ก็รู้สึกว่าตัวเองสู้ไม่ได้เลย ตอนที่เขาวางอุบายครั้ง นั้นต้องเปลืองพลังสมองไปมากมายมหาศาล เลือกใช้สารพัดวิธีการ ถึงจะหลอก ‘คนใหญ่คนโต’ คนนั้นมาติดกับได้
แต่เยี่ยเทียนเพียงใช้คำพูดไปไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ถังเหวินหย่วนรีบทุ่มเงินให้แล้ว ความแตกต่างของทักษะนั้นนับว่า ต่างชั้นกันราวฟ้ากับดิน ทำให้หลัวจื้อปิ่งรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งนัก
“เยี่ยเทียน หลานสาวผมมาแล้ว คุณดูซิว่าเป็นลักษณะโหงวเฮ้งแบบไหน? ต้องให้พวกผมออกไปรึเปล่า?”
ระหว่างที่หลัวจื้อปิ่งมัวยืนขบคิดอยู่ตรงนั้นไปหลายตลบ ถังเหวินหย่วนก็พาหลานสาวเข้ามาในห้องแล้ว ข้างหลังยัง มีเกาเฉียนจิ้นกับหูจวินและหลงเสวี่ยเหลียนสามคนเดินตามมาด้วย เมื่อการเจรจากระชับมิตรยุติลงแล้ว เรื่องต่อจากนี้ก็ไม่ต้อง กลัวว่าคนอื่นๆ จะได้ยินแล้ว
“คุณปู่ จะให้เขาช่วยดูอาการหนูหรือคะ?”
แม้จะสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก แต่เพราะถังเสวียเสวี่ยเกิดในตระกูลเศรษฐีอย่างตระกูลถัง จึงเคยไปร่วมงานใหญ่ๆ มานักต่อนักแล้ว แต่พอได้ยินว่าคุณปู่จะให้ชายหนุ่มที่ผมขาวทั้งศีรษะคนนี้มาวินิจฉัยตตัวเองถังเสวียเสวี่ยก็ยังคงรู้สึกสนอก สนใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อครู่นี้ตอนที่ถังเหวินหย่วนและพวกหลัวจื้อปิ่งสนทนากัน เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเทียนเป็นผู้ดำเนินการสนทนาส่วนใหญ่ และฟังจากการพูดจาแล้ว อย่างกับว่าชายสูงวัยทั้งสองอย่างถังเหวินหย่วนและหลัวจื้อปิ่ง ซึ่งมีอายุรวมกันเกินหนึ่งร้อยกว่าปี ไปแล้วนี้ ยังมีระดับอาวุโสต่ำกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
มนุษย์ต่างก็มีความอยากรู้อยากเห็นกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อเข้ามาในห้อง ถังเสวียเสวี่ยจึงอดเพ่งพิศพิจารณาดูเยี่ย เทียนไม่ได้ ราวกับว่าจะรอดูดอกไม้บานออกมาจากใบหน้าของเขาก็ไม่ปาน
“เสียมารยาท หลานต้องเรียกเขาว่า…เรียกว่า…”
พอได้ยินคำพูดของหลานสาว ถังเหวินหย่วนก็ทำหน้าดุขึ้นมาทันที แต่คิดอยู่เป็นนานสองนาน ก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ เสวียเสวี่ยเรียกเยี่ยเทียนว่าอย่างไรถึงจะเหมาะสม ถ้าจะยึดตามลำดับอาวุโสละก็ เห็นทีคงต้องเรียกว่า ‘ท่านปรมาจาย์’ นี่แหละ
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนสีหน้าท่าทางลำบากใจ เยี่ยเทียนก็อดยิ้มไม่ได้ และเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าถัง ผมน่าจะอายุมากกว่า หลานสาวคุณไปไม่กี่ปีหรอก เรียกพี่เยี่ยนี่แหละครับ เราจะได้คุยกันสบายๆ…”
“สวัสดีค่ะพี่เยี่ย!”
ถังเสวียเสวี่ยเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงทักทายเยี่ยเทียนขึ้นมาเสียงใสทันที แต่แล้วก็ต้องอึ้งไป “พี่…พี่เยี่ยคะ พี่…พี่ เรียกคุณปู่หนูว่าอะไรนะคะ?”
จนถึงตอนนี้ นอกจากสหายเก่าแก่ไม่กี่คนที่ถังเหวินหย่วนรู้จักคบหาเป็นการส่วนตัวแล้ว ถังเสวียเสวี่ยก็ยังไม่เคยได้ ยินใครอื่นเรียกคุณปู่ว่า ‘เหล่าถัง’ มาก่อนเลย แม้แต่บุคคลสำคัญที่ได้พบเมื่อหลายวันก่อนนั้น ก็ยังเรียกท่านว่าคุณถัง
ไม่ใช่เฉพาะถังเสวียเสวี่ยเท่านั้น แม้แต่พวกเกาเฉียนจิ้นก็ตะลึงอึ้งไปตามๆ กัน หรือว่าระหว่างที่พวกตัวเองออกไป เดินเล่นกัน เยี่ยเทียนกับคุณปู่ถังจะเชือดไก่เผากระดาษเหลืองสาบาน เป็นพี่น้องกันไปแล้ว? ถึงกับเรียกท่านว่าเหล่าถัง อย่างสนิทสนมปานนี้เลยรึ?
“พอเลย ไอ้ที่ไม่ควรถามน่ะก็ไม่ต้องไปถามหรอก ไปนั่งข้างๆ เยี่ยเทียนโน่น ให้เขาช่วยดูหลานหน่อย…”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ ถังเหวินหย่วนก็ดุหลานสาวไปแล้ว ที่เยี่ยเทียนเรียกเขาว่าเหล่าถังนั้น เขาก็พอใจดีอยู่แล้ว ให้เรียกอย่างอื่นเขาก็คงรับไม่ได้หรอก
“เสี่ยวเกา เรื่องที่พวกเธอได้ยินได้เห็นไปในวันนี้น่ะ ขอให้ลืมเสียให้หมดเลยนะ…”
ถังเหวินหย่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยกำชับพวกเกาเฉียนจิ้นขึ้นมาอีก เขายังมีเรื่องจะขอร้องเยี่ยเทียนอยู่ เพราะฉะนั้นในเมื่อเยี่ยเทียนไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตัวตนของเขา ถังเหวินหย่วนก็ควรจะช่วยปกปิดให้เสียหน่อย
“ครับ คุณปู่ถังวางใจได้เลยครับ…”
เกาเฉียนจิ้นตอบรับ แล้วหันไปยิ้มให้เยี่ยเทียน “เยี่ยเทียน นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่านายจะซ่อนคมไว้ขนาดนี้ เดี๋ยวพวก ฉันคงต้องขอคำชี้แนะจากนายบ้างแล้วละ…”
เกาเฉียนจิ้นมีนิสัยตรงไปตรงมา แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยเชื่อถือเยี่ยเทียนนัก แต่ก็อย่างที่ภาษิตว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด นั่นแหละ เมื่อพูดออกมาอย่างนั้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการขอไถ่โทษต่อเยี่ยเทียนไปในตัว
“พี่เกา เงินค่าดูพี่ก็จ่ายไปแล้วไม่ใช่หรือครับ? อยู่ที่อาจารย์หลัวนี่แหละ แล้วจะมาขอคำชี้แนะจากผมได้ยังไงล่ะ ครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า แล้วหันหน้าไปพูดกับหลัวจื้อปิ่ง “เหล่าหลัว เรื่องการเล่นปาหี่ (หลอกลวงเกินเหตุ) นี่คงไม่ต้องพูดถึงแล้วละนะ แต่ในเมื่อคุณรับเงินมาแล้ว งานนี้ก็ต้องทำให้มันดีๆ ด้วยล่ะ…”
ที่จริงตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับเกาเฉียนจิ้นคราวก่อน เยี่ยเทียนก็เคยสังเกตดูลักษณะใบหน้าของเขาแล้ว ตอนกลับไป บ้านอยู่ว่างๆ ก็เคยช่วยเสี่ยงทายชะตาของเขาดูครั้งหนึ่ง ตอนนี้การงานของเกาเฉียนจิ้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ดวงชะตาอยู่ใน เกณฑ์ดีมาก โดยพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยเทียนจะดูดวงให้เขาหรือไม่ ก็มีผลเท่ากันทั้งนั้น อาศัยประสบการณ์ของหลัวจื้อปิ่งแล้วก็น่าจะมั่ว ไปได้พอถูไถอยู่ ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีเคราะห์อะไร แค่พูดๆ ไปให้ฟังดูดีหน่อยก็คงใช้ได้แล้ว
“ครับท่านเยี่ย ผมทราบแล้วครับ…”
หลัวจื้อปิ่งเดิมทีอยากจะขอประจักษ์เสียหน่อยว่า เยี่ยเทียนจะดูโหงวเฮ้งให้ถังเสวียเสวี่ยอย่างไร พอได้ยินเยี่ยเทียนว่า อย่างนั้น ถึงในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเยี่ยเทียน
“อ้อใช่ เฟื่องสักนิดหน่อยก็พอแล้วนะ ไม่ต้องแต่งเรื่องไร้สาระอะไรมากมายหรอก แล้วก็อย่าปล่อยไม้ตายด้วย ดวงชะตาของเขากำลังดีอยู่แล้วนะ…” ขณะที่หลัวจื้อปิ่งกำลังจะพาเกาเฉียนจิ้นไปที่ห้องด้านใน เยี่ยเทียนก็พลันพูดสั่งขึ้นมา
“ครับผม!” พอหลัวจื้อปิ่งได้ยินเยี่ยเทียนว่าอย่างนั้นก็นึกหวาดขึ้นมา และรีบตอบไปทันที
คำว่า ‘เฟื่อง’ ที่เยี่ยเทียนเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ เป็นหนึ่งในคาถาหกคำของพรรคเจียงเซี่ยง เฟื่อง ก็คือการเชิดชูให้เฟื่องฟู พูดสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามอยากได้ยินออกไป เพื่อเป็นการให้ความหวัง
ปกติคำว่า ‘เฟื่อง’ มักจะใช้ร่วมกับคำว่า ‘ตี’ โดยทำให้ฝ่ายตรงข้ามสิ้นหวังก่อน แล้วค่อยให้ความหวัง เท่านี้โดยทั่วไป ก็จะสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมควักเงินจากกระเป๋าออกมาให้แล้ว
ส่วนการ ‘ปล่อยไม้ตาย’ นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า ‘หนึ่งพัน’ ยกตัวอย่างเช่น หลัวจื้อปิ่งดูโหงวเฮ้งให้เกาเฉียนจิ้น แล้วบอกว่า ช่วงนี้เขาจะมีเคราะห์ต้องเลือดตกยางออก แต่เกาเฉียนจิ้นกลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงยอมจ่ายมาแค่เงินค่าทำนาย แต่ไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสะเดาะเคราะห์
เมื่อถึงตอนนี้ ก็จะได้เวลาใช้วิธี ‘ปล่อยไม้ตาย’ แล้ว โดยปกติหลัวจื้อปิ่งก็จะส่งคนไปสะกดรอยตามเกาเฉียนจิ้น เพื่อสืบให้รู้กิจวัตรประจำวันของเกาเฉียนจิ้น หลังจากนั้นสักสามสี่เดือนก็ส่งคนไปหาเรื่อง ซ้อมเขาจนหน้าตาฟกช้ำยับเยิน
ถึงตอนนั้นต่อให้หลัวจื้อปิ่งไม่ได้อยู่ในประเทศ เกาเฉียนจิ้นก็จะต้องนั่งเครื่องบินถ่อไปถึงอเมริกาเพื่อขอให้อาจารย์ หลัวช่วยสะเดาะเคราะห์ให้แน่นอน นี่แหละคือประสิทธิภาพของวิธี ‘ปล่อยไม้ตาย’
หากนำสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดไปข้างต้นนั้นมาสรุปรวมกัน ก็เท่ากับบอกหลัวจื้อปิ่งว่า ห้ามใช้คำพูดข่มขวัญ หรือกลวิธีต่างๆ มาหลอกหาเงินจากเกาเฉียนจิ้น
แต่นอกจากเยี่ยเทียนกับหลัวจื้อปิ่งแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทั้งสองสนทนากันนั้นหมายถึงอะไร แต่ละค่ายแต่ละสำนักต่างก็มีศัพท์เฉพาะเป็นรหัสลับที่ใช้กันเองทั้งนั้น แม้แต่ถังเหวินหย่วนเองก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน
“นั่งเลยครับ…”
หลังจากหลัวจื้อปิ่งออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็โบกมือเรียกถังเสวียเสวี่ย เยี่ยเทียนรู้จากที่ถังเหวินหย่วนพูดมาว่า เด็กสาวคนนี้ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี แต่เมื่อเห็นสภาพผอมซูบของเธอแล้ว ถ้าบอกว่าอายุสิบสี่สิบห้าปีก็คงจะมีคนเชื่อเหมือนกัน
เมื่อเห็นถังเสวียเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าดูจะประหม่าๆ อยู่ เยี่ยเทียนก็ยิ้มแย้มบอกว่า “ไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่กินคนหรอก ว่าแต่เธอรู้ช่วงเวลาตกฟากของวันเดือนปีและเวลาเกิดของตัวเองไหม?”
เยี่ยเทียนมีประสบการณ์ผ่านโลกมาหลายปี ความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าจึงเรียกได้ว่าไร้ที่ติ เยี่ยเทียนในขณะนั้นจึงดูอย่างกับเป็นพี่ชายข้างบ้านผู้อัธยาศัยดีคนหนึ่ง
ท่าทีของเยี่ยเทียนทำให้ความประหม่าในใจของถังเสวียเสวี่ยสลายไปจนหมด เธอเอ่ยตอบว่า “รู้ค่ะ ตามปฏิทิน จันทรคติหนูเกิดวันกุ่ยไฮ่ เดือนอี่เว่ย ปีซินโหย่ว เคยมีคนบอกหนูมาหลายคนแล้วว่า วันเดือนปีพวกนี้เป็นช่วงเวลาธาตุหยิน ทั้งหมดเลย ซึ่งไม่ดีมากๆ แถมวันนั้นยังตรงกับเทศกาลภูตผีอีกด้วย…”
“หืม? เธอก็รู้มาเยอะเหมือนกันนี่นา”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมา แล้วเริ่มนับนิ้วจับยาม หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาทีก็พูดขึ้นว่า “ปีซินโหย่ว เดือนอี่เว่ย วันกุ่ยไฮ่ ตามปฏิทินจันทรคติคือวันที่สิบห้า เดือนเจ็ด ปี 1981 ตรงกับเทศกาลจงหยวนพอดี”
เทศกาลจงหยวนที่เยี่ยเทียนพูดถึงนั้น ก็คือเทศกาลเดียวกับเทศกาลภูตผีที่ถังเสวียเสวี่ยบอกมานั่นเอง และในหมู่ชาวบ้านยังเรียกกันว่า ‘วันกลางเดือนเจ็ด’ อีกด้วย กล่าวกันว่า บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปจะถูกพญายมราช ปล่อยออกมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเจ็ดไปจนถึงกลางเดือน ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมการรับบรรพบุรุษในวันแรกของเดือนเจ็ด และส่งบรรพบุรุษกลับในวันกลางเดือนเจ็ด
ในระหว่างพิธีส่งบรรพบุรุษนั้น จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นจำนวนมาก เพื่อ ‘ให้บรรพบุรุษได้ใช้สอย’ โดยจะใส่กระดาษเงินไว้ในซองกระดาษที่เขียนชื่อสกุลของผู้รับเอาไว้ และเผาในพิธีเซ่นไหว้ เรียกว่าการ ‘เผาซอง’
หลังจากรู้ช่วงเวลาตกฟากของวันเดือนปีเกิดของถังเสวียเสวี่ยแล้ว เยี่ยเทียนก็หลับตาลง นิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วนับ จับยามอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นบรรยากาศภายในห้องก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา แต่ละคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนต่อการพยากรณ์ของเยี่ยเทียน
ผ่านไปเจ็ดแปดนาที เยี่ยเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ แต่สีหน้ากลับดูคร่ำเคร่งไปหมด จนถังเหวินหย่วนเห็นแล้วตกใจ รีบ เอ่ยปากถามว่า“เยี่ยเทียน เรื่องสุขภาพของเสวียเสวี่ยนี่ ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่? คุณคำนวณแล้วเห็นอะไรบ้าง?”
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “เหล่าถัง ขอถามหน่อย เสวียเสวี่ยปกติริมฝีปากชอบกลายเป็นสีม่วง ผิวหนังขาวซีดบ่อยๆ เวลาออกกำลังกายอะไรหนักๆ ก็จะวูบเป็นลมได้ง่ายใช่รึเปล่า?”
“ใช่ๆ ตอนที่เสวียเสวี่ยอายุเจ็ดแปดขวบน่ะก็ยังดีๆ อยู่ แต่พออายุถึงเก้าขวบ มีครั้งหนึ่งพาเธอไปปีนเขา พอถึงยอด เขาก็เกิดอาการอย่างที่คุณบอกมานั่นแหละ…”
พอได้ยินเยี่ยเทียนถาม ถังเหวินหย่วนก็พยักหน้ารัวๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความหวัง ในเมื่อเยี่ยเทียนสามารถบอกอา การได้อย่างถูกต้อง เขาก็น่าจะมีวิธีแก้ไขอยู่แน่ๆ
เยี่ยเทียนพยักหน้า โบกมือให้ถังเหวินหย่วนทีหนึ่ง มองไปที่ถังเสวียเสวี่ย แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสวียเสวี่ย ตั้งแต่เธออายุสิบห้าเป็นต้นมา ช่วงเช้ามืดทุกๆ วันก็จะรู้สึกหนาวเหน็บไปหมด เจ็บปวดไปทั้งตัวเหมือนกับถูกความหนาวเย็น ทิ่มแทงใช่รึเปล่า?”
“ใช่ค่ะพี่เยี่ย หนาวมากเลยค่ะ แล้วก็ปวดในทรวงอกด้วย หนู…หนูไม่กล้าบอกคุณปู่…”
พอได้ยินเยี่ยเทียนถามอย่างนั้น ถังเสวียเสวี่ยก็น้ำตาคลอขึ้นมาทันที เธอเป็นเด็กที่รู้ความ เพื่อไม่ให้คุณปู่ต้อง เป็นห่วง หนึ่งกว่าปีที่ผ่านมานี้จึงฝืนทนอาการเจ็บป่วยมาตลอด ไม่ได้บอกให้ถังเหวินหย่วนรู้เลย
แต่ตอนนี้พอได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยขึ้นมา แม่สาวน้อยจึงทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะความเจ็บปวดเช่นนั้นถึงขนาดทำ ให้รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ยังทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก แต่ก็เคราะห์ดีที่แม่หนูคนนี้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว จึงทนมีชีวิตอยู่ต่อมาได้