บทที่ 555: ข้อพิพาทในตระกูล

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

Dual Cultivation บทที่ 555: ข้อพิพาทในตระกูล

 

หลังจากที่เงียบไปจากการครุ่นคิดหลายชั่วอึดใจ สุดท้ายฟางซีหลานก็หันไปมองดูซูหยางด้วยสายตายุ่งยากใจ เห็นได้ชัดว่าต้องการความช่วยเหลือจากเขา

 

แต่ทว่าซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “มิว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จักสนับสนุนทุกอย่าง”

 

“ข้าขอสาบานต่อเทพเจ้า ฟางซีหลาน ถ้าเจ้ามิเลือกให้ฉลาดแล้วละก็  มิเพียงแต่เจ้า แต่กระทั่งทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จักรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวของตระกูลฟาง” ฟางเซียนเจว้ตะโกนออกมา

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฟางซีหลานก็สั่นสะท้าน

 

“ถ้าเจ้าคิดว่าเรากลัวตระกูลฟาง เช่นนั้นเจ้าก็จักดำเนินการพยายามมายุ่งเกี่ยวกับพวกเราได้เลย” โหลวหลานจีพลันขึ้นเสียงของเธอออกมาอย่างไม่คาดคิด จนทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นหันไปมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

“แม้ว่าเจ้าอาจจะมีอิทธิพลมากมายและกำลังหนุนหลังที่แข็งแกร่ง แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มิได้เป็นสำนักอ่อนแอดังที่เคยเป็น มิเพียงแต่พวกเราได้รับชัยชนะการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่พวกเราก็ยังคงได้รับการสนับสนุนจากสองสำนักระดับสูง ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถย่ำยีเราได้ เช่นนั้นเราก็จักสู้กลับด้วยทุกสิ่งที่เรามี”

 

แม้ว่าเธอจะมีถ้อยคำที่รุนแรงและท่าทางที่จริงจัง แต่ดวงใจของโหลวหลานจีก็ยังสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว ในเมื่อเธอเองก็ไม่เคยจินตนาการว่าเธอจะกล้าที่จะตอบโต้กลับไปยังผู้นำตระกูลของตระกูลฟาง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ปกครองทวีปตะวันออก

 

“เจ้าช่างกล้านัก เพียงแค่ผู้นำนิกายต่ำต้อยถึงกับพูดกับข้าด้วยท่าทางเช่นนั้น” ฟางเซียนเจว้คำราม จนทำให้สถานที่แห่งนั้นสั่นสะเทือน

 

อย่างไรก็ตามเธอก็ถูกขัดขวางอย่างรวดเร็วด้วยการหัวเราะขึ้นมาอย่างกระทันหันของซูหยาง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดได้ดี ผู้นำนิกายของเรา สุดท้ายในตอนนี้เจ้าก็เริ่มทำตัวเหมือนกับเป็นคนที่มีอำนาจแล้ว

 

เขาตรงไปหาฟางเซียนเจว้แล้วกล่าวต่อว่า “คิดว่าสี่ตระกูลใหญ่นั้นจะยิ่งใหญ่อย่างที่เจ้าทำท่าทางออกมาอย่างนั้นรึ เห็นชัดว่าเจ้าคุยโม้โอ้อวดสำหรับคนที่แค่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ผู้นำตระกูลฟาง และถ้าเจ้าคิดว่าตระกูลฟางสามารถข่มขู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ เช่นนั้นข้าก็ยินดีที่จะให้เจ้าได้ทดลอง”

 

“เจ้าคนสกุลซู นี่คือการประกาศสงครามของตระกูลซูต่อตระกูลฟางของข้าใช่ไหม แม้ว่าตระกูลซูจะเป็นตระกูลอันดับแรกในสี่ตระกูลใหญ่หลายสิบปีมานี้ แต่ทุกคนก็เห็นได้ว่าพวกเขามิได้แข็งแกร่งดังเช่นที่เคยเป็นมาอีกต่อไป”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของฟางเซียนเจว้ ซูหยางก็เพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลซูอีกต่อไปแล้ว ยังไงก็ตามข้าได้ถูกพวกเขาทอดทิ้งเช่นเดียวกับฟางซีหลานที่ได้ถูกตระกูลฟางทอดทิ้ง แต่ทว่าที่แตกต่างไปจากตระกูลฟางก็คือ อย่างน้อยตระกูลซูมิได้เข้ามาหาข้าอย่างไร้ยางอายและทำเหมือนกับว่าปัญหาระหว่างเรามิเคยได้มีมาก่อนเมื่อตอนที่เขาได้ตระหนักถึงพรสวรรค์ของข้า”

 

“เจ้า—”

 

ในขณะที่ฟางเซียนเจว้กำลังจะระเบิดความโกรธออกมานั้น ฟางซีหลานก็ได้ตัดบทว่า “ข้าได้ตัดสินใจถึงที่สุดแล้ว ซูหยาง”

 

จากนั้นเธอก็หันไปมองดูน้องสาวของตนเอง ฟางเซี่ยวหรู ซึ่งไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาในตลอดระยะเวลานี้ และกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง เซี่ยวหรู มีพรสวรรค์ยิ่งกว่าที่ข้ามี และพรสวรรค์นั้นเป็นเหตุให้เจ้าดูถูกทุกคนที่มิได้มีพรสวรรค์เฉกเช่นเจ้า แต่ทว่าข้ามิได้กล่าวโทษเจ้า ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่พวกเราได้รับการสั่งสอนมาจากพ่อแม่ของพวกเรา”

 

“ในขณะที่เหตุผลของเจ้าในความต้องการที่จะเข้าร่วมกับนิกายยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ข้าก็สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกของเจ้านั้นเป็นของจริง และในฐานะศิษย์ของนิกายเฉกเช่นเดียวกับการเป็นพี่สาวของเจ้า นั่นย่อมเป็นการขัดแย้งกับทุกสิ่งที่ข้าได้รับการสั่งสอนจากที่นี่หากว่ามิสนใจในความปรารถนาของเจ้า ดังนั้นข้าจึงได้ตัดสินใจที่จะให้เจ้าได้เข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ ถ้าเจ้าผ่าน เช่นนั้นเจ้าก็จักได้รับการยินยอมให้เป็นศิษย์ แต่ทว่าถ้าเจ้าไม่ผ่าน…”

 

ฟางซีหลานไม่พูดจนจบประโยค เพราะว่าเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สิ่งที่เธอกำลังจะพูดนั้นคืออะไร

 

“ขอบคุณพี่สาว ถึงแม้ว่าข้าไม่ผ่านการทดสอบ ข้าก็จักมิลืมความเอื้อเฟื้อของท่านในวันนี้” ฟางเซี่ยวหรูกล่าวกับเธอ

 

“ฟางซีหลาน นังเด็กร่าน” ฟางเซียนเจว้ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของเธอได้อีกต่อไป และสุดท้ายก็ได้ระเบิดความโกรธออกมา เตรียมตัวที่จะกระโดดเข้าหาฟางซีหลาน

 

แต่ทว่าก่อนที่เธอจะทันได้ขยับตัว พลังที่ลึกซึ้งและแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้นโดยไร้วี่แววและจำกัดการเคลื่อนไหวของเธอเอาไว้

 

“ใครกล้าที่จำกัดการเคลื่อนไหวของข้า” เธอคำรามลั่น

 

เสียงที่ชัดเจนของผู้มีอายุได้ดังขึ้นมาหลังจากนั้นชั่วขณะ  “ข้ามิได้ตั้งใจที่จะเข้ามายุ่งในข้อพิพาทในตระกูลของเจ้า และจักยังคงเป็นเพียงผู้ชม แต่การกระทำของเจ้าในวันนี้นั้นได้สร้างความผิดหวังให้กับข้าเป็นอันมาก ผู้นำตระกูลฟาง”

 

“ส-เสียงนี้…  เป็นไปไม่ได้” ฟางเซียนเจว้สั่นสะท้านไปด้วยความกลัวเมื่อตระหนักถึงตัวตนของเสียงนี้

 

“ป-ปรมาจารย์ตระกูลซีมาทำอะไรที่นี่” เธอร่ำร้องในใจ

 

และถึงแม้ว่าฟางเซียนเจว้ต้องการที่จะคุกเข่าขอโทษซีหวังเพียงไรก็ตาม แต่เพราะว่าการถูกจำกัดการเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้เธอไม่สามารถขยับได้แม้กระทั่งกล้ามเนื้อ

 

เสียงของซีหวังดังขึ้นมาอีกครั้งว่า “โดยสัตย์จริงแล้วข้ามิได้สนใจว่าตระกูลฟางต้องการที่จะสู้กับตระกูลซูหรือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือไม่ แต่เจ้าควรรู้ว่าข้าเกลียดความวุ่นวายมาเข้าใกล้ตอนที่ข้ากำลังพยายามผ่อนคลาย ดังนั้นข้าจึงมาขอให้เจ้าปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่มันควรจะเป็นอย่างราบรื่น ถอนตัวไปในช่วงเวลานี้ และค่อยดำเนินสะสางข้อพิพาทในตระกูลเจ้าในเวลาอื่น”

 

หลังจากที่เขาพูดจบประโยค การจำกัดการเคลื่อนไหวของฟางเซียนเจว้ก็ได้คลายออก

 

“แม้ว่าข้าจักมิได้มีเจตนา แต่ข้าก็ต้องจักขออภัยในการรบกวนความสงบของท่านปรมาจารย์” ฟางเซียนเจว้คำนับไปยังอากาศก่อนที่จะมองไปยังคนที่ตามเธอมา

 

“พวกเราไป” เธอกล่าวกับพวกเขา

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป  เธอก็หันไปมองดูฟางเซี่ยวหรูและกล่าวว่า  “ข้าจักให้เวลาเจ้าเจ็ดวันในการปรากฏตัวที่สำนักเมฆม่วง ถ้าเจ้ามิไปปรากฏตัว เจ้าก็สามารถเดินตามรอยเท้าของพี่สาวของเจ้าทำตัวเหมือนกับว่าพ่อแม่ของเจ้าได้ตายไปแล้ว”

 

“ถึงแม้ว่าข้าเกลียดที่จะสูญเสียลูกสาวที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้ามากเพียงไรก็ตาม ข้าก็ยังมิเห็นประโยชน์จากลูกสาวที่มิเชื่อฟังได้ ข้าจักมิโกหกว่าการสูญเสียเจ้านั้นมิได้สร้างความบอบช้ำให้กับตระกูลฟางแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามเรามิได้ขาดแคลนผู้มีพรสวรรค์ ถ้าเจ้าออกจากตระกูล เช่นนั้นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนของเจ้าทั้งหมดก็จักส่งต่อไปให้กับคนอื่น ฮึ่ม”

 

ฟางเซียนเจว้แค่นเสียงเย็นชาก่อนที่จะไปจนลับสายตาพวกเขา