ตอนที่ 480 คุณชายตระกูลไป๋

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 480

คุณชายตระกูลไป๋

“เด็กคนนั้นใครกัน”ระหว่างกำลังอยู่ในงานพิธี เหล่าแขกผู้ร่วมงานก็เริ่มสังเกตเห็นไป๋จูล่งที่กำลังเดินตามไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินอย่างใกล้ชิด หากไม่นับเส้นผมสีขาวละก็ใบหน้าของไป๋จูล่งก็มีส่วนคล้ายทั้งสองมากทีเดียว

“หรือว่าจะเป็นบุตรชายคนใหม่?”ชายอีกคนคาดเดาพลางเพ่งมองจูล่งด้วยท่าทีสงสัย พอมีคนพูดแบบนั้นเหล่าคนรอบข้างก็พากันซุบซิบกันยกใหญ่ ทำเอาความสนใจที่มีต่อจูล่งเพิ่มมากขึ้นในพริบตา แต่ไป๋จูล่งก็โผล่ออกมาหลังจากการถ่ายทอดสดจบลงไปแล้ว ตอนนี้ภาพในจอกำลังฉายเพียงการแสดงกลางงานเลี้ยงเท่านั้นไม่ได้จับภาพมาที่ครอบครัวไป๋เลยแม้แต่น้อย ทำให้คนที่สังเกตเห็นจูล่งมีเพียงแขกที่เข้ามาในวังมังกรเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ไป๋จูเหวินต้องการอยู่แล้ว

“จูล่ง เจ้ามากับพ่อหน่อย”ไป๋จูเหวินว่าพลางลุกขึ้นยืนหลังจากงานเลี้ยงช่วงค่ำดำเนินไปได้พักหนึ่งแล้ว

“ขอรับ”จูล่งตอบพลางลุกไปกับบิดาอย่างว่าง่าย ในงานคนเยอะมากทีเดียวแถมจูล่งก็ไม่ค่อยรู้จักใครด้วย บอกตามตรงว่ามันไม่ทราบจะทำอะไรในงานแบบนี้เสียด้วย

“นายน้อย”ทันทีที่ไป๋จูเหวินเดินมาที่กลุ่มของสำนักเทพจุติ ต้าชิงและต้าเฉินก็ยกมือขึ้นประสานอย่างนอบน้อมทันที ในวังมังกรแห่งนี้มีแต่แขกเป็นกันเองทั้งนั้น พวกมันไม่ต้องปิดบังความสัมพันธ์กับไป๋จูเหวินแต่อย่างไร

“พี่ต้าชิง นี่คือบุตรชายของข้าไป๋จูล่ง”ไป๋จูเหวินว่าพลางผายมือไปทางจูล่งช้าๆ ตัวจูล่งในชุดงานพิธีนั้นดูสง่าผ่าเผยเป็นอย่างมาก ยิ่งมีหน้าตาที่ได้จากพ่อและแม่มาด้วยแล้วมันก็เด่นสะดุดตาแทบไม่ต่างจากไป๋หลินเลย

“ยินดีที่ได้พบขอรับ”ต้าชิงพูดพลางประสานมือคารวะไป๋จูล่งเช่นกัน แม้ข้างนอกมันจะเป็นเจ้าสำนักเทพจุติผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในใจมันยังคงเป็นบ่าวรับใช้ของไป๋จูเหวินเช่นเดิมบุตรชายของนายน้อยก็ย่อมเป็นนายของมันเช่นกัน

“ยินดีที่ได้พบเช่นกันขอรับ”ไป๋จูล่งว่าพลางประสานมือกลับเช่นกัน ตัวมันแม้จะไม่ค่อยเจอผู้คนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้มารยาทเสียทีเดียว

“นายน้อย คือว่าเรื่องนั้น…”ต้าชิงว่าพลางหันมามองไป๋จูเหวินราวกับจะทวงถามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ การที่ไป๋จูเหวินพาไป๋จูล่งมาหามันก็หมายความว่าได้เวลาแล้วอย่างนั้นหรือ

“จูล่ง เจ้าอยากได้ผู้ติดตามหรือไม่”ไป๋จูเหวินถามออกไปตามตรง ยามนี้อยู่ต่อหน้าต้าชิงและต้าเฉินแล้ว ก็ควรถามความสมัครใจของจูล่งเสียหน่อย

“ผู้ติดตาม?”ไป๋จูล่งทำหน้างงเพราะมันไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ติดตามมาก่อน

“ก็เหมือนกับพี่สาวของเจ้ากับไป๋ไป่ไงล่ะ เดินทางร่วมกันและคอยช่วยเหลือกัน”ไป๋จูเหวินตอบ แม้คู่ของไป๋หลินกับไป๋ไป่จะเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่าแต่ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดแล้ว

“แล้วก็ถ้ามีผู้ติดตามไปด้วย บางทีแม่อาจจะยอมให้เจ้าไปเที่ยวไกลหน่อยก็ได้นะ”ไป๋จูเหวินพูดพลางขยิบตาข้างหนึ่งเป็นสัญญาณให้ลูกชาย คราวก่อนเหม่ยหลินยอมให้จูล่งไปเที่ยวเมืองใกล้ๆตัวมันก็ดันไปโผล่ถึงสำนักเทพจุติ เพราะติกงานของไป๋หลินมันเลยยังไม่ได้รับบทลงโทษเลย แถมจะขอมารดาออกไปเที่ยวอีกได้เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทำเอาข้อเสนอนี้ของบิดาน่าสนใจไม่น้อยเลย

“ขอรับ งั้นข้าจะรับผู้ติดตามก็ได้”จูล่งยิ้มกว้างพลางพยักหน้าช้าๆ ทำให้ไป๋จูเหวินถอนหายใจอย่างโล่งอก หากจูล่งเองก็ยังไม่อยากรับผู้ติดตามบุตรสาวของพี่ต้าชิงคงน่าสงสารแย่ แถมมันก็อยากให้จูล่งมีคนคอยดูแลด้วยเช่นกัน

“ยอดเยี่ยม เช่นนั้นข้าจะเรียกตัวบุตรสาวของข้ามานะขอรับ”ต้าชิงยิ้มพลางบอกให้ลูกน้องไปตามต้าเฉียนและต้าหวานที่กำลังดูการแสดงอยู่ให้มาหาตนทันที

“น้องจูล่ง….”ทันทีที่ต้าเฉียนกับต้าหวานมาถึง พวกนางก็มองไป๋จูล่งเป็นอย่างแรกทันที พวกนางทราบอยู่แล้วว่าวันนี้ท่านพ่อจะพาพวกนางมาพบบุตรชายของนายน้อย ซึ่งพวกนางก็บังเอิญทราบก่อนหน้านี้แล้วว่ามันคือจูล่งนั่นเอง เมื่อท่านพ่อเรียกพวกนางไปพบและเห็นจูล่งยืนอยู่กับไป๋จูเหวินพวกนางก็เข้าใจทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“นายน้อยจูล่ง พวกนางคือบุตรสาวของข้าน้อยขอรับ ทางนี้คือต้าหวานเป็นพี่สาวส่วนทางนี้คือต้าเฉียนเป็นน้องสาวขอรับ”ต้าชิงรีบแนะนำบุตรสาวให้ไป๋จูล่งรู้จักโดยไม่ทราบมาก่อนเลยว่าพวกนางรู้จักไป๋จูล่งอยู่แล้ว

“นายน้อย…”ต้าเฉียนกับต้าหวานเดินเข้าไปหาไป๋จูล่งพลางก้มลงคุกเข่าต่อหน้าไป๋จูล่งทันทีทำเอาเจ้าตัวทำหน้างงๆทันที แต่สำหรับต้าเฉียนกับต้าหวานแล้วนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เลวเลย แม้จะบอกว่าอยากรับใช้แต่พวกนางก็กังวลอยู่นิดหน่อยว่าบุตรชายของไป๋จูเหวินจะเป็นคนเช่นไร แต่หากเป็นไป๋จูล่งละก็พวกนางก็วางใจได้ มันเป็นเด็กดีแถมยังใสซื่อแปลกๆอีกต่างหาก แต่ที่มั่นใจได้คือมันเป็นคนดีอย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังมีพลังที่น่าเหลือเชื่ออีกด้วย เรียกได้ว่าเหนือกว่าพวกนางหลายเท่าเลยทีเดียว หากจะบอกว่าไม่มีใครสมควรให้พวกนางรับใช้ไปมากกว่าจูล่งอีกแล้วก็ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย

“พี่ต้าเฉียน พี่ต้าหวาน อย่าทำแบบนี้สิขอรับ”จูล่งไม่เคยถูกเรียกนายน้อยมาก่อน แถมพวกนางยังมีท่าทีเปลี่ยนไปมากอีกด้วย ทำเอาจูล่งไม่ชินเลยทีเดียว

“นับจากนี้ท่านคือนายน้อยของพวกเราแล้วเจ้าค่ะ”ต้าหวานตอบพลางยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน

“อย่าเรียกข้าว่านายน้อยสิขอรับ เรียกเหมือนเดิมเถอะ”ไป๋จูล่งตอบด้วยท่าทีเกร็งๆ มันไม่ชินกับคำว่านายน้อยสุดๆเลย

“ถ้านายน้อยประสงค์อย่างนั้นละก็”ต้าเฉียนยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ

“คิกๆ ถ้านายน้อยชอบให้พวกเราทำตัวเหมือนเดิมก็ย่อมได้เจ้าคะ”ต้าหวานหัวเราะกับท่าทีเขินอายของจูล่ง ท่าทางมันจะไม่ชินกับคำว่านายน้อยจริงๆ

“ข้าชอบให้พวกพี่เรียกข้าเหมือนเดิมมากกว่า”ไป๋จูล่งว่าพลางหลบสายตาทั้งสองสาวช้าๆ มันจักจี้แปลกๆเวลาโดนพวกนางเรียกว่านายน้อย

“ก็ได้ ข้าจะเรียกท่านว่าน้องจูล่งเหมือนเดิมก็ได้”ต้าเฉียนยิ้มหวานพลางหัวเราะออกมา เห็นแก้มแดงๆของจูล่งแล้วน่าหยิกจริงๆ

“พวกเจ้ารู้จักกันอยู่แล้วงั้นหรือ”ต้าชิงถามพลางเลิกคิ้วสงสัย

“ท่านพ่อชิง….คือว่า”ต้าเซียนที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาหาต้าชิงพลางบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ต้าชิงเดินทางไปหาไป๋จูเหวินให้ฟัง ก่อนหน้านี้ต้าชิงได้ทราบเรื่องท้าชิงตำแหน่งแล้ว และเรื่องของเด็กที่เข้าไปอยู่ในสวนของพวกต้าเฉียนและต้าหวานด้วย แต่ก็ไม่ได้ทราบว่ามันคือไป๋จูล่งนี่เอง

“แบบนี้นี่เอง เช่นนั้นเรื่องผู้ติดตามก็เป็นอันตกลงสินะ”ต้าชิงยิ้มพลางมองไปทางบุตรสาวของตนเอง ท่าทางเรื่องนี้จะเป็นข่าวดีจริงๆเสียแล้ว

“ขอรับ พี่สาวทั้งสองดีกับข้ามากตอนอยู่ที่สำนักเทพจุติ ถ้าพวกนางอยากเป็นผู้ติดตามของข้าตัวข้าเองก็ไม่ขัดขอรับ”จูล่งตอบพลางพยักหน้าน้อยๆ ทำให้ต้าชิงวางเรื่องหนักอกลงไปได้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

.

.

“ชางซี ได้เวลาแล้ว”จินจื่อบุตรสาวของไก่ฟ้าหงอนทองพูดพลางเดินเข้ามาหาชางซีที่รออยู่ในห้องของนักแสดง บอกตามตรงว่ายามนี้ชางซีประหม่าไม่น้อย เพราะนักแสดงที่มาร่วมงานในครั้งนี้ต่างมีแต่ยอดฝีมือด้านการแสดงทั้งนั้น แต่ละคนต่างเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปสามสี่อาณาจักรทั้งสิ้น เรียกได้ว่างานนี้มันเป็นงานรวมดาราเลยก็ว่าได้ ไม่ทราบทำไมท่านชิงจื่อและจินจื่อถึงได้มอบหมายงานนี้ให้ตนกันแน่

“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”จินจื่อยิ้มพลางจับต้นแขนของชางซีเอาไว้ ยางอุตส่าห์พยายามอย่างมากให้ชางซีถอดหน้ากากจนสำเร็จแถมยังแต่งออกมาได้งดงามขนาดนี้แล้ว แต่เจ้าตัวยังทำหน้าประหม่ากล้าๆกลัวๆอยู่แบบนี้ก็เสียของแย่สิ

“จะ เจ้าค่ะ”ชางซีกลืนน้ำลายลงคอ นางไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเล่นในงานใหญ่ๆมาก่อน แต่นี่มันใหญ่เกินไปแล้ว ไม่ใช่แค่ผู้ชมในวังมังกรเท่านั้น แต่มันยังฉายภาพให้คนทั้งเมืองได้ดูอีกต่างหาก นี่คืองานแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่างแท้จริง

“ได้เวลาแล้วขอรับ”ชายที่ทำหน้าที่คุมเวทีพูดพลางส่งสัญญาณบอกให้ชางซีขึ้นไปแสดงได้แล้ว ทำให้จินจื่อต้องออกแรงดันร่างของนางให้ออกไปข้างหน้าทันที

พรึบ!! ทันทีที่ชางซีเดินออกมาไฟทั่วทั้งวังมังกรก็ดับลงพร้อมๆกันจนห้องมืดสนิท ปล่อยให้ชางซีเดินไปยืนตรงจุดที่นัดหมายกันเอาไว้โดยไม่มีใครทราบ

วูบ…พริบตาต่อมาแสงไฟก็เริ่มสาดส่องลงมากลางเวทีอย่างช้าๆก่อนจะค่อยๆสว่างขึ้นจนเห็นเพียงร่างของชางซีที่ยืนอยู่บนเวทีตามลำพัง นางที่ถูกแต่งตัวแต่งหน้ามาอย่างดียามนี้ดูงดงามจนชายหนุ่มแทบหยุดหายใจ ระดับความงามของนางนั้นเรียกได้ว่าสามารถยืนเคียงข้างไป๋หลินได้โดยไม่อายเลยทีเดียว น่าเสียดายจริงๆที่ปิดเอาไว้ใต้หน้ากากมาตลอด

“……..”ทุกอย่างเงียบกริบอยู่อึดใจใหญ่ก่อนที่เสียงเพลงจะเริ่มบรรเลงออกมา ยามนี้ผู้บรรเลงเพลงเป็นนักดนตรียอดฝีมือที่หาตัวจับยากกันทั้งสิ้น ทำให้เสียงดนตรีนั้นยอดเยี่ยมกว่าวงที่ชางซีเคยทำงานให้มาก่อนหลายเท่า

และแล้วช่วงวินาทีที่เสียงของชางซีเริ่มดังออกมา ทุกอย่างก็พลันพร่ามัวไปหมด ยามนี้ทุกสายตาราวกับกำลังมองเทพธิดาจากสวรรค์กำลังขับขาลบทเพลงให้ได้ฟังไม่มีผิด หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บจนหาย พลังวิญญาณของชางซีก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้เสียงของนางมีพลังมากยิ่งขึ้นและควบคุมได้ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาเหล่าผู้ชมถึงกับหยุดทำทุกสิ่งเพื่อนั่งฟังเพลงของนางโดยไม่รู้ตัว

“…….”ระหว่างอยู่ในช่วงพักหายใจ อยู่ๆชางซีก็เหลือบสายตาไปเห็นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับเจ้าภาพของงานครั้งนี้ นางไม่มีวันลืมท่าทีซื่อๆของมันได้แน่ แถมเส้นผมสีขาวเช่นนั้นยังเด็ดสะดุดตามากอีกด้วย

ดวงตาของนางสบเข้ากับจูล่งอยู่ครู่ใหญ่จนนางแทบจะลืมร้องเพลงช่วงถัดไปเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นนางก็ไม่เปลี่ยนเป้าสายตาไปทางไหนอีกเลย นางยังคงมองไปทางจูล่งด้วยท่าทีสงสัยปนดีใจ จนกระทั่งร้องจนจบเพลงนางก็ยังยืนเหม่อมองจูล่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะลงไปจากเวที

“เป็นมันจริงๆด้วย”ชางซีพูดขณะเดินลงมาจากเวที จูล่งเป็นผู้ช่วยเหลือนางรวมทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บให้นางด้วย มีเหตุผลเท่านี้ก็มากพอจะทำให้นางรู้สึกขอบคุณมันแล้ว เพียงแต่วันนี้นางไม่ได้สวมหน้ากาก แถมใบหน้าก็ไม่เหมือนวันก่อนด้วย ท่าทางมันจะจำนางไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

“เป็นพี่สาวจริงๆด้วย”หลังจากเดินกลับมายังส่วนที่พักของนักแสดง อยู่ๆไป๋จูล่งก็เดินเข้ามาหาตนเองพร้อมกับหญิงสาว 2 คน แน่นอนว่าหลังจากชางซีแสดงความสามารถออกไป คนมากมายย่อมถามหาถึงนาง และก็มีไม่น้อยเลยที่เดินทางมาเพื่อเข้าหานาง แม้ทหารจะกันไม่ให้คนอื่นๆเข้ามาได้แต่จูล่งเป็นบุตรชายของไป๋จูเหวินมีหรือพวกมันจะห้ามได้

“น้องชาย…”ชางซีอึ้งไปเมื่อเห็นจูล่งเดินเข้ามาหานาง

“พี่สาวร้องเพลงเก่งเหมือนเดิมเลยขอรับ ข้าชอบมากจริงๆนะ”ไป๋จูล่งตอบพลางยิ้มกว้าง เพียงได้ฟังบทเพลงมันก็จำได้ทันทีว่าคือชางซีนั่นเอง แต่ถึงไม่ได้ยินมันก็จำได้อยู่ดีเพราะจูล่งมีความสามารถพิเศษในการแยกแยะคนจากพลังวิญญาณ

“งั้นหรือ เจ้าชอบสินะ”ชางซียิ้มพลางมองไป๋จูล่งด้วยท่าทีเขินๆ ตั้งแต่วันที่มันช่วยนางเอาไว้นางก็อยากพบไป๋จูล่งมาตลอด เรียกได้ว่าเผลอเอาไว้ฝันถึงเลยทีเดียว พอมาได้พบกันจริงๆแบบนี้แล้วทำไมนางถึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาจริงๆ

“ขอรับ ข้าชอบมากเลย”จูล่งตอบออกมาตามตรง เพราะชางซีเป็นความทรงจำแรกเกี่ยวกับเสียงดนตรีสำหรับจูล่งเลยทีเดียว นับจากนี้จูล่งก็คงไม่ลืมเสียงของนางหรอก

“ถ้าเจ้าชอบก็ดีนะ…”ชางซียิ้มเขินๆพลางกุมมือเอาไว้แน่น ก่อนหน้านี้นางร้องเพลงเพื่อหาเงินและเดินทางเท่านั้น ไม่เคยดีใจที่มีคนชื่นชมเพลงของนางมากขนาดนี้มาก่อนเลย หรือว่านางจะเอาดีด้านนี้ไปเลยดี

.

.

.

“…….มีอะไรหรือผิงกั่ว”ขณะเดียวกันที่ปราสาทน้ำแข็งภายในเขตอสูรผลึกฟ้า ผิงกั่วที่นั่งอยู่ริมระเบียงพลันถึงลางร้ายบางอย่างขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำเอานางสะดุ้งโหยงจนมารดาของนางสังเกตเห็น

“เปล่าเจ้าค่ะ…..บางทีข้าอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้”ผิงกั่วตอบพลางทำหน้ามุ่ยน้อยๆ ทำไมนางรู้สึกไม่ดีกัน เหมือนจะมีเรื่องที่นางไม่ชอบเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น