ภาคแยก | บทที่ 5 สั่งปลด

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

“เฉลียวฉลาดและมีเมตตาค่ะ” ดัชเชสเอเฟรนีตอบทันที “งานของฝ่ายในก็ทรงจัดการได้ดี ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ครอบครองความรักของพระจักรพรรดิไว้เพียงผู้เดียว”

“อย่างนั้นหรือคะ” ลอเรนยิ้มอย่างงดงามและถามต่อ “แล้วอดีตจักรพรรดินีล่ะคะ”

“…เลดี้”

“อ้อ ลำบากใจที่จะพูดหรือคะ”

“เลดี้มีเจตนาอันใดจึงได้ถามเรื่องนี้คะ”

“เจตนาอะไรกันคะ ดัชเชส ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น”

“…”

ดัชเชสเอเฟรนีไม่ตอบคำถาม ลอเรนเห็นดังนั้นจึงถามอีกครั้ง

“ข้าขอถามอีกเรื่องเป็นคำถามสุดท้ายได้ไหมคะ”

“…”

“ท่านมีส่วนในการตายของอดีตจักรพรรดินีใช่หรือไม่”

“เลดี้ลอเรน!”

“…เป็นปฏิกิริยาที่อ่อนไหวน่าดูเลยนะคะ”

“ข้าไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนั้นค่ะ อีกอย่าง…นางกำนัลของพระจักรพรรดินีอย่างเลดี้พูดเรื่องนั้นออกมาได้อย่างไรคะ ไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมบ้างหรือ”

 “หากมองในฐานะที่ข้าเป็นนางกำนัลย่อมไม่เหมาะสมค่ะ” ลอเรนตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และพูดต่อ “ข้ารู้ว่าดัชเชสให้การช่วยเหลือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันเมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นแค่มาร์เชอนิสเฟ็ลปส์ในการขับไล่อดีตจักรพรรดินีค่ะ ท่านนำยาที่ทำให้แท้งบุตรไปให้จักรพรรดินีโรสมอนด์เสวยทั้งที่พระองค์มิได้ทรงพระครรภ์ จากนั้นก็นำยานั้นไปซ่อนไว้ในห้องของอดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยา ทำให้อดีตจักรพรรดินีถูกป้ายสีจนต้องโทษประหารทั้งครอบครัว”

“นี่เจ้า…พูดอะไร…”

ดัชเชสเอเฟรนีพูดติดอ่างสีหน้าซีดเผือด เรื่องนั้น…นางรู้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นถูกกำจัดไปหมดแล้ว เหลือแค่ตน และโรสมอนด์กับคลาราเท่านั้น ดัชเชสเอเฟรนีระเบิดโทสะออกมา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“ไฉนจึงเสียมารยาทเช่นนี้! พูดเรื่องเช่นนั้นออกมาโดยไม่มีหลักฐาน…! ที่แท้เลดี้เป็นคนเช่นนี้หรอกรึ มาปรักปรำผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร!”

“ดัชเชส” ลอเรนหัวเราะเสียงเย็นและเอ่ยเรียกอีกฝ่าย “อย่าทำแบบนี้สิคะ ความจริงเป็นอย่างไรฟ้าดินล้วนเป็นพยาน คิดว่าฆ่านางกำนัลแค่ไม่กี่คนแล้วจะปิดไว้ได้มิดอย่างนั้นหรือ”

“…”

“ดูจากสีหน้าของท่าน คงจะสงสัยมากกระมังว่าข้ารู้ได้อย่างไร” ลอเรนพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในบรรดานางกำนัลที่ถูกกำจัด มีสาวใช้จากตระกูลของข้าอยู่ด้วยคนหนึ่งค่ะ”

“…”

“นางเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมากทีเดียว…จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังเสียดาย”

“…เลดี้”

“ไม่สงสัยหรือคะว่าเหตุใดข้าถึงมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่าน”

และนี่คือประเด็นสำคัญ ดัชเชสเอเฟรนีเขม้นมองลอเรน ทว่าลอเรนกลับไร้ท่าทีหวาดหวั่น ยังคงตั้งคำถามต่อไปอย่างสุขุม

“ได้ยินว่าท่านมีหลานสาวที่รักมากอยู่คนหนึ่ง…รักประหนึ่งลูกแท้ๆ…”

“เหตุใดจู่ๆ จึงพูดถึงนาง”

“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ดัชเชส” ลอเรนยิ้มน้อยๆ และถามต่อ “ใกล้จะถึงวันเกิดของนางแล้วใช่ไหมคะ ของขวัญวันเกิดปีนี้ให้เป็นมงกุฎจักรพรรดินีดีหรือไม่ ตอนนี้ก็ถึงวัยที่จะเป็นควิเนสได้พอดี”

“เลดี้!”

“บุตรีของขุนนางชั้นต่ำกลายเป็นจักรพรรดินีไปแล้วนะคะ ท่านคิดจะทำให้สายเลือดของราชวงศ์มาวินอสต้องแปดเปื้อนอย่างนั้นหรือ? ท่านคิดจะทำลายจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเราร่วมกันสร้างมาหรือคะ”

“…”

“ข้าคงให้เวลาคิดทบทวนไม่นานนักหรอกนะคะ ดัชเชส ข้าไม่ใช่คนมีความอดทนขนาดนั้น”

“เลดี้มีเหตุผลอันใดถึงมาพูดเรื่องนี้กับข้า”

“มีขุนนางหลายท่านไม่พอใจที่บุตรีของบารอนปลายแถวอาจได้เป็นพระพันปีค่ะ ท่านแน่ใจหรือว่าท่านไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น”

“พระทัยขององค์จักรพรรดิอยู่ที่จักรพรรดินีนะคะ เลดี้ลงเดิมพันผิดอย่างมหันต์แล้ว”

“ประเทศนี้ไม่ได้เป็นของจักรพรรดิพระองค์เดียวหรอกนะคะ เหล่าขุนนางก็ช่วยสร้างมาเช่นกัน ที่จักรพรรดินีสามารถโค่นอดีตจักรพรรดินีและยึดบัลลังก์มาเป็นของตัวเองได้ก็เพราะมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น แต่ถ้าข้ออ้างนั้นมันผิดล่ะคะ? ถึงตอนนั้น จักรพรรดิจะยังปกป้องจักรพรรดินีได้หรือคะ?”

“…”

“คิดให้ดีๆ นะคะ ดัชเชส ถึงท่านไม่ให้ความร่วมมือ เราก็เตรียมจะเปิดเผยความจริงกันแล้ว นางกำนัลที่รอดตายส่วนหนึ่งอยู่ในความคุ้มครองของเราค่ะ หากท่านจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนถึงที่สุด ข้าก็คงช่วยอะไรท่านไม่ได้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เลดี้ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องมาคุยกับข้ามิใช่หรือคะ เหตุใดเลดี้ถึงมอบ ‘โอกาส’ เช่นนี้ให้ข้า?”

“ไม่รู้จริงๆ หรือคะ ดัชเชส” ลอเรนพูดเสียงต่ำ “เหตุใดเราต้องสละสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงเพื่อผลลัพธ์เล็กๆ น้อยๆ ด้วยล่ะคะ แม้อยากจะกำจัดสายเลือดชั้นต่ำ แต่เราจะไม่ยอมเสียสายเลือดชั้นสูงไปด้วยหรอกค่ะ”

***

“สรุปแล้วดัชเชสเอเฟรนียอมเข้าร่วมกับเราหรือไม่”

ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดถามเสียงค่อย ลอเรนพยักหน้าพลางตอบ

“ค่ะ ท่านพ่อ”

“เจ้ามั่นใจในตนเองขนาดนั้น หากผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“ดัชเชสเอเฟรนียึดถือเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์สุดขั้วหัวใจค่ะ นางเป็นชนชั้นสูงโดยกำเนิด แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดคนอย่างนางถึงไปเข้าพวกกับจักรพรรดินี…แต่ข้าคิดว่านางคงถูกจักรพรรดินีกุมจุดอ่อนไว้” ลอเรนยิ้มน้อยๆ “หากนับรวมเหตุผลนั้นเข้าไปด้วย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะต้องปกป้องจักรพรรดินีจนตัวตาย”

“เจ้าคงไม่ได้บอกนางกระทั่งเรื่องที่เราจะปลดจักรพรรดิหลังจากปลดจักรพรรดินีกระมัง”

“ท่านพ่อเห็นข้าเบาปัญญาหรือคะ” ลอเรนแสดงความไม่พอใจด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องห่วงค่ะ หลังการปฏิวัติข้าย่อมไม่ปล่อยตระกูลเอเฟรนีไว้แน่ ในฐานะคนของตระกูลวีเธอร์ฟอร์ด ข้าจะปล่อยตระกูลเอเฟรนีไว้ได้อย่างไร”

***

“เฮ้อออ”

โรสมอนด์ถอนหายใจยาวพลางลุกขึ้นนั่ง ดวงตะวันขึ้นกลางศีรษะนานแล้ว โรสมอนด์ที่หมู่นี้ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้านกระตุกเชือกสั่นกระดิ่งเรียกหาคลาราเป็นอันดับแรก

“ฝ่าบาท”

ตอนนั้นเอง คลาราก็วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง โรสมอนด์เพิ่งลืมตาตื่นเห็นท่าทีรีบร้อนของอีกฝ่ายก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้น”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ ฝ่าบาท”

“เรื่องใหญ่รึ เรื่องอะไร”

หลังจากตอบแบบส่งๆ ไปคำหนึ่ง โรสมอนด์ก็พูดเสริมติดตลก “อดีตจักรพรรดินีฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรือไร”

“เรื่องใหญ่กว่านั้นอีกเพคะ” คลาราพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนนี้ดัชเชสเอเฟรนีกำลังให้การต่อที่ประชุมขุนนางเพคะ”

“ให้การ? ให้การอันใด”

“ก็เรื่องที่ฝ่าบาทใส่ร้ายอดีตจักรพรรดินีน่ะสิเพคะ! นางกำลังให้การเรื่องที่ฝ่าบาทแสร้งว่าทรงพระครรภ์จนนำไปสู่การปลดอดีตจักรพรรดินีเพคะ”

“…หา?”

ได้ฟังดังนั้นสีหน้าของโรสมอนด์ก็ซีดเผือด ก่อนจะแผดเสียงดังลั่น

“นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน!”

โรสมอนด์ลุกพรวดขึ้นจากเตียง คลาราเห็นดังนั้นก็ถามเสียงสะอื้น

“ฝ่าบาท จะเสด็จไปที่ใดเพคะ”

“ถามโง่ๆ ก็ไปประชุมขุนนางน่ะสิ! ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา คลารา ช่วยข้าเตรียมตัวที”

“ฝ่าบาท ถึงเสด็จไปตอนนี้ก็ไม่มีประ…”

ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูผัวะเข้ามา ลอเรนมาพร้อมนางกำนัลกลุ่มหนึ่ง โรสมอนด์เห็นดังนั้นก็ปรี่เข้าไปหาด้วยความยินดี

“ลอเรน!”

“…”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดัชเชสเอเฟรนีทำบ้าอะไรของนาง!”

“พระจักรพรรดินีเพคะ”

เสียงของลอเรนทุ้มต่ำกว่าปกติ โรสมอนด์ได้ยินดังนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด นางจ้องมองลอเรนด้วยสายตาดุดัน ทว่า ลอเรนกลับพูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้คุมตัวพระองค์ไว้ในตำหนักจักรพรรดินีไปก่อนเพคะ พระจักรพรรดินี”

“เป็นฝีมือเจ้าอย่างนั้นรึ ลอเรน เป็นเจ้ารึ?!”

“ผู้ที่กระทำความผิดคือพระองค์มิใช่หรือเพคะ หาใช่หม่อมฉันไม่”

ลอเรนแจ้งให้อีกฝ่ายทราบด้วยสีหน้าเฉยเมย “ห้ามพระองค์ติดต่อกับภายนอก ส่วนการตัดสินโทษจะมีการหารือกันอีกครั้งในที่ประชุมขุนนาง จนกว่าจะถึงตอนนั้นฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระองค์อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเพคะ”

“ไม่มีทาง! ข้าต้องไปพบดัชเชสเอเฟรนี”

“อย่างที่หม่อมฉันกราบทูลไปเมื่อครู่ พระองค์ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับภายนอกเพคะ”

ลอเรนตอบอย่างไม่ใส่ใจและหันไปกล่าวกับบรรดานางกำนัลด้านหลัง

“ในเมื่อมีคำให้การว่านางกำนัลผู้นั้นร่วมสมคบคิดในแผนการใส่ร้ายอดีตจักรพรรดินี ดังนั้นนางต้องถูกคุมตัวด้วยเช่นกัน ลากตัวไป!”

“กรี๊ด! ปล่อยข้า! ฝ่าบาท! พระจักรพรรดินีเพคะ!”

“ปิดปากนางเสีย”

“ไม่นะ ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!”

“คลารา!”

โรสมอนด์ที่กำลังร้อนใจก้าวฉับๆ เข้าไปหาลอเรนและเงื้อมือตบหน้าอีกฝ่าย ใบหน้าของลอเรนสะบัดไปด้านซ้ายพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อ บุตรีดยุกอย่างตนกลับถูกบุตรีบารอนต่ำต้อยตบหน้า เรื่องนี้ทำให้ลอเรนรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเป็นจักรพรรดินี ลอเรนได้แต่กัดลิ้นเบาๆ เพื่อระงับโทสะ

หญิงสาวกล่าวเน้นเสียงทีละคำๆ

“ตอนนี้พระองค์ยังคงเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่ง ดังนั้นหม่อมฉันจะอดทนไว้ก่อนเพคะ”

“เจ้า…!”

โรสมอนด์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่า ลอเรนกลับมองข้ามปฏิกิริยานั้นแล้วเดินออกไปทันที หลังจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังลอดออกมาจากตำหนักจักรพรรดินีหลายต่อหลายครั้ง

ด้วยคำให้การของดัชเชสเอเฟรนี คดีของอดีตจักรพรรดินีจึงถูกนำกลับมาตรวจสอบอีกครั้งอย่างละเอียด ดูเหมือนจักรพรรดิลูซิโอจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมากจากเหตุการณ์นี้ นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วช้าของจักรพรรดินีโรสมอนด์ และในความเป็นจริงเขาเองก็เพิ่งรู้เรื่องนั้นครั้งแรกจากปากของดัชเชสเอเฟรนี

“เป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านพ่อ”

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ความจริงเรื่องจักรพรรดินีโรสมอนด์วางอุบายป้ายความผิดให้อดีตจักรพรรดินีก็ได้รับการยืนยันจึงมีการจัดประชุมตัดสินโทษต่อทันที

“มีมติให้ปลดจากตำแหน่ง” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอบลอเรน

“อา…ว่าแล้วเชียว”

“สิ่งที่เป็นตัวตัดสินคือนางได้ตำแหน่งมาโดยมิชอบ วางแผนการร้ายเพื่อทำลายผู้อื่น นับว่าขาดคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดินี เรื่องตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องโกหก การตัดสินย่อมไม่ผิดไปจากนี้”

“เช่นนั้นก็โล่งอกค่ะ”

ลอเรนถอนหายใจยาวและพูดเสริม “ในที่สุดก็จบไปเรื่องหนึ่งแล้วนะคะ ปลายทางอยู่ไม่ไกลแล้ว”

“วันคล้ายวันพระราชสมภพใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจะถวายของขวัญแด่พระองค์ในวันนั้น”

“อ้อ” ลอเรนพูดเจือเสียงหัวเราะ “ตกลงกันไว้เช่นนั้นหรือคะ”

“ใช่ ไม่มีวันไหนจะเหมาะไปกว่าวันนั้นแล้วล่ะ”

“แล้วเรื่องประหาร…?”

“นั่นก็คงอีกไม่นานเช่นกัน”

ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดูพลางลูบศีรษะบุตรสาว

“รออีกหน่อยนะ ลูกสาวพ่อ วันที่เจ้าจะได้เป็นจักรพรรดินีอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”

***

“เป็นไปไม่ได้!”

คลาราแอบเข้ามาในตำหนักจักรพรรดินีเพื่อแจ้งข่าวมติในที่ประชุมขุนนางแก่โรสมอนด์ ครั้นได้ฟัง โรสมอนด์ก็คร่ำครวญหวนไห้

ถูกปลด! เป็นไปไม่ได้ กว่าจะขึ้นมาถึงจุดนี้! มือข้าต้องเปื้อนเลือดไปมากมายเพียงใด!

“ละ แล้วฝ่าบาทล่ะ ทรงให้ความยินยอมอย่างนั้นรึ” โรสมอนด์ละล่ำละลักถาม

“…ฝ่าบาทเองก็ทำอะไรไม่ได้เพคะ พวกขุนนางยื่นคำขาดให้ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่ง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ! ฝ่าบาทเป็นถึงจักรพรรดิของจักรวรรดินะ! เป็นจักรพรรดิก็ต้องทำได้ทุกอย่างสิ ทุกอย่าง!”

“ฝ่าบาท อย่าดันทุรังเลยเพคะ ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ใช่ว่าจะทำตามพระทัยได้ทุกเรื่องนะเพคะ”

“โธ่เว้ย!”

ในจักรวรรดิมาวินอส การถูกปลดจากตำแหน่งหมายถึงความตาย เปโตรนิยาก็ตายด้วยเหตุนั้นมิใช่หรือไร เรื่องที่พอจะเรียกได้ว่าโชคดีก็คือโรสมอนด์ไม่มีครอบครัวที่จะต้องตายไปด้วยกัน โรสมอนด์กัดฟันด้วยสีหน้าพะวักพะวน

“ข้าไม่อยากตาย! กว่าจะได้มงกุฎนี้มา… ข้าต้องหาวิธี หาวิธี…”

“ฝ่าบาท…”

คลาราอยากจะบอกว่าไม่มีวิธีเช่นนั้นหรอก แต่ขืนพูดไปตนอาจต้องรับมือกับการฟาดงวงฟาดงาของอีกฝ่ายก็เป็นได้ คลาราจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบไว้เสีย

“ทำอย่างไรดี?! โอ๊ย… ไม่มีวิธีดีๆ เลยรึ”

โรสมอนด์เดินไปเดินมาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตบมือฉาดหนึ่งราวกับนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ คลาราได้ยินเสียงตบมือก็ตกใจเบิกตากว้างพลางเอ่ยถาม

“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปเพคะ”

“ข้าคิดแผนออกแล้ว”

โรสมอนด์พูดด้วยตาลุกวาว “ข้าต้องไปตำหนักกลางเดี๋ยวนี้ คลารา ช่วยข้าเตรียมตัว”