หูอี๋เหนียงก้มลงเก็บจดหมายนั้นอย่างร้อนรนคล้ายคนเพิ่งตื่นจากฝัน เมื่อเห็นความเศร้าสลดในแววตาของแม่นมคนสนิทจึงเอ่ยถามว่า “แม่นมเห็นอันใดหรือ”
แม่นมคนสนิทใจสั่นขึ้นมาคราหนึ่งแล้วยิงฟันยิ้มแหยคราหนึ่ง “ไท่ไท่ บ่าวไหนเลยจะรู้จักตำราอักษร ทั้งตาฝ้าฟาง บ่าวเห็นว่าอักษรในจดหมายไม่มากเท่าใด หรือเป็นเพราะคุณชายรองยุ่งกับการเรียนมากเกินไป ไท่ไท่ ท่านอย่าได้โกรธ…”
หูอี๋เหนียงลอบผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง ทว่าความรู้สึกเจ็บแปลบเสียดแทงนั้นคล้ายคลื่นที่โถมซัดสาดเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าจนนางแทบทนไม่ไหวแล้วกระนั้น นางโบกมืออย่างเหนื่อยล้าเต็มทน “แม่นม เจ้าออกไปก่อนเถิด ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก”
แม่นมคนสนิทอยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ต้องเก็บงำไว้ สุดท้ายได้แต่ลอบถอนหายใจอยู่ในอก แล้วเดินออกไปอย่างแผ่วเบา
เมื่อประตูปิดลง หูอี๋เหนียงก็คล้ายหมดแรงลงอย่างกะทันหัน นางนั่งลงบนเตียงอย่างคนหมดแรง ในมือกำจดหมายแน่น
ยามอยู่คนเดียวเช่นนี้นางจึงเผยความอ่อนแอของตนออกมา มือนางกำเสาเตียงแน่น น้ำตาไหลรินร่วงหล่นใส่มืออีกข้างที่วางอยู่บนหัวเข่า นางกำจดหมายนั้นแน่นจนมันเปียกชื้นไปหมด
อักษรในจดหมายเลอะเปื้อนอยู่เล็กน้อย นางกัดฟันไว้แล้วเปิดอานอีกครา ในจดหมายเขียนอักษรเพียงห้าตัวสั้นๆ แต่กลับได้ใจความยิ่ง ‘พี่เขยอยู่ที่ใด’
ลายมือแม้จะมีความเป็นเด็กน้อยอยู่บ้างแต่กลับมีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งอยู่หลายส่วนซึ่งห่างไกลจากเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมาก นี้เป็นสิ่งที่ทำให้หูอี๋เหนียงภาคภูมิใจมาตลอด แต่เวลานี้มันกลับทำให้นางเจ็บจุกยิ่ง
ฉีเกอกำลังถามนางว่าพี่สาวกลายเป็นอนุเสียแล้ว เช่นนั้นเขาจะมีพี่เขยมาจากที่ใดกัน
“มิน่าเล่า…มิน่าเล่า…”
หูอี๋เหนียงสะกดใจตนไว้จนเจ็บปวดไปหมด ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดตนส่งคนไปรับฉีเกอถึงสองสามครา เขากลับไม่เคยมาเลย ที่แท้น้องชายตัวน้อยที่เคยตามติดนาง เคยเคารพนาง กลับหันมาดูแคลนนางแทนแล้วตั้งแต่นางตัดสินใจตามนายท่านสี่เข้ามาในเมืองหลวง
เป็น…เป็นไปได้อย่างไร!
หูอี๋เหนียงทุบเสาเตียงโดยแรง นางไม่อยากยอมรับทั้งโมโหหงุดหงิด ในหัวค่อยๆ ปรากฏภาพช่วงเวลาที่ตนกับฉีเกอเคยใช้ชีวิตร่วมกัน
ฉีเกอพูดว่า “พี่ใหญ่ ฉีเกอจะตั้งใจอ่านตำรา ภายหน้าต้องได้เป็นขุนนางใหญ่ให้ท่านได้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งดีหรือไม่”
“เด็กโง่ พี่ใหญ่มิใช่คุณหนูในตระกูลขุนนางแต่ก็รู้ดีว่าบรรดาศักดิ์เหล่านั้นล้วนไขว่คว้ามาเพื่อมารและภรรยา ไหนเลยจะไขว่คว้ามาเพื่อพี่สาวเช่นข้ากันเล่า”
ฉีเกอตอบกลับนางด้วยท่าทีจริงจังว่า “มิใช่กล่าวกันว่า พี่สาวคนโตดุจมารดาหรือ หากมิได้จริงๆ ฉีเกอก็จะให้ภรรยาในอนาคตมอบบรรดาศักดิ์ของนางให้พี่ใหญ่ดีหรือไม่”
“เจ้าไม่กลัวภรรยาเจ้าโกรธหรือ”
“ไม่ พี่ใหญ่เลี้ยงฉีเกอมา ฉีเกอจะอธิบายกับนางด้วยเหตุผลเอง ต่อไปหากฉีเกอมีบุตรชายก็จะให้เขาตั้งใจเล่าเรียน เช่นนี้พวกท่านก็จะมีบรรดาศักดิ์ด้วยกันทั้งหมดแล้ว”
วาจาของเด็กน้อยเมื่อย้อนระลึกถึงก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างมาก แต่ความจริงยังเสียดแทงใจนัก
“ฉีเกอ มีพี่ใหญ่เป็นอนุทำให้เจ้าดูแคลนถึงเพียงนี้เชียวหรือ เหตุใดเจ้าจึงมิเข้าใจความทุกข์ของพี่ใหญ่เลย!” หูอี๋เหนียงทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ สุดท้ายกลับสติหลุดไปชั่วขณะ นางใช้ศีรษะกระแทกกับเสาครั้งแล้วครั้งเล่าเกิดเป็นเสียง ปึงๆ
แม่นมคนสนิทที่เฝ้าอยู่หน้าประตูไม่วางใจ เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้าไปด้านในดุจลูกธนูก็มิปาน นางกอดหูอี๋เหนียงไว้แล้วร้องเรียกให้นางมีสติขึ้น “ไท่ไท่ เหตุใดท่านต้องทนทุกข์ถึงเพียงนี้ เหตุใดกัน!”
ในที่สุดหูอี๋เหนียงก็ระเบิดความรู้สึกทั้งหมดออกมา นางกอดแม่นมคนสนิทร้องไห้อย่างหนัก
สายตาแม่นมคนสนิทหันไปเห็นจดหมายที่ร่วงตกอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนพื้นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก คุณชายรองชอบเล่าเรียนตำรามาตั้งแต่เยาว์วัย เรื่องยุ่งยากใดๆ ไท่ไท่ล้วนแบกรับไว้หมด จิตใจจึงดีงามและไร้เดียงสายิ่ง กระทั่งมิอาจเห็นเรื่องสกปรกได้แม้เพียงสักนิดจึงมิรู้ว่าแต่ละคนล้วนมีเรื่องยากลำบากของตนทั้งสิ้น
แต่หากให้นางพูด นางก็คิดว่าการที่ไท่ไท่มาเมืองหลวงนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดจริงๆ
“แม่นม เจ้าว่าข้าผิดจริงๆ งั้นหรือ”
แม่นมคนสนิทลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ไท่ไท่ เรากลับเป่าหลิงกันดีหรือไม่เจ้าคะ…”
“กลับ?” หูอี๋เหนียงร้องเสียงแหลมขึ้น “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าบอกให้ข้ากลับหรือ แม่นม เจ้าคอยดูเถิด หากนางชีตาย ท่านพี่ก็มิต้องคอยรักษากฎรักษาน้ำใจภรรยาอันใดนั่นแล้ว ชีวิตของเรานับวันจะต้องดีขึ้น เพื่อจางเกอ ข้าจะกลับไปไม่ได้เด็ดขาด!”
นางกัดฟันคราหนึ่งคล้ายตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “ส่วนฉีเกอ เขาอายุยังน้อย หากจะไม่ไยดีข้าไปสักระยะก็ย่อมเป็นได้ ถึงวันหน้าเขาก็จะเข้าใจ…”
เอ่ยถึงตรงนี้หูอี๋เหนียงกลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา แต่ก็รีบไล่ความรู้สึกนั้นออกไปโดยไว นางเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “ในเมื่อสวรรค์ต้องการเอาชีวิตของนางชีแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็แค่รอเท่านั้น หากให้ข้ายอมแพ้ตอนนี้ ข้าคงเป็นคนบ้าหรือไม่ก็โง่แน่ๆ!”
แม่นมคนสนิทไม่กล้าพูดอันใดอีก จึงได้แต่รับคำตามนางไป ทว่ากลับถอนหายใจยาวอยู่ในอก
“ไท่ไท่ แม่นมจางขอพบท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้รออยู่ด้านนอก” อาซิ่งร้องผ่านม่านเข้ามา
หูอี๋เหนียงลูบหน้าตาตน นางเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หน้าตายังเปียกเปอะอยู่ ครั้นเห็นฟ้ามืดแล้วจึงเอ่ยว่า “นั่งรถม้ามาไกลคงเหนื่อยแล้วกระมัง เจ้าไปบอกแม่นมจางว่า ให้นางพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาพบข้าแต่เช้า”
“เจ้าค่ะ”
วันต่อมา หูอี๋เหนียงต่างจัดการอารมณ์ตนได้แล้ว แม้จะนอนไม่หลับเพราะจดหมายของฉีเกอแต่เพราะนางตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ท่าทีจึงดูไม่เลวนัก นางยังเลือกตั้งใจเลือกปิ่นปักดอกทับทิมมาจากกล่องเครื่องประดับโดยเฉพาะ เมื่อได้ยินสาวใช้เข้ามารายงานจึงอนุญาตให้แม่นมจางเข้ามาได้
“บ่าวคารวะไท่ไท่เจ้าค่ะ” สตรีชราสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวทั้งร่างค่อยๆ คุกเข่าลง
ทั่วทั้งกายนางไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น มีเพียงบนศีรษะที่ปักปิ่นเงินเก่าไว้อันหนึ่ง เส้นผมหวีเรียบกริบ เสื้อผ้าสะอาดหมดจด มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนเจ้าระเบียบ เพียงแต่ยามก้าวเดินดูมิใคร่ถนัดนัก เห็นชัดว่าอายุมากแล้ว
หูอี๋เหนียงรีบลุกเข้าไปประคอง “แม่นมจางรีบลุกขึ้นเถิด”
นางร้องขึ้นว่า “อาซิ่งรีบไปยกเก้าอี้ตัวเล็กมาเร็วเข้า”
รอกระทั่งแม่นมจางนั่งเรียบร้อยแล้ว นายบ่าวต่างก็ถามไถ่กันอยู่ครู่หนึ่ง หูอี๋เหนียงจึงเอ่ยถามว่า “แม่นมจางสีหน้าข้าเป็นเช่นไรบ้าง ระยะนี้ข้าดูแลบำรุงร่างกายตามที่ท่านบอกทุกอย่างจึงรู้สึกเบาสบายตัวขึ้นมากแต่กลับยังไม่มีข่าวดี…”
ตั้งแต่นางมาที่จวนกั๋วกง แม้จะมีท่านหมอมาตรวจชีพจรให้อย่างสม่ำเสมอ แต่ใจของหูอี๋เหนียงนั้นเชื่อสตรีชราตรงหน้ามากที่สุด
มิใช่เพราะสตรีชราตรงหน้ามีวิชาการแพทย์สูงส่งกว่าหมอ แต่นางไม่วางใจ จวนกั๋วกงกว้างใหญ่เพียงนี้ นางเพิ่งมาอยู่ที่นี่ควรต้องระวังไว้ มิเช่นนั้นเกรงว่าแม้ถูกนางชีลอบทำร้ายก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
สำหรับสตรีแล้วยังมีอันใดสำคัญกว่าการมีร่างกายที่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีกเล่า
แม่นมจางเบิกดวงตาขุ่นมัวของตนขึ้น นางพินิจหูอี๋เหนียงอย่างละเอียดแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “ไท่ไท่หน้ามีเลือดฝาด ท่าทางสุขภาพดียิ่ง คิดว่านายท่านคงดูแลเอาใจใส่ไท่ไท่อย่างมากกระมัง”
แม้คำถามนี้จะมีความนัยซ่อนอยู่ แต่หูอี๋เหนียงกลับเข้าใจความหมายของแม่นมจางดี
ครึ่งปีมานี้ท่านพี่มาพักผ่อนที่เรือนนางอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าย่อมมิอาจขาดเรื่องที่สามีภรรยาควรกระทำไปได้
ปกตินางเปิดเผยตรงไปตรงมายิ่ง แต่เวลานี้กลับเขินอายหน้าแดงจึงพูดตะกุกตะกักว่า “ท่านพี่ดีกับข้าอย่างสม่ำเสมอ…”
นางบีบถุงหอมรูปมัจฉาคู่เกี้ยวบงกชอันประณีตซึ่งแขวนอยู่ที่เอวตนโดยไม่รู้ตัว หน้ากลับแดงยิ่งขึ้นไปอีก
สายตาแม่นมจางเคลื่อนมองตาแล้วหยุดอยู่ที่ถุงหอมนั้น พลันก็ชะงักค้างไป
เมื่อเห็นท่าทีแปลกไปของแม่นมจาง หูอี๋เหนียงจึงถามว่า “แม่นมจาง เป็นอันใดหรือ”
“ไท่ไท่ ให้บ่าวดูถุงหอมนั้นสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
คำขอนี้เอ่ยออกมาอย่างกะทันหันยิ่ง หูอี๋เหนียงจึงตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง นางอึ้งไปครู่หนึ่งจึงแกะถึงหอมส่งให้พลางเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “มีอันใดหรือ”
แม่นมจางกลับไม่ตอบแต่หยิบถุงหอมขึ้นมาจ่อที่จมูกแล้วสูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่ง สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมขึ้นมา นางถึงกลับเปิดถุงหอมแล้วเทเครื่องหอมในนั้นออกมาใส่มือตน
“แม่นมจาง!” หูอี๋เหนียงทั้งร้อนใจทั้งโมโห
ถุงหอมนี้นายท่านสี่เป็นคนซื้อให้นางเอง เป็นเครื่องยืนยันนางเป็นคนพิเศษในใจเขา ทั้งเป็นสิ่งที่นางใช้เอ่ยอธิษฐานด้วยเสมอยามมีเรื่องเศร้าเสียใจ เมื่อมันถูกบ่าวผู้หนึ่งเปิดเทออกมา แม้จะเป็นบ่าวที่นางไว้ใจเชื่อถือก็ตาม แต่ชั่วขณะนั้นนางมิอาจควบคุมโทสะตนไว้ได้เลย
แต่หูอี๋เหนียงกลับต้องชะงักเพราะท่าทีเคร่งขรึมของแม่นมจาง นางจ้องมองการกระทำของแม่นมจางนิ่ง
แม่นมจางใช้เล็บกรีดเครื่องหอมก้อนเล็กๆ นั้นเล็กน้อย แล้วหยิบมันขึ้นมาดมอยู่เป็นนาน สุดท้ายถึงกลับแลบลิ้มออกมาชิม
“แม่นมจาง?”
หูอี๋เหนียงพลันหวาดหวั่นใจขึ้นมาเงียบๆ “ถุงหอมนี้…มีอันใดหรือ”
เมื่อถามคำถามนี้ออกไป ใจขอนางก็ลอยโด่งขึ้นสูงคล้ายกำลังห้อยแขวนอยู่บนหน้าผากสูงชัน แค่เพียงคำตอบนั้นคำตอบเดียวก็อาจทำให้ร่างนางร่วงตกลงไปกระดูกแหลกเหลวได้เลยเชียว
แม่นมจางจ้องมองหูอี๋เหนียงอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไท่ไท่ถุงหอมนี้มาจากที่ใดหรือ จะให้ดีต่อไปก็อย่าใช้มันอีกเลย บ่าวชิมดูแล้ว คล้ายว่ามันผสมยาคุมกำเนิดไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
เสียงเพล้งดังขึ้น ตอนที่หูอี๋เหนียงชักมือกลับจึงไม่ทันระวังไปปัดเอาถ้วยชาบนโต๊ะลงมาตกแตกกระจายเต็มพื้น ความเงียบแผ่กระจายออกมาจนคนต้องตกใจ และขับให้บรรยากาศในขณะนี้ดูสงัดวังเวงมากขึ้นไปอีก
ดวงตาสองข้างของหูอี๋เหนียงเบิกกว้างขึ้น ของเหลวอุ่นร้อนเอ่อล้นออกมาอย่างมิอาจควบคุม นางกัดฟันตนแน่นมิยอมให้น้ำตาไหลออกมา นางอดกลั้นจนตัวสั่นสะท้าน ในที่สุดก็สามารถเอ่ยวาจาออกมาได้ “ถุงหอมนี้…เป็นของที่ส่วนกลางส่งมาให้…”
นางพลันเอ่ยเสียงสูงขึ้น “อาซิ่ง ส่งแม่นมจางไปพักผ่อนก่อนเถิด”
กระทั่งคนจากไปแล้ว เหลือเพียงแม่นมคนสนิทเพียงคนเดียว หูอี๋เหนียงก็มิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป นางดึงแขนเสื้อตนขึ้นแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา
“ไท่ไท่ ไท่ไท่ เหตุใดท่านต้องยอมทนทุกข์เพียงนี้เล่าเจ้าคะ” แม่นมคนสนิทลูบหลังหูอี๋เหนียงเบาๆ คราหนึ่ง
“แม่นม ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่จะทำเช่นนี้กับข้า!” นางพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าขาวซีดดุจภูตผี มิได้งดงามสดใสเช่นเมื่อครู่เลย “แม่นมจางต้องดมผิดเป็นแน่ว่าหรือไม่”
เมื่อเห็นท่าทีของแม่นมคนสนิทนางก็ส่ายหน้าไม่หยุด “ต้องเป็นนางชี ต้องเป็นนางแน่ที่ลงมือกับถุงหอมที่ท่านพี่ส่งมาให้ข้า”
“ไท่ไท่ ท่านมีสติหน่อยเถิด!” แม่นมคนสนิทเป็นห่วงยิ่งแต่กลับได้เห็นความแน่วแน่และจุดยืนของบุรุษผู้นั้นเป็นครั้งแรก
ต่อให้รักถนอมอนุเพียงใด ภรรยาเอกก็คือภรรยา อนุก็คืออนุ ไท่ไท่ได้แพ้อย่างราบคาบตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว
“แม่นม เจ้าก็ออกไปเถิด” หูอี๋เหนียงโบกมือด้วยท่าทีเหม่อลอย
“ไท่ไท่…”
“วางใจเถิด ข้าเคยผ่านพายุลมฝนน้อยใหญ่มาหมดแล้ว ไม่มีทางล้มลงโดยง่ายแน่ เจ้าแค่ช่วยข้าดูแลจางเกอให้ดีก็พอ ตอนนี้ข้าอยากอยู่คนเดียว คิดอะไรเงียบๆ ก่อน”
แม่นมคนสนิทจึงถอยออกมา หูอี๋เหนียงนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเป็นเวลาหนึ่งราตรีเต็มๆ นางเห็นสตรีที่อยู่ในคันฉ่องค่อยๆ หน้าซีดลง เวลาแค่เพียงราตรีกลับคล้ายแก่ชราลงไปหลายปี ในที่สุดนางก็ถอนหายใจออกมา นางเอ่ยเยาะหยันตนว่า “ข้าคิดว่าไพ่ในมือนี้ แพ้ครึ่งชนะครึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าข้ากลับแพ้ตั้งแต่ที่ได้มันมาครอบครองแล้ว ผลลัพธ์มีเพียงแค่แพ้น้อยสักหน่อย หรือแพ้อย่างอเนจอนาถยิ่งเท่านั้น…”