ภาคแยก | บทที่ 7 มิใช่แค่จักรพรรดินี แต่ข้าจะเป็นพระพันปี

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

โรสมอนด์ไม่อาจเชื่อผลการตรวจของหมอหลวงได้จึงอาละวาดดิ้นรน

“โกหก! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาโกหกเพื่อให้ข้าตาย ฝ่าบาท มันผู้นี้โกหกเพคะ”

แม้โรสมอนด์จะอยู่ในอารมณ์เดือดพล่าน แต่หมอหลวงอาวุโสก็ยังคงกล่าวอย่างสุขุม

“ฝ่าบาท กระหม่อมหาได้โป้ปดไม่พ่ะย่ะค่ะ หากคิดว่ากระหม่อมวินิจฉัยผิดพลาด เช่นนั้นขอทรงมอบหมายการตรวจนี้แก่หมอหลวงท่านอื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“…”

ลูซิโอเอ่ยปากทันทีด้วยสีหน้าซับซ้อน

“ในเมื่อนักโทษไม่เชื่อผลตรวจ เช่นนั้นก็ให้หมอหลวงท่านอื่นมาตรวจเพื่อป้องกันข้อครหาเถอะ”

เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าไม่ได้เข้าข้างโรสมอนด์ เพราะหลังจากนั้นก็มีหมอหลวงมาตรวจดูถึงห้าคน และทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่โรสมอนด์ก็ยังดื้อดึงไม่ยอมรับผลการตรวจจนถึงที่สุด

“เป็นไปไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท! หม่อมฉันแพ้ท้องและยังไม่มีรอบเดือนมาจนถึงตอนนี้ คนพวกนี้โกหกเพื่อที่จะฆ่าหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท”

โรสมอนด์หมอบอยู่แทบเท้าของลูซิโอและอ้อนวอนอย่างจริงจัง

“ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ ฝ่าบาท ไม่สิ ไม่ต้องสนใจหม่อมฉันก็ได้ แต่ช่วยลูกของพระองค์ ช่วยผู้สืบทอดของจักรวรรดิที่อยู่ในท้องของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ ฝ่าบาท!”

“อาการนี้ของอดีตจักรพรรดินี…” ตอนนั้นเอง หมอหลวงที่เคยยืนเงียบก็พูดแทรกขึ้นมา “พวกกระหม่อมเห็นตรงกันว่าอดีตจักรพรรดินีมีภาวะท้องลมซึ่งพบได้ทั่วไปในสตรีที่มีความต้องการตั้งครรภ์สูงพ่ะย่ะค่ะ”

“…”

“เป็นเรื่องธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นท่านจะบอกว่าในท้องของนางตอนนี้ไม่มีสิ่งใดเติบโตอยู่อย่างนั้นหรือ”

ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้น และหมอหลวงก็ให้คำตอบ

“เป็นเช่นนั้น”

“เช่นนั้นฝ่าบาท ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืดเวลาประหารออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะต้องไว้ชีวิตนักโทษที่ไม่ได้ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์”

“ไม่นะ! ข้าท้อง! ข้าท้องลูกของฝ่าบาท!”

“ลากตัวนักโทษไป!”

“ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ! กรี๊ด! ปล่อยข้า!”

โรสมอนด์ถูกลากไปยังแท่นประหารจากนั้นคอนางก็ทาบทับอยู่บนนั้น ตอนนี้นางคงสัมผัสได้ถึงความตายที่อยู่แค่ปลายจมูกแล้วจึงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

“ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ! ทรงทำแบบนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ”

“…”

“ฝ่าบาท!”

แต่ไม่ว่าโรสมอนด์จะตะโกนเรียกลูซิโอเท่าไร เขาก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว แม้เขาจะเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการปกครองจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่เขาก็ไม่สามารถใช้อำนาจเพื่อทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ เพราะนั่นคือทางลัดไปสู่การเป็นทรราช เขาทำได้เพียงมองคนที่เขารักจากใจจริงด้วยสายตาเวทนาเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้

“ฝ่าบาท!!!”

“ประหารได้!”

“กรี๊ดดดด!”

ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เพชฌฆาตปลดเชือกกิโยตีน จากนั้นใบมีดก็ร่วงลงสู่เบื้องล่างอย่างไร้ความปรานี

“กรี๊ด!”

“อึก!”

ภาพอันโหดร้ายปรากฏต่อสายตาของผู้คนอย่างชัดเจน คนที่เฝ้าดูการประหารอยู่ส่งเสียงครวญอย่างสยองขวัญ ลูซิโอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น

“ฮ่อก…”

เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตนไม่อาจทนมองภาพนั้นได้ ร่างสูงซวนเซลุกขึ้นยืน เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างจึงเข้ามาช่วยประคองเดินไปจนถึงรถม้าพระที่นั่งอย่างทุลักทุเล ถึงอย่างไรเรื่องต่อจากนี้พวกขุนนางคงไปจัดการกันเอง ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเขาแล้ว ลูซิโอส่งเสียงพิลึกพิลั่นออกมาด้วยความทรมาน หัวหน้านางกำนัลรีบให้เขาขึ้นรถม้าเพื่อปกปิดเรื่องนั้นไว้

“ฝ่าบาท ทำพระทัยดีๆ ไว้เพคะ”

“อย่างไร…เราจะทำใจได้อย่างไรในเมื่อต้องเห็นภาพแบบนั้น”

เขาดิ้นพล่านราวกับตัวหนอนที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ ในบรรดาความกระทบกระเทือนทางจิตใจที่เขาเคยประสบมา เรื่องในคราวนี้นับว่าอยู่ในลำดับต้นๆ ลูซิโอครวญครางและพึมพำไม่หยุด

“ช่วยไว้ไม่ได้…ข้า…ข้า…”

“ไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาทนะเพคะ ขอฝ่าบาทอย่าได้โทษตัวเอง…”

“ฮึก…”

ลูซิโอร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวหน้านางกำนัลถอยกายออกจากรถม้าเงียบๆ ราวกับว่าตอนนี้ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ฟังแล้ว จากนั้นนางก็สั่งให้ออกรถ รถม้าประดับทองหรูหราเคลื่อนตัวไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของใครคนหนึ่งที่ดังออกมาอย่างไม่รู้จบ

***

“จะว่าไปแล้ว ท่านหญิง[1]คะ หมู่นี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ”

“ไม่สู้ดีค่ะ”

ลอเรนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตอนนี้นางกำลังจิบชาอยู่กับบุตรีของมาร์ควิสคนหนึ่งที่เข้าร่วมการปฏิวัติด้วยกัน

“นางกำนัลตำหนักกลางบอกว่าตั้งแต่อดีตจักรพรรดินีถูกประหาร พระวรกายของฝ่าบาทก็ย่ำแย่ลงทุกวันค่ะ”

“จึ๊จึ๊”

ได้ยินลอเรนกล่าวดังนั้น เลดี้ฟิโลมินาก็เดาะลิ้นพร้อมกับทำสีหน้าราวกับสมเพชเสียเต็มประดา ลอเรนมองสีหน้านั้นไม่วางตา ในขณะที่ฟิโลมินาพร่ำพูดแสดงความคิดเห็นออกมาโดยไม่มีใครถาม

“จักรพรรดิแห่งมาวินอสผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวหรือนี่! ไม่น่าสมเพชไปหน่อยหรือคะ เดิมทีสำหรับผู้เป็นกษัตริย์แล้วหากมีสตรีข้างกายก็ดี แต่หากไม่มีก็หาใช่เรื่องใหญ่มิใช่หรือ”

“…เพราะรักมากน่ะสิคะ ท่าทางฝ่าบาทจะรักนางอย่างแท้จริง”

“เพราะแบบนั้นถึงได้โง่เขลามิใช่หรือคะ กษัตริย์ที่รักด้วยใจจริงอย่างนั้นหรือ! ฝ่าบาทต้องไม่ทันได้คิดเป็นแน่ว่ามันเป็นการผูกมัดตัวเองเพียงใด”

ฟิโลมินาเย้ยหยันจักรพรรดิด้วยสีหน้าอวดดีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“ว่าแต่ เมื่อเปลี่ยนรัชกาลแล้วเลดี้จะได้เป็นจักรพรรดินีไหมคะ”

“…คงเป็นเช่นนั้นกระมังคะ”

เพราะบิดาของนางรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมเพื่อการนี้มิใช่หรือ ตอนที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดซึ่งไม่มีบุตรสาวบอกว่าจะรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมอย่างกะทันหันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเข้าร่วมสนับสนุนกลุ่มปฏิวัติ เขาคงทำทุกวิถีทางที่จะเกี่ยวดองกับราชวงศ์เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่สมบูรณ์แบบกระมัง

“อุ๊ย เช่นนั้นตอนที่ท่านได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว ข้าก็น่าจะเข้าไปเป็นนางกำนัลได้สินะคะ”

“บุตรีของขุนนางทุกคนสามารถเป็นนางกำนัลได้ค่ะ มิใช่แค่เลดี้ฟิโลมินาเท่านั้น”

ลอเรนพยายามปฏิเสธอ้อมๆ แต่ผู้หญิงเบาปัญญาคนนี้กลับเอาแต่มองมาด้วยสีหน้างงงันราวกับไม่เข้าใจที่ลอเรนจะสื่อ ลอเรนขมวดคิ้วเล็กน้อยยากที่จะจับสังเกตได้คล้ายว่านางเริ่มจะเบื่อช่วงเวลานี้แล้ว

“ว่าแต่พรุ่งนี้ก็เป็นวันปฏิวัติแล้วสินะคะ” หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนอีกครั้ง

“ระวังปากหน่อยค่ะ เลดี้ฟิโลมินา กำแพงมีหูประตูมีตา” ลอเรนตำหนิฟิโลมินาอย่างสุขุม

“แต่นี่เป็นบ้านของท่านหญิงเองนะคะ จะไปมีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”

สตรีที่ไม่รู้จักระแวดระวังทั้งยังไม่รู้จักสังเกตสังกาเช่นนี้ รับไปเป็นนางกำนัลแล้วจะมีประโยชน์อันใด ลอเรนตั้งใจแน่วแน่ว่าหากตนได้เป็นจักรพรรดินีแล้วจะไม่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ใกล้ตัวเด็ดขาด

“บิดาของเลดี้อาจกำชับเรื่องนี้แล้ว แต่หากเป็นไปได้พรุ่งนี้กรุณาอยู่ในที่ที่ไม่สะดุดตา เพราะฝ่ายเราจะเสียเปรียบตอนชิงบัลลังก์มิได้”

“แน่นอนค่ะ ท่านหญิง ว่าแต่พรุ่งนี้ท่านหญิงจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยใช่ไหมคะ”

“…ไม่ค่ะ ข้าคิดว่าจะอยู่ที่คฤหาสน์ดยุก”

“ตายจริง ทำไมล่ะคะ”

…จะเพราะอะไรเสียอีกล่ะ ก็เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นน่ะสิ แต่หากบอกนางไปตามตรงทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลอเรนจึงโกหกแต่พองาม

“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ วันนี้ก็เกือบจะออกมาพบเลดี้ฟิโลมินาไม่ได้แล้ว”

“ตายจริง พระเจ้าช่วย!” ฟิโลมินาตื่นตระหนกเกินเหตุ “เป็นอะไรมากไหมคะ ท่านหญิง”

“ไม่เป็นไรค่ะ สองสามวันที่ผ่านมาฝืนตัวเองมากเกินไปจึงครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยเท่านั้น”

แม้ว่าในความเป็นจริงตัวนางจะสบายดีมากก็ตาม ลอเรนค่อยๆ หาทางจบบทสนทนา

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีไหมคะ ท่านหมอกำชับไว้ว่าอย่าได้ฝืนตัวเองมากไปน่ะค่ะ”

***

ลอเรนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตามแผน และบ่ายแก่ๆ ของวันนั้นหญิงสาวก็ได้รับจดหมายแจ้งข่าวจากบิดาว่าการบุกยึดพระราชวังเป็นไปได้ด้วยดี

“ในที่สุด!”

“ยินดีด้วยค่ะ เลดี้ลอเรน”

บรรยากาศภายในบ้านราวกับมีงานฉลอง แกรนด์ดยุก[2]ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้สืบบัลลังก์ได้ให้สัญญากับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดว่าจะให้บุตรีของเขาเป็นจักรพรรดินี จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าอีกไม่นานลอเรนจะได้สวมมงกุฎของสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ

“ลูกพ่อ!”

คืนนั้นดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกลับมาถึงคฤหาสน์กลางดึก ท่าทางเขาต้องใช้เวลาจัดการเรื่องต่างๆ มากพอสมควร ลอเรนต้อนรับบิดาด้วยรอยยิ้มสดใส

“ยินดีด้วยค่ะ ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็สมปรารถนาแล้วนะคะ”

“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”

ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะวานให้สาวใช้นำชามาให้สองถ้วย ทั้งสองสนทนากันพลางจิบชาโรสแมรีที่สาวใช้นำมาให้

“เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปหรือคะ”

“ย่อมเป็นไปตามธรรมเนียม จักรพรรดิที่ถูกปลดจะต้องถูกประหารในเร็ววัน จากนั้นแกรนด์ดยุกคาลลินิคอสก็จะขึ้นครองบัลลังก์”

“…”

“และคงมีการล้างบางขุนนางที่ให้การสนับสนุนอดีตจักรพรรดิครั้งใหญ่… เสร็จจากเรื่องพวกนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นจักรพรรดินี เป็นอย่างไร? ง่ายใช่หรือไม่”

“นั่นสินะคะ” ลอเรนยิ้มน้อยๆ

“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องเป็นกังวล ลอเรน แค่รอให้พ่อนำมงกุฎจักรพรรดินีมาให้เจ้าก็พอ ง่ายดายยิ่ง จริงหรือไม่” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“แต่ข้าก็อยากช่วยอะไรบ้างนี่คะ”

“เจ้าช่วยมามากพอแล้วล่ะ มิใช่เจ้าหรอกหรือที่ถึงขั้นไปเป็นนางกำนัลของอดีตจักรพรรดินี?” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหัวเราะ

“สุดท้ายแล้วอดีตจักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้างคะ” จู่ๆ ลอเรนก็ถามขึ้นมา

ได้ยินคำถามของบุตรีบุญธรรมดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็ชะงักไปในทันใดก่อนจะตอบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่รู้ว่าเขารู้ชะตากรรมของตัวเองอยู่แล้ว หรือสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่หลังจากอดีตจักรพรรดินีถูกประหารอย่างที่เราได้ยินมากันแน่”

“…”

“เขายกบัลลังก์ให้อย่างละมุนละม่อม ง่ายดายเสียจนพวกเราทำตัวไม่ถูกเลยล่ะ”

“ไม่สนุกเลยนะคะ”

“ให้ตายเถอะ ลอเรน เจ้าถามหาความสนุกจากการทำรัฐประหารที่ใช้ทุกอย่างเป็นเดิมพันหรือนี่! แต่เอาเถอะ ขอเพียงได้รับชัยชนะ ยิ่งชิงบัลลังก์ได้ง่ายเท่าไรก็ยิ่งดีมิใช่รึ”

นั่นก็จริงค่ะ ลอเรนตอบ

“เจ้าหวังให้เกิดเรื่องใหญ่โตหรือไร”

“ข้าแค่ไม่คิดว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้น นึกว่าจะดิ้นรนสักหน่อยเสียอีก”

“เรื่องนั้นพวกเราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ในตอนสุดท้ายเขายังเผยยิ้มราวกับสละซึ่งทุกสิ่งแล้วอีกด้วย ทำเอาพวกเราตกใจแทบแย่”

“วิปลาสไปแล้วกระมังคะ”

จากนั้นลอเรนก็จบบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะค่ะ ท่านพ่อ จะพูดถึงผู้แพ้ไปทำไมกัน”

“นั่นสินะ เลิกพูดดีกว่า”

ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างสุขใจ เขาลูบหัวลอเรนพลางกล่าว

“รีบเข้านอนเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราคงจะยุ่ง”

***

โรสมอนด์อุตส่าห์คิดว่าในที่สุดชีวิตที่โชคร้ายมาตั้งแต่ต้นก็เริ่มจะดีขึ้นบ้างแล้วแท้ๆ

‘ถ้าข้าตั้งครรภ์เร็วกว่านี้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหรือไม่’

สุดท้ายแล้วสาเหตุที่ทำให้นางตกลงสู่ขุมนรกคือการที่นางไม่มีลูก หากนางมีลูกตั้งแต่เนิ่นๆ ลูซิโอก็คงไม่ต้องรับผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเป็นจักรพรรดินีแทนนาง และจักรพรรดินีอย่างนางก็คงไม่ต้องตกบัลลังก์อย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้

‘หากย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง…ข้าจะเป็นพระพันปี มิใช่แค่จักรพรรดินี’

ความรักของจักรพรรดิไม่มีวันคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หากนางแก่ชราและอัปลักษณ์ ความรักนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่า ถ้านางเป็นพระพันปีล่ะ? ถ้านางให้กำเนิดเจ้าชายรัชทายาท ต่อให้จักรพรรดิเกลียดนางแค่ไหนก็กำจัดนางตามอำเภอใจไม่ได้ ทำไมน่ะหรือ? เพราะนางคือพระราชมารดาของจักรพรรดิรุ่นต่อไปอย่างไรเล่า

‘หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะต้อง…’

โรสมอนด์โอบกอดความปรารถนาที่มิอาจเป็นจริงและปิดเปลือกตาลง

***

“…อืม”

โรสมอนด์ลืมตาขึ้นมาพร้อมส่งเสียงเบาๆ ที่นี่มันสวรรค์หรือนรก? โรสมอนด์ค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้น นางตื่นขึ้นมาในห้องของใครสักคน หรือนี่จะเป็นดินแดนแห่งการชำระล้าง[3]? ขณะที่หญิงสาวกำลังใช้ความคิด ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของคนผู้นั้นช่างดูคุ้นตานัก โรสมอนด์พึมพำออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“ฝ่าบาท…?”

“โรส”

เขาคือลูซิโอซึ่งกำลังมองนางด้วยสายตารักใคร่ โรสมอนด์เอ่ยถามตะกุกตะกัก

“นี่…เกิดอะไรขึ้น…”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เมื่อคืนย่ำแย่มากหรือ? ถึงขั้นจำไม่ได้เลยเชียว?”

“พระองค์ตรัสถึงเรื่องอันใด…”

ตอนนั้นเอง โรสมอนด์ก็ก้มลงมองเรือนร่างของตนโดยไม่ตั้งใจ ร่างกายของนางเปลือยเปล่า

“ตอนนี้…คือตอนไหนหรือเพคะ” นางถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“ตอนนี้คือตอนไหนอะไรกัน”

“หม่อมฉันหมายถึงพระองค์ขึ้นครองราชย์มานานเท่าใดแล้ว”

“แปลกคน” ลูซิโอตอบคำถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ข้าขึ้นครองราชย์เมื่อหกเดือนก่อนอย่างไรเล่า โรส ในงานราชาภิเษกเจ้าก็อยู่ด้วย ลืมไปแล้วหรือ”

“เป็นไปไม่ได้…”

โรสมอนด์พึมพำด้วยน้ำเสียงล่องลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ระหว่างนั้นลูซิโอก็เดินมานั่งบนเตียงและมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้กับร่างบางที่เริ่มเย็นลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

“หลับฝันดีหรือไม่”

สรุปคือ นางย้อนกลับมาตอนที่ลูซิโอเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียงหกเดือน ตอนที่เขายังไม่มีจักรพรรดินี! โรสมอนด์สวมกอดลูซิโอแน่นด้วยสีหน้ายินดีปรีดา พระเจ้ายังไม่ได้ทอดทิ้งนางจริงๆ ด้วย!

“หม่อมฉันรักพระองค์เพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์กระซิบ

“ข้าก็รักเจ้า โรส”

ขณะฟังคำหวานจากลูซิโอที่กระซิบอยู่ข้างหู โรสมอนด์ก็ตั้งปณิธานในใจอย่างแน่วแน่ คราวนี้ล่ะ ข้าจะต้องเป็นจักรพรรดินี และต้องเป็นพระพันปีให้จงได้ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่ต้องพบกับจุดจบที่เป็นดั่งโศกนาฏกรรมเหมือนชาติก่อน!

[ภาคแยก 1] The life of the dead is in the memory of the living. (จบบริบูรณ์)


[1] ท่านหญิง ในที่นี้ใช้เรียกยกย่องบุตรีของดยุก

[2] แกรนด์ดยุก (Grand duke) (ผู้หญิง: แกรนด์ดัชเชส (Grand duchess)) ใช้เรียกประมุขในระดับมณฑล หรืออาจหมายถึงแกรนด์พรินซ์ เนื่องจากคำว่า Prince มีความหมายทั้งเจ้าชายที่เป็นราชนิกุลและเจ้าผู้ครองนคร

[3] ดินแดนแห่งการชำระล้าง คือ สถานที่วิญญาณรับโทษทัณฑ์ก่อนขึ้นสวรรค์ตามความเชื่อของคาธอลิค