ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 4 ความลับ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 4 ความลับ โดย Ink Stone_Fantasy

“อ๊ากกก…” ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตส่งเสียงคำรามต่ำๆ อย่างเจ็บปวด หลังจากที่ฟองอากาศอนธการทั้งหกฟองแตกสลายไปแล้วก็เผยให้เห็นสภาพของเขาในตอนนี้ แขนสี่ข้างเหลืออยู่เพียงสองข้างเท่านั้น บนร่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่หลายแห่ง กะโหลกศีรษะก็หายไปครึ่งหนึ่ง เขาถลึงตามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไป นัยน์ตามีแววเดือดดาล แต่ในใจของเขากลับโศกศัลย์อย่างยิ่ง เพราะเขารู้ว่าเขากลัวว่าจะต้องตายภายใต้เงื้อมมือชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านอากาศภายในฟ้าดินโลกเทียม พยายามรักษาระยะห่างกับคู่ต่อสู้เอาไว้

“เข้ามาอีกสิ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของร่างกายอีกฝ่ายเช่นกัน แต่คล้ายว่าเขาสร้างโลกอนธการออกมาใหม่อีกครั้งในทันที โลกแห่งหนึ่งห่อหุ้มโลกอีกแห่งหนึ่ง โลกอนธการหกใบที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้เคลื่อนเข้ามาอีกครั้ง และห่อหุ้มศัตรูเอาไว้อย่างสมบูรณ์

เปรี๊ยะๆๆ…

ภายใต้การหดเล็กลงอย่างฉับพลัน ฟองอากาศอนธการหกฟองระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วกลับมีพลังคุกคามอันใหญ่หลวงจนน่าหวั่นเกรง

“ศาสตร์ลับวิชาโลกอนธการศาสตร์นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ศัตรูยังมิทันจะประชิดตัวได้ก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ “แต่ข้อด้อยก็ยังชัดเจนอย่างยิ่ง ก็คือพอศัตรูประชิดตัวเมื่อใด เมื่อนั้นก็ยุ่งยากเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าแรก ‘ฟองอากาศอนธการ’ หรือกระบวนท่าที่สอง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ต่างก็ไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ประชิดตัว”

“สุดท้ายแล้วน่ากลัวว่าประมุขโลกอนธการผู้นั้นอ่อนแอในการต่อสู้ประชิดตัวไปหน่อยจึงได้เอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยคาดการณ์

ประมุขโลกอนธการก็จะต้องอยากปกปิดจุดบกพร่องของตนเองเช่นเดียวกัน

พยายามทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังอยากให้การต่อสู้ประชิดตัวแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน! แต่ในที่สุดพอบำเพ็ญไปแล้วก็มีบางอย่างที่เชี่ยวชาญ บางอย่างที่ไม่เชี่ยวชาญ! เป็นถึง ‘ศาสตร์โบราณ’

พรสวรรค์ทางด้านเขตลวงของประมุขโลกอนธการก็เลิศล้ำเป็นที่สุด ทว่าในด้านอื่นๆ ก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญสักเท่าใดนัก ถึงแม้จะศึกษาระบบอื่นๆ ไปควบคู่กัน อยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง

“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น แต่ก็มิอาจละเลยระบบผู้ท่องอากาศได้แม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ

ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ทางด้านวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นจะอ่อนแอกว่าวิถีโลกเทียม ต่างก็ยังไปไม่ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ทั้งยังไม่สำเร็จวิชากระบี่ที่สี่ผลาญโลกาด้วย

แต่ที่ว่าอ่อนแอก็เป็นการเปรียบเทียบเท่านั้น

ร้ายดีอย่างไรตนก็เป็นผู้ที่สำเร็จวิชากระบี่ที่สองผลาญโลกาตั้งแต่อยู่ในขั้นผู้ปกครองแล้ว!

“ก็ทำให้การต่อสู้ประชิดตัวยกระดับขึ้นมาด้วย ระบบผู้ท่องอากาศสามารถทำให้ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายข้ายกระดับขึ้น อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการรักษาชีวิต เช่นนั้นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของวิชาโลกอนธการศาสตร์ลับศาสตร์นี้ก็จะถูกกลบไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “พอถึงเวลาที่หลายๆ วิธีการรวมเข้าด้วยกัน พลังยุทธ์ของข้าก็จะแข็งแกร่งกว่าในตอนนี้มาก”

ถึงแม้ว่าในใจจะกำลังคิดอยู่

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังสำแดงวิชาโลกอนธการหกแห่งต่อไป ถึงแม้ว่าศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตจะเดือดดาลอย่างหาใดเทียม แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมิอาจปะทะได้แม้กระทั่งร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่กลับเผชิญกับการโจมตีอันหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง

อาการบาดเจ็บของเขาหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างโลกอนธการกว่าหกสิบแห่งแล้วจึงผลาญศัตรูมอดไหม้จนหมดสิ้นไปในท้ายที่สุด ลำแสงสีแดงโลหิตแทรกซึมเข้าไปในพื้นดิน

“ในที่สุดก็ชนะแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจ

ศัตรูมิอาจเข้าประชิดตัวได้

ในที่สุดก็อาศัยฟองอากาศอนธการทำให้ศัตรูถึงแก่ความตายได้! ศัตรูมีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีความเร็วอันน่าหวาดหวั่น ถ้าหากเป็นการต่อสู้ประชิดตัวคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน

……

ณ ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฟ้ากัมปนาทที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งก็คือผู้อาวุโสหลังค่อม ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ นั่นเอง

“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงติดอยู่กับรสชาติของการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เห็นว่าบรรพชนเทียนอวี๋ปรากฏตัวขึ้นยังที่ไกลๆ จึงเอ่ยทักทายอย่างเคารพนบนอบในทันใด

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า ตอนที่ได้เห็นฉากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงโต้ตอบกับกระบวนสังหารเขาก็รู้แล้วว่าการที่เจ้าเด็กผู้นี้จะผ่านชั้นที่ห้านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว

“เล่าลือภายในวังทวีสูญกันมานานแล้วว่าพอผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวแล้วก็จะได้รู้ความลับอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยพลางหัวเราะหึๆ

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ยามที่ข้าอยู่กับผู้อาวุโสตำหนักในคนอื่นๆ บางครั้งที่พวกเขาพูดคุยกันถึงสิ่งนี้ก็หยุดพูดในทันทีเพราะข้าอยู่ที่นั่นด้วย”

“นี่เป็นกฎ ไม่ว่าจะเป็นวังทวีสูญของข้า เกาะปฐมบรรพชน แดนทิพย์เหยากวงหรือว่าสถานที่อื่นๆ  รวมถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และโลกทิพย์กิเลนบูรพาทั้งหมดหกโลกทิพย์ ล้วนจำเป็นต้องผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวก่อนจึงจะสามารถล่วงรู้ได้” บรรพชนเทียนอวี๋พูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“พูดขึ้นมาแล้ว”

“ก็ยังต้องพูดถึงโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม” บรรพชนเทียนอวี๋แววตาขมุกขมัวแล้วเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน ในเวลานั้นมีเพียงแค่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กฎเกณฑ์ของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแข็งแกร่งกว่าโลกทิพย์ใดๆ ในปัจจุบันนี้อยู่มากมายนัก แรงกดดันที่มีต่อพลังยุทธ์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง แต่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เจริญเติบโตและบำเพ็ญอยู่ในนั้นเช่นเดียวกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ยังแข็งแกร่งกว่ามหาโลกทิพย์ทั้งห้าและกฎเกณฑ์ในตอนนี้อยู่มากมายนัก แรงกดดันยิ่งแข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ

“โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าเป็นจำนวนมาก ในบรรดานั้นก็มีหลายคนที่ไปถึงระดับขั้นสุดยอด”

“เหล่าเทพจักรวาลโดยทั่วไปก็ต่อสู้กันอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าจะแผ่กระจายไปกว่าร้อยล้านลี้ แต่ก็มิอาจนับเป็นอะไรได้เลยต่อโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เหล่าเทพจักรวาลในตอนแรกกลุ่มนั้นก็ไม่เคยสนใจมาก่อนเลย ขอบเขตของการต่อสู้ก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นตามจำนวนของสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เพิ่มมากขึ้น  และพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของพวกเขา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจฟัง เขารู้ว่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดก็แบ่งออกเป็นชั้นสูงชั้นต่ำเช่นเดียวกัน

ระดับล่างอย่างเช่นบรรพชนกู่ แทบจะเป็นระดับต่ำสุด

ชั้นกลางอย่างเช่นบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ และบรรพชนห้วงอากาศ เป็นต้น พลังยุทธ์ของเจ้าเมืองหลัวก็อยู่ประมาณระดับขั้นนี้

ชั้นสูงก็คือผู้ไร้ซึ่งศัตรูอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ยังมีพวกจอมมารดาและบรรพชนทิพย์ด้วย

“มหาสงครามสุดท้ายในครั้งนั้น แม้กระทั่งกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมก็ยังมิอาจควบคุมได้ ตูม! โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมก็แหลกสลายไปเสียแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “นั่นเป็นภัยพิบัติที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยอย่างแท้จริงบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนั้นต่างก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการต่อสู้ของพวกเขาจะทำให้ทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย ดังนั้นจึงมิได้เตรียมตัวกันเลยแม้แต่น้อย”

“นี่ก็ทำให้สิ่งมีชีวิตในโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนตายไปในการแหลกสลายนั้น มีเพียงผู้ที่พลังยุทธ์แกร่งกล้าเท่านั้นที่รอดชีวิตมาจากการแหลกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมมาได้”

“ในเวลานั้นข้ายังเป็นเพียงขั้นอลวนคนหนึ่ง ทำได้แค่เพียงช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตรอบตัวข้าจำนวนหนึ่งเท่านั้น สำหรับทั้งสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว ก็เป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเท่านั้น” บรรพชนเทียนอวี๋ทอดถอนใจ

ตงป๋อเสวี่ยอิงตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นอยู่บ้าง

สิ่งมีชีวิตในโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมเกือบจะสิ้นสูญจนหมดเช่นนั้นหรือ นั่นมากกว่าจำนวนสิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งหนึ่งตั้งไม่รู้กี่เท่า นี่คือภัยพิบัติที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยอย่างแท้จริง

“โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย อากาศอันสับสนอลหม่านก็ขยายตัวไปทุกทิศทุกทาง จนถึงตอนนี้ก็ยังขยายตัวอยู่” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “อาณาบริเวณของอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นขยายใหญ่ขึ้นอยู่ตลอดเวลา”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าคิดว่าการขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น…ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไรกันเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยถาม

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

ฟองอากาศฟองหนึ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็จะระเบิด

จักรวาลแห่งหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าในท้ายที่สุดแล้วก็จะเกิดปัญหาขึ้นเช่นกัน

“พวกเราไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร เพราะว่ายังไม่เคยเห็นเลยเช่นกัน” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “แต่พวกเราต่างก็รู้สึกว่า เกรงว่าจะมิใช่ผลลัพธ์ที่ดีสักเท่าใดนัก”

“นอกจากนี้”

“หลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว บริเวณชายขอบของห้วงอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีสิ่งมีชีวิตที่พิเศษกลุ่มหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ดูคล้ายว่าพวกเขาจะถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการล้างผลาญโดยเฉพาะ พวกเราเรียกพวกเขาว่า ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’”

“ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการล้างผลาญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย “หลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายแล้วจึงปรากฏขึ้นอย่างนั้นหรือ”

บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า “ใช่แล้ว กลิ่นอายของพวกเขาต่างก็คานกับพวกเราสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีความปรารถนาอื่นใด มีเพียงแค่การล้างผลาญเท่านั้น! ค่ายสังหารทั้งหมด พวกเราสงสัยว่า…หลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย นี่คือสิ่งมีชีวิตที่การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์บ่มเพาะออกมาตามธรรมชาติ เป็นไปได้ว่าต้องการจะล้างผลาญพวกเรา มีความเป็นไปได้ว่าลดทอนแรงกดดันของการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้อากาศอันสับสนอลหม่านอันไร้ที่สิ้นสุดกลับไปเป็นไร้ซึ่งสรรพสิ่งเช่นเดิม”

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดเดาทั้งสิ้น”

“ต่อให้กลับไปเป็นความไร้ซึ่งสรรพสิ่งใหม่อีกครั้ง สามารถบ่มเพาะโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมออกมาได้ใหม่อีกครั้ง นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”

“ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถยอมรับความตายเช่นนี้ได้” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ที่จุดสิ้นสุดห้วงอากาศก็มีการแบ่งสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดไปประจำการ ทั้งยังมีขั้นอลวนและขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่มุ่งหน้าไป ก็เพื่อสังหารฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้”

“คู่ต่อสู้ที่เจ้าพบภายในเจดีย์ดาวก็คือฝูงมารผลาญทำลาย แน่นอนว่าล้วนถูกหลอมให้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดทั้งหมด” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่เก้าต่างก็มีฝูงมารผลาญทำลายอยู่ทั้งหมด แม้ว่าบางครั้งฝูงมารผลาญทำลายอาจจะปรากฏตัวขึ้นเหนือกว่าชั้นที่เก้า ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับเทพจักรวาล”

ตงป๋อเสวี่ยอิงจนคำพูด

ถึงกับมีสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลอยู่ด้วย มิน่าเล่าถึงต้องมีการแบ่งสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดไปประจำการ! ถ้าหากต้านทานไม่อยู่ อากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้านี้ก็คงจะถูกล้างผลาญไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ

“นี่ล้วนเป็นราคาที่ต้องจ่าย”

“ราคาของสงครามในตอนนั้น!” บรรพชนเทียนอวี๋หัวเราะอย่างเย็นชาในทันที “น่าเสียดายที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดาเห็นแก่ตัวเกินไป! พวกเขาสองคนไม่เคยไปต่อสู้ที่ชายขอบของห้วงอากาศเลย ทั้งยังไม่ยอมให้ลูกน้องของพวกเขาไปต่อสู้อีกด้วย ผู้ที่ต้านทานฝูงมารผลาญทำลายก็คือมหาโลกทิพย์อื่นๆ อีกสามแห่ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลืมเลือนไปแล้วว่า… การต่อสู้ในครั้งนั้นก็เป็นเขานั่นเองที่จุดชนวนขึ้น!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง การต้านทานฝูงมารผลาญทำลายที่ชายขอบของห้วงอากาศนั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดามิได้ออกแรงบ้างเลยหรือ

……………………………………….