การเป็นแม่ทัพใหญ่นั้นหลี่จิ้งมีคุณสมบัติครบถ้วน แต่สำหรับการเป็นพ่อค้าแล้วยังอ่อนประสบการณ์ ถ้าหากพ่อค้าชาวเปอร์เซียนำสินค้าหนักหนึ่งพันจินจากเอเชียกลางที่ห่างไกล ผลที่ได้คือสินค้าหนักหนึ่งพันจินแลกเป็นเงินเหรียญทองแดงได้หนึ่งพันจิน เช่นนั้นเขาคงต้องชดเชยเพิ่มจนไม่เหลือกางเกงให้ใส่ เงินเหรียญทองแดงโดยปกติจะหนักแปดจิน สินค้าหนึ่งพันจินก็แลกได้เพียงหนึ่งร้อยยี่สิบห้าก้วนเท่านั้น การค้าเช่นนี้เหอเซ่ายังไม่ยอมทำเลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่ฉลาดเป็นกรดเหล่านั้น
เหล้าองุ่นถังเล็กที่อวิ๋นเยี่ยมอบให้หลี่จิ้งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสิบก้วน เหล้าถังเล็กใบนั้นนับรวมถึงถังไม้ด้วย ก็หนักเพียงแค่สิบจินเท่านั้น ดังนั้นการทำการค้าครั้งนี้ หลี่จิ้งทำให้ทหารเสริมพวกนั้นถูกฝังหลุมอย่างอนาถ
แต่ทว่าเหล่าทหารเสริมไม่ใส่ใจ มองดูเหอเซ่าหยิบตาชั่งขนาดใหญ่ออกมา ปลายด้านหนึ่งใช้แขวนสินค้า ปลายอีกด้านหนึ่งแขวนถุงใส่เงินเหรียญทองแดง เมื่อใดก็ตามที่สินค้าและถุงเงินหนักเท่ากัน เหล่าทหารเสริมก็วางสินค้าใส่รถอย่างมีความสุขสนุกสนาน แล้วนำเงินเหรียญทองแดงวางไว้ด้านหลังตัวเอง
อวิ๋นเยี่ยเปิดปากถุงใส่สินค้าออกอย่างเงียบๆ เห็นว่าด้านในบรรจุกำยานเต็มไปหมด ของสิ่งนี้เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการทำเครื่องหอม และเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าประเภทหนึ่ง ซุนซือเหมี่ยวพอจะมีอยู่เล็กน้อย คราวก่อนอวิ๋นเยี่ยปวดท้อง เขาจึงยอมแบ่งให้อวิ๋นเยี่ยใช้นิดหน่อยด้วยความเสียดาย หลังจากผสมเป็นยาแล้วดื่มก็หายปวดท้องในทันที อวิ๋นเยี่ยจำได้อย่างแม่นยำมาก ถุงใบใหญ่เช่นนี้หนักประมาณพันจิน ซื้อมาด้วยราคาสิบกว่าก้วน ไม่ต่างอะไรกับการเก็บมาได้เปล่าๆ
เหล่าทหารเสริมนั้นใจกว้างมาก เมื่อพวกเขาเห็นว่าเงินเหรียญทองแดงหมดแล้ว แต่ยังมีของอยู่อีกสิบกว่าถุง จึงโบกมือเอาของทั้งหมดยกให้เหอเซ่า เคยเห็นคนใจกว้าง แต่ไม่เคยเห็นคนใจกว้างเช่นนี้มาก่อน เงินนับร้อยนับพันกว้านก็ถูกมอบออกไปเสียเฉยๆ
จอมล้างผลาญจึงถูกแม่ทัพหลี่เตะนับครั้งไม่ถ้วน ได้แต่หมอบอยู่บนพื้นครวญคราง ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งอะไร แม้ว่าในใจจะรู้สึกดูถูกความใจแคบของแม่ทัพหลี่ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เหอเซ่าไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่แดงเดียว จึงต้องนำหยกของบรรพชนที่ติดตัวมาจำนำไว้ที่หลี่จิ้ง จึงสามารถรับสินค้าทั้งหมดมาไว้ในมือได้ ขณะที่ผูกมัดสินค้าอยู่ ซุนซือเหมี่ยว ถังเจี่ยน สวี่จิ้งจงกำลังออกไปเดินเที่ยวอยู่ เหล่าซุนนั้นจามไม่เลิก เดินตามกลิ่นไปก็หากำยานพบได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดถุงออกก็ดวงตาแทบถลน ไม่พูดกล่าวอะไรทั้งสิ้นแบกขึ้นไหล่นำกลับไปที่รถเทียมวัวของเขา เหอเซ่าไม่กล้าห้าม ได้แต่มองซุนซือเหมี่ยวปล้นสินค้าในเวลากลางวันแสกๆ อย่างตาปริบๆ
ไม่ได้มีซุนซือเหมี่ยวเพียงคนเดียวที่เป็นโจร ถังเจี่ยนอุ้มได้หินโมราชิ้นใหญ่ก็หันหลังเดินจากไป สวี่จิ้งจงค่อนข้างสนใจเครื่องแก้ว โยนเงินไม่กี่เหวินให้กับเหอเซ่า พอหยิบได้ถ้วยชามีฝาปิดหนึ่งชุดก็รีบตามถังเจี่ยนไป
ในที่สุดท่านแม่ทัพหลี่ก็ยิ้มแย้มแล้ว ในมือก็เล่นหยกประจำตระกูลของเหอเซ่าพลางฉลองกับเหล่าทหารเสริมที่พวกเขาได้ร่ำรวยแล้ว
วันรุ่งขึ้นกองกำลังออกเดินทางต่อ ทุ่งหญ้าค่อยๆ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถนนข้างหน้าแคบลงเรื่อยๆ โชคดีที่เหล่าทหารเสริมได้ทรัพย์สินก้อนโตมา แต่ละคนแบกเงินเหรียญทองแดงหนักสามสิบถึงสี่สิบจิน แต่ไม่มีใครโอดครวญเลย เมื่อเจอสถานที่ที่รถม้าสี่ล้อไม่สามารถผ่านได้ก็ใช้พลั่วถางสองข้างทางให้เรียบ ท่านแม่ทัพหลี่ไม่แม้แต่จะต้องลงจากรถม้า ก็ได้เหล่าทหารเสริมที่กำลังฮึกเหิมเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาแล้ว
หมาน้อยสาบานว่าเขาจะต้องมีภรรยาสามคน คนหนึ่งทำรองเท้าให้เขา คนหนึ่งคุยเป็นเพื่อนเขาและอีกคนหนึ่งให้กำเนิดบุตรแก่เขา สำหรับวิธีทำให้มีบุตร เขาบอกว่าต้องนอนด้วยกัน ส่วนวิธีการนอนอย่างไรจึงจะทำให้มีบุตรได้เขาไม่รู้อะไรเลย แต่ไม่เป็นไรยังมีเวลาเรียนรู้อีกมากมาย ตอนนี้เขามีสัมภาระสามห่อ โดยทรัพย์สมบัติในแต่ละห่อนั้นก็เพียงพอที่จะให้เขาแต่งภรรยาได้หนึ่งคน
เมื่อเข้าสู่เขตแดนต้าถังแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อกองทัพใหญ่มีชัยชนะกลับมาย่อมได้รับการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ ถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงเองก็ยังร้องเพลงและแต่งกลอนท่ามการห้อมล้อมของขุนนางท้องถิ่นของเขตอวิ๋นจง ใช้ชีวิตอิสรเสรีเสมือนเทพเซียน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าร่วมการงานเลี้ยงเหล่านี้ เก็บตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพังเพื่อเตรียมรายละเอียดที่จะสนทนากับเถียนเซียงจื่อเมื่อถึงคราได้พบกัน เขาเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือที่เขารู้ทั้งหมดอย่างละเอียดจดบันทึกอธิบายเอาไว้ ทั้งยังได้อธิบายเรื่องแสงออโรร่าของขั้วโลกเหนือเป็นกรณีพิเศษว่า สิ่งนั้นไม่ใช่แสงแห่งเทพเจ้า อย่าได้ไล่ล่าตามไป ไม่เช่นนั้นจะตกเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เมื่อเขียนถึงตรงนี้ เขาเคยคิดที่จะไปดูแสงออโรร่าที่ขั้วโลกเหนือ จากนั้นส่ายศีรษะขจัดความคิดนี้ออกไปจากหัวสมอง ด้วยสภาวะในปัจจุบัน การไปยังที่รกร้างเช่นนั้นในสมัยโบราณถือเป็นวิธีที่ดีในการฆ่าตัวตายจริงๆ พวกเถียนเซียงจื่อไม่ใช่คนโง่แต่เป็นพวกฉลาดเกินไป คนฉลาดมักจะมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ความหวาดระแวงเป็นลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ ความคิดที่แปลกประหลาดรวมกับความหวาดระแวง หากเป็นเรื่องอื่นคงประสบความสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายที่พวกเขาได้เลือกเส้นทางตายที่ไม่มีวันเป็นไปได้
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ว่าภายในหลายวันนี้เถียนเซียงจื่อจะต้องมาพบตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัว อวิ๋นเยี่ยจึงจากเขตอวิ๋นจงไปด้วยความสงสัย
เมื่อจำนวนคนน้อยลง สภาพแวดล้อมของระบบนิเวศก็จะดี สองข้างทางของทางบนภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณ ป่าไม้ในต้นฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ตลอดฤดูหนาวแทบจะไม่ได้กินผักใบเขียวเลย เมื่อเห็นต้นกล้าที่เพิ่งงอกขึ้นมาบนพื้นหญ้า อวิ๋นเยี่ยก็อยากกินจนน้ำลายหยด
ผักขู่ไช่[1] ตี้กู่หลง[2] หมาฉื่อเซี่ยน[3] ซิงซิงเฉ่า[4] แม้ว่าจะยังเป็นต้นอ่อนอยู่จนแทบจะไม่มีร่องรอยบนพื้นดินให้เห็น แต่ถ้าใช้พลั่วขุดลึกลงไปก็จะพบก้านรากใต้ดินที่ทั้งอ่อนทั้งขาวและฉ่ำน้ำ เมื่อขุดมาได้หนึ่งตะกร้าแล้วลวกในน้ำเดือด ใส่พริกไทย พริกขี้หนู ตบกระเทียมเพิ่มลงไปอีกเล็กน้อย เทน้ำมันถั่วเหลืองที่เผาจนเดือดปุดๆ ลงไป กลิ่นหอมเย้ายวนใจช่างชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม ตั้งแต่สมัยโบราณซานซีนั้นมีน้ำส้มสายชูชั้นเลิศ นำน้ำส้มสายชูต้มในหม้อให้เดือด โรยบนผักป่า ได้กินเพียงคำหนึ่งแม้ให้แลกกับการเป็นเซียนก็ไม่ยอม
การกินอาหารเพียงคนเดียวนั้นไม่ดี จึงแบ่งผักป่าหม้อใหญ่เป็นหลายๆ จานแล้วให้ทหารเสริมนำไปมอบให้กับหลี่จิ้งและถังเจี่ยน ตนเองยกจานหนึ่งมาที่เกวียนเทียมวัวของซุนซือเหมี่ยว นักพรตเฒ่าหลายวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ตามที่เขาบอกก็คือไอเย็นซึมเข้ากระดูก ฟังคำศัพท์แพทย์แผนจีนไม่เข้าใจ เห็นเขาน้ำมูกน้ำตาไหลจึงสรุปว่าเขาเป็นหวัด
อันที่จริงแล้วนี่เป็นอาการของการขาดวิตามิน ฤดูหนาวบนทุ่งหญ้านั้นยาวนานมาก ในฤดูหนาวนี้ซุนซือเหมี่ยวก็เช่นเดียวกับอวิ๋นเยี่ยที่ได้แต่กินเนื้อสัตว์จำนวนมาก แม้ว่าจะมีใบชาที่พอจะฝืนใช้สลายไขมันได้บ้าง ซุนซือเหมี่ยวโดยปกติแล้วเป็นผู้ถือศีลกินเจ แต่เมื่ออยู่บนทุ่งหญ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กินเนื้อสัตว์ ร่างกายของเขาจึงยิ่งต้องการเสริมวิตามินมากกว่าอวิ๋นเยี่ย เป็นจริงดังคาด เมื่อซุนซือเหมี่ยวเห็นผักสดใบเขียวก็เกิดอยากอาหารในทันใด เมื่อครู่ยังกินข้าวอย่างไร้ความรู้สึกอยู่เลย แต่ตอนนี้เขากินติดต่อกันถึงสองชาม
สามารถกินอาหารได้ถือเป็นเรื่องที่ดี อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับซุนซือเหมี่ยวเหมือนกับญาติสนิทคนหนึ่ง
ทุกวันที่กองกำลังทำการหยุดพัก การขุดผักป่าจึงกลายเป็นงานอดิเรกใหม่สำหรับทุกคน แม้ว่าจะทำไม่อร่อยเหมือนอวิ๋นเยี่ย เมื่อใส่ลงไปในทังปิ่ง ผักใบเขียวพร้อมกับเส้นสีขาวถูกตาถูกใจ กินไปแล้วชามหนึ่งเมื่อเห็นผักใบเขียวก็จะกินมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
น้ำในแม่น้ำหวงเหอเพิ่งจะละลาย ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ซึ่งนี่เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของแม่น้ำหวงเหอ ไม่มีท่าเรือข้ามฟากใดกล้าออกเรือในเวลานี้ ขุนนางท้องถิ่นจะต้องคอยตื่นตัวอยู่เสมอ ในบริเวณที่แคบและคดโค้งจะต้องเพิ่มกำลังคนในการควบคุมดูแล ถ้าหากมีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ไหลมารวมกันในบริเวณเหล่านี้ ไม่นานก็จะก่อตัวขึ้นเป็นเขื่อนน้ำแข็ง ซึ่งมันจะปิดกั้นทางไหลของแม่น้ำ น้ำที่ไหลมาจากต้นน้ำก็จะค่อยๆ เอ่อล้นเขื่อนกักเก็บน้ำกลายเป็นน้ำหลาก ประชาชนที่อาศัยอยู่สองริมฝั่งแม่น้ำหวงเหอก็มักจะต้องเผชิญหน้ากับมันครั้งหรือสองครั้งทุกๆ สองถึงสามปี ดูเหมือนว่าอุทกภัยเช่นนี้แทบจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย นอกจากการขุดลอกคูคลองทางน้ำ ปล่อยให้ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยไปกับสายน้ำและละลายไปตามธรรมชาติแล้ว ดูเหมือนต้าถังก็แทบจะไม่มีหนทางอะไรเลยสำหรับเรื่องนี้
เมื่อยืนอยู่ริมแม่น้ำก็จะสามารถมองเห็นเขตหานเฉิงในเขตด่านชั้นในได้ เมื่อไปถึงที่นั่นก็จะถือว่าเข้าสู่แดนกวนจงอย่างเป็นทางการ ไม่เชื่อว่าเถียนเซียงจื่อจะมีความกล้าหาญพอที่จะก้าวเข้าสู่แดนกวนจง เมื่อซีถงเข้าแดนกวนจงยังต้องปิดบังฐานะของเขา บุคคลอันตรายอย่างเถียนเซียงจื่อหากถูกทางการพบเข้า เขาจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ฆ่าที่ไม่ตายไม่เลิกรา ความน่าเกรงขามกองทหารม้ายังคงมีแสนยานุภาพที่น่ากริ่งเกรงอยู่ในตัว
ซีถงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ประคองชายชราผู้ซึ่งผมและเคราขาวโพลน ชายชราสวมชุดผ้าป่านและรองเท้าฟาง แต่บนศีรษะกลับสวมรัดเกล้าทองคำซึ่งฝังอัญมณีไว้มากมาย ไข่มุกที่ใหญ่ขนาดเท่าตามังกรโดดเด่นอยู่ด้านบนรัดเกล้า ส่องแสงแวววับอยู่รางๆ ใบหน้าของชายชรานั้นเต็มไปด้วยตกกระสีน้ำตาลเข้มของผู้สูงวัย ดวงตาที่ขุ่นเคืองคู่นั้น นี่เป็นชายชราคนหนึ่งที่กำลังใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว รัดเกล้าทองคำอันหรูหรา เสื้อผ้าป่านสีขาวและรองเท้าฟางสีทองคำ เมื่อให้ชายชราผู้นี้สวมใส่แล้วก็ดูเข้ากันดีเป็นอย่างมาก
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำรัดเกล้าทองคำอันเก่าโทรมของเขา ด้านบนมีเพียงพู่กลมสีแดงอยู่เพียงอันเดียว อีกทั้งรัดเกล้าทองคำยังกลวงอีกด้วย ในตอนที่ท่านย่าหาช่างมาทำรัดเกล้าทองคำแบบตันให้เขา เขาว่ามันหนักเกินไป ตอนนี้ดูไปแล้วมันช่างน่าขายหน้าเสียจริง
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ บนโต๊ะมีเทียบเชิญอยู่ใบหนึ่ง นอกจากวิธีการจัดส่งอันเป็นที่น่ารังเกียจแล้ว อย่างอื่นนั้นถือว่าสุภาพเป็นอย่างมาก อักษรในเทียบเชิญนั้นดูเรียบง่ายแบบโบราณและทรงพลัง เห็นได้ชัดว่านี่คือลายมือของผู้เป็นนาย
ในเมื่อท่านผู้นี้จริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องปฏิบัติตอบด้วยความสุภาพ ไม่ใช่หน้าใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงถิ่นนี้เป็นครั้งแรก อยู่ในวงราชการมาเป็นเวลาสองปี ได้สอนให้ชายหนุ่มชนชั้นกรรมาชีพผู้สัตย์ซื่อในยุคปัจจุบันคนหนึ่งกลายเป็นเจ้าคนนายคนในยุคศักดินาที่มีการแบ่งชนชั้นไปแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะแต่งชุดขุนนางไปพบเขา มีแต่การสวมชุดไปรเวทที่หรูหราที่สุดไปพบเถียนเซียงจื่อเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นการให้เกียรติ
เถียนเซียงจื่อนั้นพูดน้อยมาก บางทีอาจเพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย เพียงแค่ใช้พิธีการต้อนรับแบบธรรมดาทั่วไปก็ทำให้เขาหายใจแรงจนใจเต้นตุบตับๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่มีเสื่อผืนใหญ่ปูอยู่ผืนหนึ่ง ซึ่งด้านบนปูด้วยผ้าห่มหนาๆ ซีถงพยุงเถียนเซียงจื่อไปนั่งลงด้านหลังโต๊ะไม้เตี้ยๆ ประสานมือพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ได้พบอวิ๋นโหวช้าไปหน่อย ชาวป่าในถิ่นทุรกันดารไม่มีอะไรจะมาต้อนรับ หามาได้แค่เพียงผลไม้เล็กๆ น้อยๆ เชิญอวิ๋นโหวลองชิม”
อวิ๋นเยี่ยเฝ้ามองลูกท้อผลใหญ่และลูกแพร์ที่อยู่ในจานเบื้องหน้าจนน้ำลายไหลมานานแล้ว เมื่อได้ยินเถียนเซียงจื่อพูดเช่นนี้มีหรือยังจะทนอยู่ได้ หยิบลูกท้อลูกหนึ่งขึ้นมากัด เนื้อฉ่ำน้ำแต่ไม่ค่อยหวานเท่าไร ผลไม้เรือนกระจกที่ได้มาตรฐาน กัดไปสองคำก็เบ้ปากแล้ววางมันลง
“ฮ่าๆ เพียงแค่ผลไม้ในฤดูหนาวไม่ได้อยู่ในสายตาของอวิ๋นโหวจริงๆ ด้วย เมื่ออวิ๋นโหวกลับไปถึงฉางอันก็เริ่มปลูกผักในฤดูหนาวต่อ คิดว่าผลไม้เหล่านี้ก็เป็นของพื้นๆ ทั่วไปที่อวิ๋นโหวทานอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่”
“ของเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ผักผิดฤดูกาลของตระกูลอวิ๋นเป็นเพียงสินสอดทองหมั้นที่ข้าน้อยมอบให้กับน้องสาวในบ้าน ขอเพียงแค่อุณหภูมิพอเหมาะ ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นของวิเศษอะไรจริงๆ เหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อมาทดสอบข้าน้อย ถึงแม้ว่าข้าน้อยจะยังอ่อนเยาว์ แต่ก็เป็นคนรักษาสัจจะ เรื่องที่รับปากไว้ จะกลับคำได้อย่างไร “
“ตาแก่อย่างข้าช่างละอายยิ่งนัก ใช้ความคิดของคนต่ำช้ามาพิจารณาสุภาพชน หวังว่าอวิ๋นโหวจะอภัยให้ด้วย เหล่าเทพเซียนมีสมบัติล้ำค่าย่อมต้องหวงแหนไว้กับตน นี่คือสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหตุใดเมื่อมาถึงอวิ๋นโหวจึงยอมละทิ้งมันราวกับของไร้ค่าเช่นนี้ ตาแก่อย่างข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก หวังว่าอวิ๋นโหวจะไขความให้กระจ่าง” ขณะที่ถามประโยคนี้ จู่ๆ เถียนเซียงจื่อก็นั่งตัวตรง แววตาที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายเจิดจรัสในทันใด ราวกับว่าจะมองอวิ๋นเยี่ยให้ทะลุปรุโปร่ง
“สมบัติในใจท่านได้พรากเอาชีวิตของอาจารย์ไป และตอนนี้ เพราะสิ่งที่เรียกว่าสมบัติที่ว่านี้เกือบจะคุกคามความปลอดภัยของครอบครัวข้า สมบัติเช่นนี้ไม่ต้องการจะดีเสียกว่า ท่านเห็นมันเป็นของล้ำค่า แต่ข้ามองว่ามันคือศัตรูคู่อาฆาต ท่านอยากได้ก็เอาไปเถอะ เพียงแต่ท่านต้องให้แผนที่ที่มีรายละเอียดแก่ข้าเกี่ยวกับระหว่างทางที่พวกท่านแสวงหาวิถีเซียน จะต้องเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เมื่อกลับมาแล้วนำมามอบให้ข้าก็พอ ข้าอยากรู้เพียงว่ามีอะไรอยู่บนแผ่นดินนั้น เหมาะแก่การให้ผู้คนอยู่อาศัยหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จึงจะนับเป็นสมบัติสำหรับข้า ส่วนเรื่องเซียนนั้น อยู่ที่ว่าพวกท่านจะไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว”
——
[1] ขู่ไช่ เป็นผักป่าชนิดหนึ่งที่มีรสขม มีสรรพคุณในการลดบวม ขับพิษ สลายลิ่มเลือด
[2] ตี้กู่หลง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการขับลม แก้อาการปวดเอว ปวดขา
[3] หมาฉื่อเซี่ยน หรือ ต้นเพอร์สเลน เป็นพืชลำต้นอ่อน ก้านเลื้อยตามพื้น มีสรรพคุณรักษาโรคบิด ภายนอกใช้รักษาแผลเปื่อย
[4] ซิงซิงเฉ่า เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้ร้อนใน มักจะใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีตุ่มพุพอง