บทที่ 2055+2056

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2055 การมาถึงของเขา

ทว่าหลงซือเย่รู้จักนิสัยของสี่อารักษ์เหล่านี้เป็นอย่างดี หากกู้ซีจิ่วตกอยุ่ในกำมือของพวกเขาแล้ว ไม่ตายก็คงถูกถลกหนังขนานใหญ่!

โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่นางต้องได้รับโทษจากสี่อารักษ์ เกรงว่าพวกเขาจะฉวยโอกาสกำจัดนางเสีย!

แต่รู้แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?

ยามนี้พลังยุทธ์ของเขาต่ำต้อย ไม่มีทางปกป้องนางได้

“ครูฝึกหลง ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ปล่อยข้าไปกับพวกเขาเถอะ” กู้

ซีจิ่วเอ่ยเสียงต่ำ เธอไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้สหาย ยิ่งไปกว่านั้นคือหลงซือเย่ต้านรับสามคนนี้ไม่ไหว ถ้าเขาฝืนออกหน้าให้เธอ มีแต่จะดับอนาคตหรือดับแม้กระทั่งชีวิตของเขาเอง…

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ กู้ซีจิ่วก็รู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้นแล้ว

เธอเพียงประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสี่คนนี้จากไปแล้ว ทำไมถึงหวนกลับมาอย่างปุบปับอีกครั้งเล่า?

หรือจะมีคนแจ้งเรื่องที่เธอบาดเจ็บสาหัสให้พวกเขารู้?

ดวงหน้าหล่อเหลาของหลงซือเย่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทาง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ปล่อยให้ข้าเป็นคนพานางกลับไปเถอะ ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกัน”

เถี่ยเจิงหมดความอดทนแล้ว

“เจ้างั้นรึ? เจ้านับว่าเป็นตัวอะไรกัน?! ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนางเดิมทีก็คลุมเครืออยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เป็นพยานให้นางอีก ต้องสงสัยแล้วว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนาง! หลีกไปซะ! ถ้ายังไม่หลีกไปอีก ก็อย่าได้โทษว่าอารักษ์อย่างข้าไม่เกรงใจ!”

อารักษ์อีกสองคนที่เหลือตั้งท่าชักศาตราวุธเข้าใส่แล้ว

มีเสียงหัวเราะแผ่วเบาแว่วอยู่ไม่ไกล

“เช่นนั้นถ้าเปิ่นกงเป็นพยานให้นางด้วย จะนับว่าเปิ่นกงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่?”

สามอารักษ์พลันนิ่งงัน เงยหน้าขึ้นมอง

กู้ซีจิ่วที่เดิมทีพิงร่างของลู่อู๋อยู่ ได้ยินเสียงนี้แล้วใจสั่นแวบหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายทันที

ตี้ฝูอี!

เงยหน้ามองขึ้นไป เห็นตี้ฝูอีขี่ไป๋เจ๋อลอยอยู่กลางอากาศ หนนี้เขาสวมอาภรณ์ขาวอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก

อาภรณ์ขาวชุดนั้นเป็นสีเดียวกับเมฆาขาวกระจ่างบนท้องนภา กลางหน้าผากคาดแถบแพรไว้เส้นหนึ่ง บนแถบแพรประดับอัญมณีสีม่วงไว้เม็ดหนึ่ง อัญมณีเปล่งประกายพร่างพราว ราวกับสามารถโชติช่วงไปพร้อมกับแสงตะวันได้

เขาไม่ได้สวมหน้ากาก ดวงตากวาดมองสถานการณ์ สายตากวาดผ่านร่างของกู้ซีจิ่วไป ร่อนลงบนร่างของเถี่ยเจิง

 “อารักษ์เถี่ยเจิง จำเปิ่นกงได้หรือไม่?”

พวกเถี่ยเจิงทั้งสามไม่เคยพบเสินเนี่ยนโม่ในวัยผู้ใหญ่เลย ดังนั้นจึงจำเขาไม่ได้ แต่พวกเขาจำไป๋เจ๋อได้!

ไป๋เจ๋อเป็นสัตว์เซียนหนึ่งเดียวแห่งวังของมหาเทพ ทั่วแผ่นดินนี้ไม่มีตัวที่สองแล้ว ผู้ที่สามารถขี่หลังไป่เจ๋อได้ ซ้ำยังเรียกขานตนว่าเปิ่นกงจะยังมีผู้ใดอีกเล่า?

มีเพียงเสินเนี่ยนโม่โอรสแห่งมหาเทพและจอมมาร!

นั่นคือตัวตนที่แม้แต่จักรพรรดิเซียนก็ต้องทำความเคารพเมื่อพบหน้า สามอารักษ์จะจองหองถึงเพียงใด เมื่อพบฝ่าบาทผู้นี้ก็ทำได้เพียงเก็บเขี้ยวเล็บทั้งหมดลงไป…

“เป็น…เป็นฝ่าบาทเนี่ยนโม่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ถวายบังคมฝ่าบาท!”

อารักษ์ทั้งสามคุกเข่าลงไป

ตี้ฝูอีหลุบตามองพวกเขาอย่างเฉื่อยชา

“ถวายบังคมทำไมกัน? เปิ่นกงเป็นพยานยืนยันให้แก่แม่นางผู้นี้ เป็นพวกเดียวกับนาง เปิ่นกงส่งตัวเองมาให้พวกเจ้าจับกุมถึงที่แล้ว จะลองจับดูไหมล่ะ?”

หน้าปากเถี่ยเจิงหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ รีบเอ่ยว่า

“มิบังอาจ! มิบังอาจ! ฝ่าบาทตรัสล้อเล่นแล้ว ล้อกันเล่นแล้ว…”

ตี้ฝูอียิ้ม ด้วยรอยยิ้มของเขา ทำให้รอบข้างอบอุ่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย

“เจ้าเห็นเปิ่นกงว่างปานนั้นเชียวหรือ ถึงได้มาพูดล้อเล่นกับเจ้าได้?”

พวกเถี่ยเจิงทำได้เพียงก้มหัวแนบพื้น ไม่กล้าเปิดปากอีก

ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเฉยชาว่า

“เจ้าตั้งศาลเตี้ยใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นยังไม่พอ ยังคิดจะรีดนาทาเร้นผู้อื่นอีก คิดจะฉวยโอกาสยามผู้อื่นตกยาก เปิ่นกงเคยรู้สึกว่านั่นคือเรื่องส่วนตัวที่ช่วยไม่ได้ของสี่อารักษ์ ยามนี้เห็นทีว่าเปิ่นกงจะมองพลาดไปเสียแล้ว”

เถี่ยเจิงตัดสินใจในทันใด กัดฟันเอ่ยว่า

“ฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบนะพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้หอยยักษ์ตัวนี้จะมิใช้ผู้ร้ายในคดีสัตว์เซียนหายตัวไป แต่มันก็เขมือบเสินจวินสามคนและสัตว์เซียนที่ยอดเขาแสงอุษาแห่งนี้จริงๆ…นับว่ามีความผิด…”

————————————————————————————-

บทที่ 2056 การมาถึงของเขา 2

“ฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบนะพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้หอยยักษ์ตัวนี้จะมิใช่ผู้ร้ายในคดีสัตว์เซียนหายตัวไป แต่มันก็เขมือบเสินจวินสามคนและสัตว์เซียนที่ยอดเขาแสงอุษาแห่งนี้จริงๆ…นับว่ามีความผิด…ส่วนแม่นางกู้ท่านนี้กลับบุ่มบ่ามไม่ถามที่มาที่ไปก็ออกตัวปกป้องหอยยักษ์นั้น และยังปล่อยเข็มเงินใส่เถี่ยหลิวอารักษ์ลำดับที่สาม ดังนั้น ข้าน้อยจำต้องเชิญแม่นางท่านนี้กลับไปศาลสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ…”

ตี้ฝูอีเหลือบมองเจ้าหอยยักษ์บนร่างลู่อู๋ เจ้าหอยยักษ์ย่นคอเล็กน้อยและไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มันถึงรู้สึกยำเกรงคนผู้นี้อยู่ลึกๆ

ตี้ฝูอีเอนกายพิงแผ่นหลังไป๋เจ๋อ วางมือเท้าคางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้าหอยยักษ์ มา พูดสิ่งที่เจ้าพบเจอในช่วงหลายวันมานี้ให้เปิ่นกงฟังสักหน่อย

ขณะที่เจ้าหอยยักษ์จะเปิดปาก เถี่ยเจิงก็พูดแทรกขึ้น

“ฝ่าบาท หอยยักษ์ตัวนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก สิ่งที่มันพูดอาจไม่เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”

“มันยังไม่ได้พูด เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันโป้ปด?”

ตี้ฝูอีหรี่ตาลง

เถี่ยเจิงอึกอัก

“…นี่…นี่คือสันดานดิบของมันนี่พ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าหอยยักษ์เดือดพล่าน

“ข้าไม่มีทางโป้ปด! สิ่งใดที่ข้าทำข้ายอมรับ ลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับ!”

จู่ๆ ไป๋เจ๋อก็กล่าวขึ้น

“นายน้อย ไป๋เจ๋อทำให้ภาพฉากในตอนนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งได้”

เมื่อมันบอกวิธีการนี้ออกมาก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านอีกต่อไป

ดังนั้นไป๋เจ๋อจึงแปลงกลายเป็นมนุษย์ กระโดดขึ้นไปบนหลังของลู่อู๋ ถามเวลาโดยประมาณที่เจ้าหอยยักษ์กับเสินจวินสามคนประมือกันก่อนแล้วใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนเปลือกของเจ้าหอยยักษ์ ลำแสงสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือมัน ลำแสงสายหนึ่งจึงสะท้อนไปยังหินอ่อนก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

ภาพฉากค่อยๆ ปรากฏบนหินอ่อน สิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรกคือเจ้าหอยยักษ์ มันแปลงกายเป็นมนุษย์นั่งย่างเนื้ออยู่ในโพรงหญ้า มันอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กน้อย สวมเอี๊ยมชั้นใน เกล้ามวยผมสองจุก ผิวพรรณขาวนวลเนียนดูแล้วน่ารักมากจริงๆ…

เสินจวินทั้งสามท่านออกมาจากป่าแล้วเห็นเจ้าหอยยักษ์ที่กำลังย่างเนื้อจึงล้อมวงเข้ามาเป็นรูปใบพัดทันที

พวกเขาหลบในพุ่มไม้หนากระซิบกระซาบกันก่อน ฟังจากบทสนทนาของพวกเขารู้ได้ว่าพวกเขาเห็นเจ้าหอยยักษ์เป็นตุ๊กตาโสมที่ฝึกฝนจนมีจิตสำนึก ปรึกษากันว่าจะจับมัน ในบทสนทนายังปรึกษากันเรียบร้อยแล้วด้วยว่าจะกินมันอย่างไร

เสินจวินทั้งสามท่านดูเหมือนเป็นผู้ทรงคุณธรรม ทว่าวิธีการกินที่พวกเขาพูดถึงกลับค่อนข้างโหดเหี้ยม อย่างเช่นหัวใจของตุ๊กตาโสมเป็นส่วนที่มีพลังวิญญาณมากที่สุด จำเป็นต้องควักหัวใจออกมาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่…

ส่วนเจ้าหอยยักษ์กลับใจจดใจจ่ออยู่กับของกินเบื้องหน้าโดยไม่ทันสังเกตว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ

ผ่านไปไม่นาน เสินจวินสามท่านนี้กำลังจะโจมตีเจ้าหอยยักษ์ จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์เหมือนรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อมองไปยังทิศทางหนึ่งก็เห็นบุรุษท่ามกลางหมอกครึ้มผู้หนึ่ง…

มันมองเห็นรูปลักษณ์ของบุรุษผู้นั้นไม่ชัดเจน ทว่าไอบนร่างกายดุร้ายยิ่งนัก! ไม่ใช่คนที่มันจะมีเรื่องด้วยได้

เจ้าหอยยักษ์ดำดินไปในทันที

เสินจวินสามคนกลับมองไม่เห็นบุรุษในหมอกครึ้ม พวกเขามึนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าหอยยักษ์ดำดินหนีอย่างกะทันหัน ต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่อยากจะปล่อยเนื้อชิ้นงามที่กำลังจะเข้าปากแล้ว จึงดำดินตามไล่ล่าทันที…

เจ้าหอยยักษ์ถูกเสินจวินทั้งสามตามไล่ล่าไปยังเนินเขาลูกหนึ่ง

ตอนนั้นเจ้าหอยยักษ์กลับสู่ร่างเดิมแล้ว เสินจวินทั้งสามจึงเห็นรูปลักษณ์นี้ของมัน และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาผิดหวังเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่ตุ๊กตาโสม

ทั้งสามคนปรึกษากันเล็กน้อย พวกเขารู้สึกว่าหอยยักษ์ที่มีจิตสำนึกแล้วก็หาได้ยาก ในร่างกายต้องมีแก่นพลังเป็นแน่ และแก่นพลังหลอมเป็นโอสถวิเศษได้ เป็นตัวช่วยบำรุงพลังวิญญาณได้อย่างมหาศาล!

สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาปวดหัวก็คือพลังยุทธ์ของหอยยักษ์ตัวนี้สูงส่ง อีกทั้งยังเป็นสัตว์เซียนที่มีเจ้าของ เพราะมันบ่นพึมพำว่าอยากจะล่ากวางชะมดไปให้เจ้านายตอนมันย่างเนื้อ…

การสังหารสัตว์เซียนที่มีเจ้าของโดยไร้ซึ่งเหตุผลในแดนพ้นโศกมีความผิด และยังเป็นความผิดที่ไม่เบาทีเดียว!

…………………..