แนะนำ โดย Ink Stone_Fantasy
“อาติง เธออยู่กับฉันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันก็ทนดูไม่ได้หรอกถ้าในภายภาคหน้าเธอเป็นอะไรไป เชื่อใจฉันเถอะ เธอกับฉันมาหาเยี่ยเทียนด้วยกันปีหน้าให้เยี่ยเทียนช่วยแก้ให้หน่อย”
สิ่งที่ทำให้พวกวัยกลางคนคิดไม่ถึงก็คือถังเหวินหย่วนเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน และทำให้อาติงทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะไปต่อยังไง เพราะเขาไม่รู้ว่าตอนที่เขาออกไปทำธุระข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
“ผู้เฒ่า…เฒ่าถัง นี่…ท่านเป็นอะไรรึป่าว?”
คนวัยกลางคนรู้สึกสงสัยว่าหูของตัวเองน่าจะมีปัญหารึเปล่า เขาอยู่กับถังเหวินหยวนมายี่สิบปีกว่าปี ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย คนที่ปฎิบัติตัวกับคนอื่นอย่างแข็งกร้าวมาตลอดแต่กลับเชื่อและทำตามไอ้เด็กหนุ่มคนนี้
ถังเหวินหยวนถอนหายใจและพูดว่า “ถูกเขาเรียกขานว่าเหล่าถังมันไม่น่าขายหน้าเลย ขอแค่เขาต้องการ เขาสามารถเป็นบรรพบุรุษของสมาคมลับหงเหมินที่มีลูกศิษย์เป็นแสนคนได้ทุกเมื่อ อาติง เธออย่าไปแหย่เขานะ ไม่อย่างนั้นเธอจะทำลายกฎที่ตั้งไว้ แม้แต่ฉันก็ไม่สามารถช่วยเธอไว้นะ……”
“รุ่น”ต้า”ของแก๊งค์ชิงปัง”
หลังจากฟังถังเหวินหยวนพูดจบ อาติงอึ้งไปเลยทีเดียว เพราะเขาเคยอยู่แก๊งค์ชิงปัง อายุแค่สิบสี่สิบห้าก็ถือมีดไล่ฟันคนตามถนน ต่อมาภายหลังพวกเขาก็มีชื่อเสียงว่าขุนพลคู่ดอกไม้ และไม่รู้ว่าพวกลูกน้องมือเปื้อนเลือดไปเท่าไรแล้ว
แต่ว่าตอนอาติงอายุยี่สิบกว่าๆ เนื่องจากเกิดเรื่องเรื่องนึงทำให้เขาจำใจต้องออกจากฮ่องกง ถังเหวินหยวนชอบในความจงรักภักดีของเขาก็เลยรับมาอยู่ด้วย คนที่มาจากแก๊งค์ชิงปังเหมือนกัน ยังไงก็เข้าใจความหมายของรุ่น”ต้า”อยู่แล้ว
“เรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามพูด!”
ถังเหวินหยวนหันไปมองอาติงหนึ่งครั้ง ที่จริงแล้วเขาพูดให้เกาเฉียนจิ้นกับหลงเสี่ยเหลียนต่างหาก เขาไม่อยากให้เยี่ยเทียนรู้ว่าเรื่องนั้นหลุดจากเขาจากนั้นก็มองเขาเปลี่ยนไป
“ครับ คุณปู่ถัง พวกเราทราบดีครับ…”
เกาเฉียนจิ้นกับหลงเสี่ยเหลียนต่างก็ไม่ใช่คนในแก๊งค์ พวกเขาก็เลยไม่รู้สึกประหลาดใจเหมือนกับอาติงเท่าไหร่ และอีกไม่นานเขาทั้งสองก็จะไปอเมริกาแล้ว ส่วนใหญ่ก็พบเจอแต่คนตะวันตก อยากพูดก็พูดไม่ได้หรอก
ส่วนหลัวจื้อปิงไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกไปแน่นอน ทำเรื่องน่าอายไว้ในประเทศขนาดนี้แถมยังแหกกฎของแก๊งค์อีก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่เอาเรื่องแต่ถ้าคนในแก๊งค์รู้เรื่องละก็เขาก็จะมีจุดจบที่ไม่ดีเหมือนกัน
……
“อาจารย์พูดไว้ไม่มีผิด ถึงแม้พวกเราจะเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยที่ถูกต้องก็ตาม แต่แกะอ้วนที่ควรฆ่าทิ้งยังไงก็ต้องฆ่าอยู่ดี…”
หลังออกจาที่โรงแรม สีหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้โกรธหรือเอื่อยเฉื่อยเหมือนตอนที่อยู่ในห้อง สำหรับเรื่องวันนี้นั้นถึงแม้จะไม่ได้ดั่งใจ แต่ในอ้อมอกที่อุ้มเอกสารที่มีมูลค่ารวมแล้วกว่าหนึ่งล้านหยวนแล้วนั้น ก็ทำให้เยี่ยเทียนพึงพอใจอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นพวกต้มตุ๋นอย่างนิกายเจียงเซียง หรือหมอดูฮวงจุ้ยแบบเยี่ยเทียน สิ่งที่เป็นข้อห้ามที่เหมือนกันเลยคือคำว่า “โลภ” ตอนที่พูดกับหลงเสวี่ยเหลียนเรื่องราคาแก้ยันต์ เยี่ยเทียนรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้เก็บมาคิดตั้งนานแล้ว
นึกถึงตัวเองที่กล้าปฎิเสธเงินทองสิบล้านที่ล่อตาล่อใจเมื่อกี้ ในใจกลับคิดถึงแต่เงินแสนกว่าๆ อันน้อยนิดนี้ เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าย้อนกลับมาคิดอีกที ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหาเงินหลักสิบล้านอีกแล้วซะหน่อย
หมอดูฮวงจุ้ยหากินกับอะไรล่ะ? ก็หากินกับการดูดวงภูมิลักษณ์พยากรณ์ให้กับผู้คนนะสิ การแก้ไขโชคชะตาของคนก็เป็นหนึ่งในรายการบริการ การช่วยถังเสวียเสวี่ยแก้โรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เยี่ยเทียนพูด
การฝืนลิขิตพลิกชะตาให้กับหลี่ซั่นหยวนจนถูกฟ้าดินลงโทษ นั่นก็เป็นเพราะว่าอายุขัยของหลี่ซั่นหยวนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เท่ากับว่าไปขโมยชะตาชีวิตจากสวรรค์มาสองปี ซึ่งวิธีแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ลิขิตฟ้ายุ่งเหยิง แต่มันคือการหมุนเวียนของสวรรค์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป ผลที่ตามมาก็ต้องรุนแรงถึงที่สุดอยู่แล้ว
แต่เรื่องของถังเสวียเสวี่ยไม่เหมือนกัน ตอนที่เยี่ยเทียนทำนายโชคชะตาให้กับเธอพบว่าอายุขัยของเธอยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด ชะตากำหนดไว้แล้วจะมีคนมีคุณธรรมสูงมาช่วยแก้โรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาด และไม่ต้องถูกพลังชี่ดั้งเดิมตีกลับมาเหมือนกับครั้งที่แล้ว
เพราะเป็นแบบนั้นเยี่ยเทียนถึงได้ยอมตกลง ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เขาไม่มีมิตรภาพต่อถังเหวินหยวนเลย แม้แต่เว่ยหงจวินที่มาหาเขาให้ช่วยเหลือหลายครั้ง เยี่ยเทียนก็ไม่มีทางออกมือช่วย การช่วยเหลือคนปัดป้าเคราะห์ร้ายเสริมมงคลอยู่ทั้งวัน มีหรือที่เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจหลักการนี้?
หลังจากที่เยี่ยเทียนได้รับการสืบทอดของบรรพบุรุษแล้ว ความเข้าใจในวิชาของเขาไปไกลกว่าอาจารย์ซะอีก ขอแค่เขาสามารถทำให้วิชาที่มีอยู่แล้วทะลุอีกขั้น มีหลายสิ่งที่นักพรตเฒ่ามองว่าเป็นอุบายของการฝืนลิขิต สำหรับเยี่ยเทียนแล้วกลับเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
“ถึงเวลานั้นเก็บซักห้าสิบล้าน หรือจะเก็บซักหนึ่งร้อยล้านดี?”
เมื่อนึกถึงถังเหวินหย่วนที่เป็นคนใจกว้างในเรื่องเงินทอง ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกคันๆ ขึ้นมาไม่หยุด ผู้เฒ่าถังในสายตาของเขาก็เปรียบเสมือแกะที่อ้วนๆ ตัวหนึ่ง ของขลังหนึ่งอันยอมเสียเงินเป็นสิบๆ ล้าน แต่นี่เป็นการรักษาโรคให้หลานสาวของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าตาเฒ่าจะยอมจ่ายแค่ไหน
“แท็กซี่ เหอะ ต้องนิ่งไว้ก่อน…” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจู่ๆ ก็ลืมไปว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าตัวเอง และถูกคนอื่นแย่งไปแล้วด้วย เขาจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้
“นี่ เยี่ยเทียน รอฉันก่อน…”
เยี่ยเทียนที่กำลังจะยื่นมือไปโบกรถคันที่สอง หันหลังไปตามเสียงเรียก “เยี่ยเทียน นายจะไปไหน? ฉันจะขับรถไปส่งนาย…”
เยี่ยเทียนหันกลับไปมอง ที่แท้ก็คือหูจวิน “พี่หู ผมจะแวะไปที่ธนาคารแล้วก็กลับบ้านเลย ไม่รบกวนพี่ดีกว่า…”
หูจวินยื่นมือไปคว้าเยี่ยเทียนเอาไว้แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายพอดี ช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจเท่าไรอยากจะขอให้อาจารย์เยี่ยช่วยชี้แนะให้หน่อย…”
“อาจารย์อะไรเล่า เรียกชื่อผมก็พอแล้ว พี่หู ถ้างั้นพี่ช่วยพาผมไปที่ธนาคารนะ” ตาก็มองรถของหูจวินที่ถูกพนักงานในโรงแรมขับมาถึงตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงไม่ปฎิเสธเปิดประตูรถและขึ้นรถไปด้วยตัวเอง
จากนั้นยื่นทิปให้กับพนักงานเปิดประตู หูจวินนั่งตำแหน่งคนขับ เขาโตมาจากปักกิ่งถิ่นชาววังมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะห่างหายไปหลายปีแต่ก็ยังคุ้นเคยกับเส้นทางถนนมาก
หลังจากที่รถแล่นออกจากโรงแรม เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ อ้าปากถามไปว่า “พี่หูมีเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ใช่มั้ย?”
ดูจากใบหน้าของหูจวินแล้ว เยี่ยเทียนสามารถดูออกได้เลยว่าคนๆ นี้มีความลำบากในวัยเด็ก แต่พอถึงอายุยี่กว่าๆเมื่อโอกาสมาถึงชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป พอถึงวัยกลางคนก็ถูกกดดันจนร่ำรวย
แต่หูจวินในตอนนี้กำลังประสบอุปสรรคในชีวิตอย่างหนึ่ง ถ้าเลือกถูกก็เสมือนได้บินขึ้นฟ้า แต่ถ้าเลือกผิด ก็ยังต้องอยู่เฉยๆ อีกหลายปี
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของหูจวินก็อึ้งไปแป๊ปนึง แต่มือที่ขับรถอยู่นั้นถือว่ายังนิ่ง คิดไปคิดมามันก็ถูกนะ ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่รู้วิชาจริง กริยาของถังเหวินหยวนที่แสดงออกมาก็คงไม่ชัดเจนขนาดนั้น
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ใช่เวลาคุยเรื่องนี้กัน ในเมื่อเยี่ยเทียนเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา หูจวินก็พูดต่อทันที “เยี่ยเทียน รากฐานของฉันอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตอนนี้ธุรกิจก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด แต่ว่าช่วงนี้ผู้ใหญ่ในบ้านมาเติบโตอยู่ที่ปักกิ่ง นายคิดว่า…ฉันควรจะมาพร้อมกับพวกเขาไหม?”
คุณปู่ของหูจวินเป็นท่านแม่ทัพที่มีผลงานและมีชื่อเสียงในช่วงสร้างชาติ เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เขาได้รับผลกระทบที่หนักมาก และเขาจากโลกไปตั้งแต่ยุค 70
และพ่อของหูจวินก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องของคุณปู่ด้วย ช่วงกลางยุค 70 พ่อถูกส่งไปควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายทหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน คนที่ใช้ชีวิตในเมืองปักกิ่งตั้งแต่เด็กอย่างหูจวินก็ต้องลำบากตามพ่อไปไม่น้อย
แต่ว่าพ่อของหูจวินคนนี้โดยธรรมชาติเขาเป็นคนที่มีนิสัยหัวรั้น เขาใช้ความสามารถของตัวเองบวกกับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส ตอนอยู่ที่ค่ายเขาค่อยๆ ขยับไปทีละก้าว ยศของเขาก็ไต่ขึ้นอยู่ระดับเดียวกับพ่อที่เสียไปในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามสิบปี
เรื่องความขัดแย้งทางการเมือง หูจวินเห็นจนชินตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เพราะมีพ่อเป็นเสาหลักใหญ่แล้วธุรกิจของที่แถมตะวันออกเฉียงเหนือของจีนก็ไปได้ดี เพียงแต่ว่าไม่นานมานี้ได้รับใบสั่งย้าย ให้พ่อย้ายกลับมาที่ปักกิ่ง
ถ้าเป็นแบบนี้หูจวินก็ต้องเลือกว่า จะตามพ่อมาปักกิ่ง หรือทำธุรกิจให้เติบโตที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนต่อ?
หลายๆ ธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนอยู่ในช่วงกำลังเติบโต ถ้าหูจวินทิ้งธุรกิจที่นี่ยังไงก็ได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ถ้าหากเข้าไปเติบโตที่เมืองปักกิ่ง ก็จะมีโอกาสมากกว่าแน่นอน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สภาพแวดล้อมที่นั่นก็ซับซ้อนกว่า ตัวเลือกทั้งสองอันนี้ต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย หูจวินจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที
บังเอิญเกาเฉียนจิ้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก พูดว่าจะไปพบอาจารย์เก่งๆ คนหนึ่ง หูจวินว่างก็เลยตามมาด้วย ทำให้เขาได้เปิดโลกกว้างและได้รู้จักกับเยี่ยเทียน
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูจวิน เยี่ยเทียนเงียบไปสักพักและพูดว่า “พี่หู มีคำโบราณคำนึงไม่รู้พี่เคยได้ยินมั้ย ที่เขาเรียกกันว่า การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของคน จะทำให้คนมีโอกาสชีวิตที่ดีขึ้น ต่างกับการเติบโตของต้นไม้ถ้าย้ายไปตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมต้นไม้ก็จะตาย!”
“เคยได้ยินอยู่แล้ว เยี่ยเทียน ถ้าอย่างนั้นนายแนะนำให้ฉันย้ายใช่ไหม?” หูจวินได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้นก็เข้าใจในความหมายทันที
“เหอะเหอะ พี่หู ความหมายของคำๆ นี้อันที่จริงมันลึกซึ้งมากกว่านั้น และมันอาจจะไม่ได้หมายถึงการเคลื่อนย้ายของคนกับต้นไม้ด้วยซ้ำ มันพูดถึงว่าคนเราจะต้องอาศัยอยู่ในที่ๆ ไม่ทำให้เราพ่ายแพ้ จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อย่าเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย
เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา ที่จริงแล้วไม่ว่าหูจวินจะตัดสินใจยังไง ถึงแม้เขาจะยังไม่มาตอนนี้ แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาก็ต้องมาแน่นอน เยี่ยเทียนเพียงแค่แต้มตาให้มังกรเท่านั้น
“นายพูดถูก ฉันจะลองคิดดีดี…”
หูจวินพยักหน้าเหมือนว่ากับเข้าใจแล้ว จึงไม่ได้พูดต่ออีก และตั้งใจขับรถขึ้นมา ผ่านไปไม่นานก็ขับมาถึงหน้าประตูธนาคารที่อยู่ข้างนอกเรือนสี่ประสานที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่
เยี่ยเทียนเปิดประตูออกและพูดว่า “พี่หู ผมถึงแล้ว บ้านของผมก็อยู่ข้างในนี้ไม่ต้องส่งแล้วนะ แล้วก็เรื่องบางเรื่องทำก่อนดีกว่าทำทีหลังนะ…”
“ฉันเข้าใจแล้ว เยี่ยเทียนนี่คือนามบัตรของฉัน นายเก็บเอาไว้ ถ้าวันหลังมีเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ก็โทรมาหาพี่หูคนนี้ได้เลยนะ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หูจวินรู้สึกกระจ่างขึ้นมาทันที หยิบนามบัตรออกมายื่นให้เยี่ยเทียน เขาก็ไม่ต่างกับเกาเฉียนจิ้นที่ไม่มีเพื่อนที่ปักกิ่ง สิ่งที่จะให้เยี่ยเทียนได้ก็คือการยอมรับอย่างนึงเท่านั้น
เยี่ยเทียนไม่มีนามบัตร หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปที่เบอร์โทรของหูจวิน จากนั้นทั้งสองคนถึงแยกกัน
สำหรับดูดวงให้ฟรีในวันนี้เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้เก็บใส่ใจเท่าไร ความสัมพันธ์ทางสังคงก็เสมือนกับความร่ำรวย มูลค่าของนามบัตรใบนี้บางทีบางเรื่องก็ไม่อาจะใช้เงินทองมาวัดได้
“หนึ่งล้านสามแสนกว่า การก่อสร้างเรือนสี่ประสานน่าจะเร่งความเร็วได้แล้ว…”
หลังเดินออกมาจากธนาคาร เยี่ยเทียนก็อารมณ์ดีมาก ตอนเช้ายังรู้สึกคิดไม่ตกเรื่องเงิน ใช้เวลาไปแค่ครึ่งวันปัญหาทุกอย่างก็ถูกแก้ไขหมดแล้ว