บทที่ 621 ปลุกขวัญและกำลังใจเหล่าทหาร

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 621 ปลุกขวัญและกำลังใจเหล่าทหาร

ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่พูดคุยเรื่องแผนการของนาง นางให้อามู่ไปจัดการที่อื่น แล้วส่งมอบให้กับผู้ที่ติดตามนางอย่างลับ ๆ และซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางราษฎร

โดยปกติแล้วจะปลอมเป็นคนธรรมดา เมื่อกำแพงเมืองถูกตีแตก ฉีเฟยอวิ๋นก็จะรวมตัวกับพวกเขา และเข้าไปในเมืองเพื่อค้นหาตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่อามู่กล่าวถึง

อามู่อยู่ในแคว้นอู๋โยวเป็นเวลาสี่ปีแล้ว ในช่วงสี่ปีนั้นเขาเดินทางขอทานไปทั่วสารทิศ และเนื่องจากลักษณะพิเศษของการขอทาน อามู่จะเดินเตร่อยู่นอกกำแพงจวนของตระกูลผู้สูงศักดิ์ และเริ่มอย่างจริงจัง

เพราะนอกจวนของตระกูลผู้สูงศักดิ์จะโยนอาหารออกมา ไม่ว่าจะเป็นเศษข้าว ผลไม้เน่าเสีย หรือว่าเสื้อผ้าที่ขาดชำรุด ล้วนแต่มี

อามู่เป็นเด็กอายุหกเจ็ดขวบ เขาไม่มีความสามารถอื่น เขาติดตามยาจกที่อายุมากเพื่อขอทาน แต่ไม่ได้รับสิ่งที่ดี มักจะกินไม่อิ่มสวมเสื้อผ้าไม่อุ่น บางครั้งเพื่อหมั่นโถวสักอันก็ต้องยอมถูกทุบตีอย่างโหดเหี้ยม

คนเหล่านั้น ไม่มีใครสงสารอามู่ อามู่จึงต้องหาวิธีที่จะมีชีวิตรอด

เขายังเด็กเกินไปและไม่รู้อะไรเลย แต่เขารู้ว่าต้องกิน ครั้งก่อนเขาหยิบหมั่นโถวมาจากนอกจวนของตระกูลผู้สูงศักดิ์หนึ่งลูก หลังจากที่กินอิ่มแล้ว เขาก็หยิบเสื้อผ้ามาหนึ่งชุด

เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเด็กก็มีคนนำอาหารมาให้เขา

ด้วยเหตุนี้ อามู่จึงไปขอทานอยู่รอบ ๆ จวนของตระกูลผู้สูงศักดิ์จนเคยชิน

บางครั้งเมื่อฝนตกหนัก แล้วเขาไม่มีที่หลบฝน เขาก็จะมุดเข้าไปในรูสุนัขหลังจวนของตระกูลผู้สูงศักดิ์ และหาชายคาเพื่อหลบฝน

ดังนั้นอามู่จึงรู้ว่าจวนของใครมีเงิน จวนของใครไม่มีเงิน

แต่เรื่องการเก็บเสบียงในบ่อน้ำนั้น อามู่รู้ไม่มากนัก

การพบในครั้งนี้ ถือว่าฉีเฟยอวิ๋นโชคดีจริง ๆ

อามู่บอกว่ามีเสบียงอยู่ในบ่อน้ำ และหนานกงเย่ก็พบแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไปค้นหาที่เมืองถาถ่าน เขาพบเสบียงและสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน

เช่นนั้นจึงต้องสู้รบกับแคว้นอู๋โยว และจะต้องโจมตีไปจนถึงเมืองหลวงของแคว้นอู๋โยว

ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายการแผนการของนางและกล่าวว่า:“ท่านอ๋อง มีกำลังคนไม่เพียงพอเพคะ และเรื่องนี้ต้องถูกเก็บเป็นความลับ ดังนั้นหม่อมฉันจะหาวิธีเรียกเจ้าแห่งอีกามา และให้มันคอยตรวจตราให้พวกเรา ทำตัวเป็นโจรที่ปล้นสุสาน”

“โจรที่ปล้นสุสาน?” หนานกงเย่สงสัย คำนี้เป็นคำที่แปลกใหม่มาก และไม่เคยได้ยินมาก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายว่า:“โจรที่ปล้นสุสานเป็นประวัติอันยาวนาน ในยุคสามก๊กโจดแโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี โจโฉจัดตั้งกองกำลังทหารเพื่อไปขุดหลุมฝังศพ จากนั้นก็นำเงินและของมีค่าออกมาจากหลุมศพของผู้ที่มั่งคั่ง

คนเหล่านี้จึงเป็นโจรที่ปล้นสุสาน”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่หนานกงเย่สนใจในสิ่งที่นางพูด นางจึงอธิบายให้หนานกงเย่ฟังอย่างละเอียด

หนานกงเย่กล่าวว่า:“ดังนั้นอวิ๋นอวิ๋นจึงวางแผนที่จะจัดตั้งกำลังคนไปปล้นสุสาน เพื่อที่จะหาเสบียงและสิ่งของเหล่านั้นที่ซ่อนไว้ในจวนของตระกูลผู้สูงศักดิ์?”

“ถูกต้องเพคะ พวกเขามีอำนาจมากกว่าขุนนางที่ทุจริต หากสามารถนำสิ่งของที่อยู่ในจวนของพวกเขากลับไปได้ พวกเราก็จะมีเงินและมีเสบียง”

“พวกเขาไม่ต้องการแล้ว อวิ๋นอวิ๋นไปเอามาเถอะ แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อน และอย่าทำให้ราษฎรที่นั่นตื่นตกใจ”

“อืม ท่านอ๋อง คนของจวินโม่ซ่างมาแล้วหรือเพคะ?”

“มาแล้ว และส่งของบางอย่างมาด้วย”

“แล้วรับไว้หรือไม่เพคะ?”

“เดิมทีข้าไม่ได้ต้องการ แต่พวกเขาทิ้งไว้และจากไป หากไม่รับไว้ก็ทำอะไรไม่ได้”

“ได้ประโยชน์แล้วแสร้งทำเป็นขาดทุน”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน

หนานกงเย่กล่าวว่า:“ไม่คิดเลยว่าหลังการทั่วไปของพ่อค้าในแคว้นอู๋โยวจะแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาซ่อนสิ่งของไว้ใต้ดิน ประการแรกคือเพื่อหลบเลี่ยงหูตาของผู้คน ต่อให้โจรเข้ามาก็คงจะไม่คิดว่าพวกเขาซ่อนสิ่งของไว้ข้างใต้ ประการที่สองคือเมื่อหลบหนีไม่ทัน ก็สามารถทะลุลงไปข้างล่างได้ ข้างล่างมีรูระบายอากาศ และยังกันน้ำ ไม่ต้องพูดถึงฝนตกหนักเลย ต่อให้น้ำท่วมก็ไม่มีทางได้รับผลกระทบ

ในเวลานี้คนเหล่านั้นของแคว้นอู๋โยวต้องการที่จะจากไป และเมื่อกลับมา พวกเขาก็จะยังคงมีความมั่งคั่งเหมือนแต่ก่อน”

หนานกงเย่จูบฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ:“น่าเสียดาย ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน ท่านอ๋องถูกเอาเปรียบแล้ว”

“ข้าจะถูกเอาเปรียบได้อย่างไร?”

“ทำไมจะไม่ได้?สิ่งเหล่านี้ ท่านอ๋องจะนำออกมาหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น

หนานกงเย่ไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น:“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงจัดเตรียมคนไว้แล้วหรือไม่ และจะให้เริ่มขนของเหล่านั้นหรือไม่?”

“ในเมื่ออวิ๋นอวิ๋นรู้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องถามอีก?”

“เช่นนั้นท่านอ๋องจะส่งไปที่ไหน?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเรื่องนั้น เงินเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าน่ากลัวมากจนเกินไป มิเช่นนั้นจะถึงแก่ชีวิต

หนานกงเย่ไม่พูดอะไร และดึงผ้าห่มขึ้น:“นอนเถอะ:“

“กลางวันแสก ๆ ท่านอ๋องนอนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะ……”

“นอน!”

หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นมากอดไว้แน่น ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดังนั้นนางจึงต้องนอนเป็นเพื่อนหนานกงเย่

ช่วงนี้เหนื่อยมากเกินไป ฉีเฟยอวิ๋นทำเรื่องอย่างว่าเป็นเพื่อนเขาอีกครั้ง เมื่อรู้สึกสบายแล้วก็เผลอหลับไปในทันที

หนานกงเย่เหลือบมองที่หน้าประตู และมีการจัดยามเวรยามไว้รอบ ๆ แล้ว

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมา นางก็รู้สึกว่าร่างกายต้องเคลื่อนไหวและลุกขึ้นตาม

หลังจากที่หนานกงเย่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็เตรียมที่จะออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นก็แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้ว และต้องการจะตามไป

“ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้ารออยู่ที่นี่”

“เช่นนั้นท่านอ๋องก็ระวังด้วย!”

ฉีเฟยอวิ๋นกำชับและไม่พูดอะไรมากนัก

หนานกงเย่จ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองมองหน้ากัน แต่ฉีเฟยอวิ๋นยังคงสงบนิ่ง หนานกงเย่จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วยกมือขึ้นบีบคางของฉีเฟยอวิ๋น:“ข้าไม่ชอบที่จะไม่ได้เห็นอวิ๋นอวิ๋น”

ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของหนานกงเย่:“ข้าก็ไม่ชอบที่ต้องรออยู่ที่บ้านทั้งวันเช่นกัน ข้าไม่อยากรอเช่นนี้เลย”

หนานกงเย่รู้สึกขบขัน:“ข้าต้องไปทำเรื่องที่อันตราย หากพาอวิ๋นอวิ๋นไปด้วยแล้วเกิดอะไรขึ้น และมานึกเสียใจภายหลังคงไม่ทันแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดเช่นนั้น:“ดึกมากแล้ว ท่านอ๋องรีบไปรีบกลับนะเพคะ”

หนานกงเย่ปล่อยมือและหันหลังเดินออกจากประตู

ฉีเฟยอวิ๋นรอให้หนานกงเย่ออกไป แล้วนางก็หันกลับไปพักผ่อน

ในค่ายทหารอากาศหนาวเย็น และฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถทนกับความหนาวเย็นได้ นางจึงนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน

นางไม่ได้กินข้าวเย็นและรู้สึกหิว!

ในตอนเช้าฉีเฟยอวิ๋นหลับไปสักพัก และหนานกงเย่ก็กลับเข้ามาก่อนรุ่งสาง

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ก็ถอดเสื้อผ้าออก แล้วเดินตรงไปที่เตียง

ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือเพคะ?”

“อืม”

หนานกงเย่ไม่ได้พักผ่อนเลย และหลังจากนั้นไม่นานก็หลับไป

ฉีเฟยอวิ๋นนอนอยู่สักพัก เมื่อได้ยินเสียงว่ามีคนมา นางจึงลุกขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นสวมเสื้อผ้าและรออยู่ข้างใน หวาชิงอยู่ข้างนอกและถามว่า:“ท่านอ๋อง วันนี้ต้องไปโจมตีกำแพงเมือง เหล่าทหารกำลังรอท่านอ๋องอยู่”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่หนานกงเย่ นางกำลังจะเดินไปบอกหวาชิงว่าหนานกงเย่ท่าทางไม่ค่อยดี วันนี้ไม่ไปได้หรือไม่

แต่หนานกงเย่ก็ลุกขึ้นมาจากเตียง เขาสวมเสื้อผ้าไปพลางตอบหวาชิงไปพลาง:“รู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้”

หวาชิงลังเลอยู่ข้างนอกสักพัก จากนั้นก็หันหลังออกไปก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นเป็นกังวลเล็กน้อย:“ไหวหรือไม่เพคะ?”

“ข้าไม่ได้สู้รบ เพียงแค่ตามไปด้วย ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เป็นกุญแจสำคัญ ข้าต้องไปปลุกขวัญและกำลังใจเหล่าทหาร ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็อยู่ในกระโจมนี้และอย่าเดินเพ่นพ่าน จะได้ไม่เกิดเรื่องขึ้น”

หนานกงเย่ชี้แจ้งอย่างชัดเจน ก่อนที่จะหันหลังจากไป

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาจากไปแล้ว นางจึงอยากไปพักผ่อนเพียงลำพังสักพัก นางก็ไม่ค่อยได้นอนเช่นกัน นอนหลับพักผ่อนเสียหน่อย ไม่แน่ว่าคืนนี้นางอาจจะต้องออกรบกับหนานกงเย่อีก