บทที่ 476 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 476 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด

 

 

เสียงอุทานดังขึ้นไม่ขาดสาย

 

 

บรรดาเรือลำเล็กลำใหญ่ต่างก็ถอนสมอถอยหนีออกไปด้วยความเร็วไว

 

 

ถึงกระนั้น ก็ยังมีเรืออีกหลายลำที่ผู้คนบนนั้นมีระดับพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ พวกเขาจึงไม่สามารถต้านทานพลังกดดันที่คุกคามเข้ามาอย่างกะทันหัน และมีเพียงผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงสามารถนำเรือของตนเองรอดพ้นจากหายนะได้สำเร็จ แต่เมื่อรอดพ้นอันตรายแล้ว พวกเขาก็ยังสลัดความตกตะลึงออกไปจากจิตใจได้ไม่หมดอยู่ดี

 

 

สีหน้าของจูปี้ฉีเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

 

 

“เป็นไปไม่ได้…”

 

 

เขาระเบิดเสียงคำรามและตวัดกระบี่สายฟ้าพิโรธออกมาด้วยความฉับไว

 

 

พลังลมปราณที่เคยสูญเสียไปฟื้นคืนกลับมาเต็มอัตราอีกครั้ง พลังงานสีม่วงพุ่งเป็นลำแสงสว่างเจิดจ้า ก่อนที่มันจะรวมตัวกันกลายเป็นโล่กำบังขนาดใหญ่ยักษ์

 

 

จูปี้ฉียกกระบี่ขึ้นอยู่ในท่าที่พร้อมสำหรับการปัดป้องได้ตลอดเวลา

 

 

เปรี้ยง!

 

 

ลำแสงกระบี่สีเงินปะทะเข้ากับโล่กำบังสีม่วง

 

 

ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงพลังระเบิดตัวตูมตามสนั่นหวั่นไหว ลำแสงกระบี่ของติงซานฉือสามารถสลายโล่กำบังสีม่วงได้อย่างง่ายดาย ตัวของจูปี้ฉีกระเด็นตกลงไปในท้องทะเลพร้อมด้วยอาวุธคู่กาย แต่ผืนน้ำที่ควรจะรองรับตัวเขากลับแยกออกเป็นสองฝั่ง ส่งผลให้มือกระบี่สุราโลหิตร่วงดิ่งลงไปโดยไม่มีสิ่งใดคอยรองรับลึกมากขึ้นและมากขึ้น

 

 

นี่มันอะไรกันเนี่ย!

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองอีกแล้ว

 

 

อาจารย์ติงรับประทานยาของเขาเข้าไปแล้วใช่ไหม?

 

 

ถึงได้มีระดับพลังแข็งแกร่งขนาดนี้?

 

 

นี่คือความน่ากลัวของการโจมตีด้วยกระบวนท่าที่ 2 ใช่หรือไม่?

 

 

กระบวนท่าเดียวกัน แต่ผู้ใช้กระบวนท่าเป็นคนละคน ประสบการณ์ของผู้ใช้ก็แตกต่างกันหลายสิบปี ทำให้ประสิทธิภาพระหว่างที่ติงซานฉือกับหลินเป่ยเฉินใช้ออกมาด้วยกระบวนท่าเดียวกันนี้ จึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เห็นได้ชัดว่าอานุภาพที่ติงซานฉือสามารถแสดงให้ทุกคนเห็น แทบจะอยู่นอกเหนือขอบเขตพลังของมนุษย์แล้วด้วยซ้ำ!

 

 

บนเรือใหญ่ที่ลอยลำอยู่ห่างออกไป

 

 

คุณชายเหลียนซานก็มารับชมการประลองด้วยเช่นกัน และบัดนี้สีหน้าของเขากำลังเต็มไปด้วยความตกตะลึง

 

 

“เป็นไปไม่ได้ ติงซานฉือไม่ควรมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้”

 

 

ใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างจอมปลอมของเขาปราศจากรอยยิ้ม แววตาบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ขุ่นมัว มือของคุณชายหนุ่มกำไม้เท้าด้ามหนึ่งแนบแน่น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เหมือนกำลังชั่งใจในอะไรบางอย่าง

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในการประลองครั้งนี้เลวร้ายเกินกว่าที่เขาได้จินตนาการเอาไว้หลายเท่า

 

 

สถานการณ์ไม่เป็นใจกับพวกเขาเลย

 

 

ครืน!

 

 

ทันใดนั้น เสาน้ำทะเลก็พลันพุ่งตัวขึ้นมาจากก้นมหาสมุทรเหมือนมังกรวารีตัวหนึ่ง

 

 

“ย๊ากกก…”

 

 

เสียงคำรามกึกก้องทั่วท้องทะเลพร้อมกับที่ม่านพลังงานสีม่วงขยายครอบคลุมรอบบริเวณ

 

 

จูปี้ฉีกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งยืนอยู่บนเสาน้ำทะเลต้นใหม่ ใบหน้าของเขาไม่ว่าจะเป็นจมูกหรือปาก ล้วนเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลยุ่บยั่บ แต่พลังลมปราณที่กำลังแผ่ออกมาจากร่างกายในขณะนี้ เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่ามือกระบี่สุราโลหิตก็มีระดับพลังที่เกินขอบเขตมนุษย์แล้วเช่นกัน

 

 

“เจ้าทำให้ข้าโมโหแล้วนะ”

 

 

เสื้อผ้าของจูปี้ฉีขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี แม้ร่างกายจะมีม่านพลังสีม่วงครอบคลุม แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ว่าตามแขนขามีบาดแผลฉกรรจ์ที่เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด…

 

 

“ตายซะเถิด”

 

 

มือกระบี่เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉินโคจรพลังลมปราณด้วยความโกรธแค้น เตรียมตัวโจมตีตอบโต้กลับมาด้วยท่าไม้ตายปลิดชีพคู่ต่อสู้

 

 

ห่างออกมาไม่ไกล

 

 

“กระบวนท่านี้…”

 

 

หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “นักพรตหญิงชินขอรับ ข้าน้อยว่ากระบวนท่านี้ ท่านอาจารย์มีปัญหาแน่ๆ”

 

 

“นั่นเป็นเพราะว่ากระบี่ในมือจูปี้ฉีไม่ใช่กระบี่ทั่วไป”

 

 

นักพรตหญิงชินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย “มันเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุพลังของเทพเจ้าเอาไว้เปี่ยมล้น เหตุผลที่จูปี้ฉียอมลดตัวลงมาเป็นสุนัขรับใช้เว่ยหมิงเฉิน ก็เพราะว่าเว่ยหมิงเฉินเป็นคนมอบกระบี่เล่มนี้ให้แก่เขานั่นเอง…”

 

 

กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุพลังเทพเจ้า!

 

 

นับว่าเป็นอาวุธที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดินตงเต้า

 

 

เท่าที่หลินเป่ยเฉินสามารถจดจำข้อมูลได้จากตำราเทพเจ้า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดที่มีพลังจากเทพเจ้าประทับอยู่ด้านในนั้น ล้วนแต่มีอานุภาพวิเศษไม่ต่างจากอาวุธสวรรค์ทั้งสิ้น

 

 

จะเรียกว่ามันเป็นอาวุธสวรรค์ก็คงไม่ผิด

 

 

และนั่นก็หมายความว่าอาวุธสวรรค์ย่อมมีความแข็งแกร่งมากกว่าอาวุธทั่วไป

 

 

คิดได้ดังนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มก็ร้อนรุ่มดังไฟเผา

 

 

“อาจารย์ขอรับ ฆ่ามันให้ได้นะขอรับ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป เขายกมือป้องปากตะโกนว่า “ศิษย์อยากได้กระบี่สีม่วงเล่มนั้น!”

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม พวกเขาก็ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าขึ้นมาทันที

 

 

เล่นบอกกันตรงๆ อย่างนี้เลยหรือ?

 

 

นี่คือการประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพันระหว่างมือกระบี่อาวุโสนามกระเดื่องแผ่นดินทั้งสองท่าน แต่การที่ตะโกนออกมาว่าอยากจะครอบครองกระบี่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งตายไปแล้วนั้น ถือว่าเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีในตนเองของผู้ที่ดำรงสถานะมือกระบี่เป็นอย่างยิ่ง

 

 

นักพรตหญิงชินชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร

 

 

ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่นัก

 

 

“เจ้าคิดว่าตนเองจะใช้พลังจากกระบี่สายฟ้าพิโรธได้อีกสักเท่าไหร่กัน?”

 

 

ติงซานฉือเริ่มรวบรวมพลังลมปราณในร่างกายอีกครั้ง ปรากฏกลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันที่รอบข้อเท้าของเขา กระบี่คุณธรรมบินฉวัดเฉวียนอยู่ในอากาศทางด้านหลัง รัศมีสีเงินเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้วสำหรับการโจมตีครั้งสุดท้าย

 

 

“นี่คือกระบวนท่าสุดท้ายที่จะจบชีวิตของเจ้า”

 

 

ติงซานฉือพูดเน้นย้ำทีละคำ “กระบวนท่าที่ 3 มีชื่อว่า…”

 

 

แต่พูดยังไม่ทันจบ

 

 

ชายชราก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เพราะสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

 

 

ห่างออกไปจากจุดที่เป็นศูนย์กลางการต่อสู้ประมาณสิบลี้ อยู่ดีๆ ก็มีกองเรือหลายสิบลำปรากฏตัวขึ้นมาจากก้นทะเลด้วยความลึกลับเหนือธรรมชาติ กองเรือโบราณเหล่านั้นกำลังแล่นฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งตรงมายังจุดประลองของชายชราทั้งสองคนด้วยความเร็วเต็มอัตรา

 

 

เรือลำใหญ่ที่แล่นนำอยู่ด้านหน้าสุด เป็นเรือที่ถูกสร้างด้วยกระดูกวาฬ มันมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ประดับตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลและปะการัง ยามที่เรือลำนี้แล่นฝ่าเกลียวคลื่น สาหร่ายทะเลจะปลิวไสวตามสายลม ปะการังที่ติดอยู่ข้างตัวเรือสะท้อนประกายกับแสงแดดและน้ำทะเล เรือลำนี้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต…

 

 

ที่หัวเรือ

 

 

เฒ่าทะเลยืนอยู่บนนั้น

 

 

และข้างกายของเขาก็เป็นหญิงสาวชาวทะเลรูปร่างผอมเพรียวสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเขียว นางมีผมสีเขียวมรกตที่พันกันยุ่งเหยิงเหมือนสาหร่ายทะเล ใบหน้างดงามราวกับเป็นเทพธิดาแห่งมหาสมุทร แต่ความงดงามนั้นก็เจือปนด้วยความโดดเดี่ยวอยู่หลายส่วน ดวงตาที่เศร้าสร้อยของนางจ้องมองไปยังติงซานฉือ ผู้อยู่ห่างออกไปหลายลี้ไม่วางตา

 

 

บัดนี้ สีหน้าของติงซานฉือแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

 

ชายชราได้จะถามตัวเองว่า

 

 

นางมาที่นี่ทำไม?