บทที่ 707 ควบคุมศพ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หวังเป่าเล่อเคยใช้เมล็ดดอกบัวควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาก่อน ระหว่างการต่อสู้ในเขตจันทราเวท ชายหนุ่มบังเอิญใช้เมล็ดดอกบัวสั่งการให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีสังหารเฉินหุย ศิษย์สำนักรุ่งสางจักรพิภพภายในชั่วพริบตา!

สหพันธรัฐเองก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนคิดว่าน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆ อีกทั้งชายหนุ่มยังไม่ได้เป็นที่สนใจมากเหมือนในตอนนี้

นั่นคือครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อเข้าควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้สำเร็จ ส่วนครั้งที่สองนั้นเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน ความสำเร็จทั้งสองครั้งทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าเมล็ดดอกบัวมีพลังในการควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

เขาวางแผนเอาไว้ว่าเมื่อไปถึงสนามรบจะใช้พลังเมล็ดดอกบัวในจังหวะที่สำคัญที่สุด เพื่อจะได้ช่วยสหพันธรัฐให้ได้เปรียบในการต่อสู้ แต่…เหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป

หลังจากพิจารณาตัวเลือกต่างๆ ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เลือกปลดปล่อยพลังควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างไม่ลังเลใจ เขาบีบเมล็ดดอกบัว พลันราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ลืมตาตื่น เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากอสูรที่หลับใหลอยู่ ส่งดวงจันทร์ทั้งดวงสั่นสะเทือน

แม้ดวงจันทร์จะกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด แต่มันก็สั่นไหวไปเล็กน้อยเพราะเสียงคำราม เหล่าผู้ฝึกตนบนดวงจันทร์ต่างตื่นตกใจ หัวใจพวกเขาเต้นถี่รัวด้วยความหวั่นเกรง

ยังไม่ทันจะหายตกใจ ผืนดินใต้เท้าก็สั่นไหวอีกครั้ง ลึกลงไปในถ้ำของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี มือขนาดมหึมาที่หลังมือมีผนึกสีเขียวมากมายประทับอยู่กำลังเอื้อมออกมาจับขอบถ้ำ  ผืนดินเริ่มยุบตัวลงด้วยแรงกดจากฝ่ามือดังกล่าว ร่างขนาดใหญ่ยักษ์ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีโผล่ออกมาจากถ้ำและพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา!

เขาพุ่งขึ้นไปได้ไม่ไกลนัก เสียงโซ่ก็ดังก้องไปทั่ว ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหยุดชะงักกลางอากาศจากโซ่ตรวนที่ล่ามตรึงไว้ ดวงตาเริ่มแดงก่ำ เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

เสียงคำรามกึกก้องพัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า หวังเป่าเล่อลอยอยู่กลางศูนย์บัญชาการ เหล่าผู้ฝึกตนที่กำลังตื่นตกใจได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น

“ฟังคำสั่ง ปรับอัตราส่วนแรงผลักและเปลี่ยนจุดแรงขับเคลื่อนไปยังด้านมืดของดวงจันทร์ เตรียมตัวส่งแรงผลักอีกครั้ง!”

กลุ่มผู้ฝึกตนส่งเสียงฮือฮาเมื่อทราบว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะทำอะไร คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าสู่ดวงใจจนต้องโพล่งออกมาด้วยความตื่นตะลึง

“เขาพยายามจะใช้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเป็นตัวขับเคลื่อนดวงจันทร์หรือ”

“เจ้าเมืองหวังสามารถควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้จริงๆ ด้วย!”

ท่ามกลางเสียงฮือฮา หวังเป่าเล่อก็บีบเมล็ดดอกบัวอีกเมล็ดอย่างไม่ลังเลใจและส่งคำสั่งที่สองไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

เมื่อส่งผ่านคำสั่งไป ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนได้กลายร่างเป็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี คำสั่งเมื่อครู่คือสิ่งที่คิดอยู่ในหัว ทันทีที่ความคิดนั้นถูกส่งผ่านออกไป ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังร้องโหยหวนอยู่ก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเริ่มฉายแสงผิดแปลกไป

แสงดังกล่าวเป็นเหมือนดวงตาอีกคู่ที่กำลังมองผ่านดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี…ดวงตาอีกคู่ที่ว่าเป็นของหวังเป่าเล่อ!

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขยับร่างไปมา ก่อนจะคำรามลั่นพร้อมพุ่งทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด พละกำลังของเขาถูกฉุดรั้งไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ล่ามอยู่ พลังของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเคลื่อนผ่านโซ่ตรวนลงไปสู่ดวงจันทร์ ฉุดกระชากดวงจันทร์ด้วยพลังที่เทียบเท่ากัน

ดวงจันทร์ปรับแรงส่งพร้อมกันภายใต้คำสั่งของหวังเป่าเล่อ แรงขับเคลื่อนเต็มพิกัดผสานเข้ากับแรงดึงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทก้องไปทั่วพื้นที่ ผืนดินสั่นไหวและเริ่มปริแตก ดาวบริวารดวงนี้กำลังจะทลายออกเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้น ปราการดวงจันทร์ก็ปะทุความเร็วขึ้นทันใด!

ความเร็วที่ปะทุขึ้นนั้นสูงกว่าความเร็วตั้งตนของดวงจันทร์หลายเท่า ดวงจันทร์พุ่งไปในห้วงอวกาศ ราวกับมีผีนักซิ่งเป็นคนขับเคลื่อน!

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลายเป็นเหมือนมังกรขนาดยักษ์ครึ่งเป็นครึ่งตายที่ถูกโซ่ล่ามเอาไว้ เขากำลังลากดวงจันทร์…พุ่งแหวกจักรวาลไป!

ดวงจันทร์เดินทางข้ามอวกาศด้วยความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วเต็มพิกัดของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ เกือบจะเทียบชั้นได้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ต้องแลกมาคือเมล็ดดอกบัวที่ถูกบีบทำลายไปเมล็ดแล้วเมล็ดเล่า

ทุกคนบนดวงจันทร์สัมผัสได้ถึงความเร็วนี้ ถึงแม้จะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ก็พอจะนึกภาพออก ภาพที่ปรากฏในหัวเป็นภาพสุดตื่นตะลึงที่พวกจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!

ผู้ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คือหวังเป่าเล่อ…เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มดูลึกลับและควรค่าแก่การยกย่องในสายตาของฝูงชนบนดวงจันทร์มากขึ้นไปอีก!

ผืนจักรวาลได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามและการฉุดดึงดวงจันทร์ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี คลื่นพลังพัดกระจายไปทั่วจักรวาล เปลี่ยนห้วงอวกาศให้กลายเป็นทะเลที่มีคลื่นไหวกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง การเดินทางที่ต้องใช้เวลาถึงสี่วัน บัดนี้ลดทอนเหลือเพียงวันเดียวเท่านั้น!

หนึ่งวันอาจจะดูสั้นสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนสหพันธรัฐที่กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบ ณ ดาวศุกร์กลับเป็นช่วงเวลาอันทุกข์ทรมานที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น แนวป้องกันที่เก้าพังลงเมื่อหนึ่งวันก่อน แนวป้องกันที่แปด เจ็ด หก และห้ากำลังต่อกรกับกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลที่ไหลหลากเข้ามาไม่หยุดหย่อน

สหพันธรัฐกำลังตกที่นั่งลำบากในสงคราม ระเบิดต้านทานวิญญาณและการเตรียมตัวมาอย่างดีไม่ได้ทำให้การต่อสู้เป็นไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการสักเท่าไหร่ ทำได้เพียงต้านศัตรูไว้และยื้อเวลาออกไป ขณะที่เบื้องหน้ามีความพ่ายแพ้ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้คอยท่าอยู่

วัตถุเวทมากกว่าครึ่งถูกทำลายทิ้ง วงแหวนปราณจำนวนมากใช้การไม่ได้ จำนวนคนตายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน แต่สถานการณ์ที่เป็นรองในตอนนี้ทำให้สหพันธรัฐเริ่มท้อแท้ใจขึ้นเรื่อยๆ

ทุกคนกำลังเฝ้ารอ ไม่ได้รอให้หวังเป่าเล่อมาถึง แต่รอต้วนมู่ฉีสั่งระเบิดดาวศุกร์ ซึ่งคือจุดมุ่งหมายของศึกครั้งนี้ ทว่า…คำสั่งนั้นก็ยังไม่มาสักที

ต้วนมู่ฉีพร้อมออกคำสั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น…ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลกว่าสามร้อยคนได้พุ่งเข้ามาปะทะกับแนวป้องกันของดาวศุกร์พร้อมด้วยเรือบินรบอีกนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณห้าถึงหกคนรวมเมี่ยเลี่ยจื่อเข้าร่วมวงปะทะด้วยเช่นกัน ศัตรูรายล้อมอยู่ทั่วดาวศุกร์ ทว่า…โยวหรันกลับยังไม่ปรากฏตัว!

การที่โยวหรันยังไม่ปรากฏตัวหมายความว่าศัตรูยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังเต็มที่ ดังนั้นต้วนมู่ฉีจึงยังไม่สามารถสั่งระเบิดดาวศุกร์ได้ เขาได้บทเรียนจากดาวพุธแล้ว ในตอนนั้น โยวหรันและเรือบินรบเต๋ามรณะอันน่าพรั่นพรึงสามารถจัดการกับการระเบิดดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย

“เราจะรอจนกว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะปรากฏตัว เมื่อเขาปรากฏตัว เราจะใช้วงแหวนปราณระบบสุริยะจับเขาไว้ จากนั้นจึงค่อยระเบิดดาวศุกร์!” ต้วนมู่ฉีจ้องหน้าจอตาไม่กะพริบ ภาพสถานการณ์ในสนามรบฉายอยู่บนหน้าจอมากมายและสะท้อนอยู่ในดวงตาอันแดงก่ำของเขา ความเครียดที่ต้องแบกรับนั้นหนักหนาเกินจะรับได้ไหวแล้ว

แนวป้องกันที่สี่ทลายลงขณะที่พวกเขาเฝ้าคอยอยู่อย่างนั้น เฟิ่งชิวหรันสร้างร่างมายาห้าตนออกไปต้านศัตรูขั้นเชื่อมวิญญาณห้าคนไว้อย่างสุดความสามารถ ถึงร่างกายจะฟื้นฟูกลับมาจนมีสภาพสมบูรณ์ แต่การต่อกรกับศัตรูห้าคนก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถอยู่มาก นางยอมเอาตัวไปเสี่ยงเพื่อต้านศัตรูไว้และกันไม่ให้พวกเขาปลดปล่อยพลังได้เต็มขั้น

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาลควรจะเป็นกลุ่มที่ทำให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบในศึกครั้งนี้ แต่ทางสหพันธรัฐก็วางแผนเล็งกลุ่มนี้เป็นหลัก ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่เป็นผู้นำกลุ่มต่อสู้ย่อยได้ปล่อยระเบิดต้านทานวิญญาณตอนเริ่มศึก ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต้องมาปวดหัวกับการรับมือระเบิด การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มช่วยเหลือที่นำโดยเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีใครมีเวลาให้ได้พักหายใจ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าจะใช้ตำแหน่งของตนเองเลือกประจำอยู่ที่ฐานทัพอันปลอดภัยก็ได้ แต่สุดท้ายทั้งสองกลับเลือกที่จะเข้าไปร่วมสู้กับทัพหน้า

บรรดากลุ่มช่วยเหลือที่มีหลี่อู๋เฉินร่วมอยู่ด้วยต้องสูญเสียสหายร่วมรบไปมากมายตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทุกคนเริ่มเหนื่อยอ่อนและต้องดึงพลังออกมาใช้จนถึงขีดสุด บาดแผลบนร่างกายเพิ่มพูนขึ้น อาการบาดเจ็บเริ่มทรุดหนัก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมถอย!

กลุ่มต่อสู้ยังคงต่อกรกับศัตรูอย่างดุเดือด พวกเขาไม่มีวันทิ้งสหายและถอยหนีไป!

ดาวศุกร์คือหนึ่งในสองปราการหลักของสหพันธรัฐ มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของสหพันธรัฐ ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมแพ้และถอยหนีไปเด็ดขาด!

“อดทนไว้!” เจ้าเยี่ยเหมิงกัดฟันแน่นและพุ่งไปด้านหน้า นางช่วยสหายคนหนึ่งไว้ได้ และสกัดการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของสำนักวังเต๋าไพศาลไว้ นางดูจะรู้จักผู้ฝึกตนคนนั้น เขาเองก็เหมือนจะจำเจ้าเยี่ยเหมิงได้จึงรีบถอยไปตั้งหลัก

กงเต๋าตามหลังเจ้าเยี่ยเหมิงไปไม่ห่าง แผลตรงอกของเขาเป็นรูลึกจนมองเห็นกระดูก ชายหนุ่มสูดหายใจ กัดฟันแน่น และโยนโอสถให้ผู้ฝึกตนที่ทั้งสองเพิ่งจะช่วยชีวิตเอาไว้

ผู้ฝึกตนคนนั้นมีบาดแผลมากมายอยู่ทั่วร่าง ใบหน้าของเขาซีดเผือด ริมฝีปากเปรอะไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เขายิ้ม กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง ทันใดนั้นม่านแสงคุ้มกันของแนวป้องกันที่สี่ก็…ทลายลง!

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก สหพันธรัฐที่กำลังตกที่นั่งลำบากต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ซึ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งพุ่งออกมาจากกองทัพผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล เขาปรากฏตัวพร้อมลงมือโจมตีวงแหวนปราณที่คอยคุ้มกันแนวป้องกันที่สี่ในทันที พลังขั้นเชื่อมวิญญาณปะทุขึ้นพร้อมกับแนวป้องกันที่สี่ทลายลง

ผู้ฝึกตนที่เพิ่งปรากฏตัวคือ…เมี่ยเลี่ยจื่อนั่นเอง!

เขาพังแนวป้องกันที่สี่ หลบร่างมายาของเฟิ่งชิวหรัน และพุ่งไปยังแนวป้องกันที่สาม เมี่ยเลี่ยจื่อตั้งใจจะทำลายวงแหวนปราณทั้งหมดในพื้นที่และบังคับให้สหพันธรัฐต้องควักไพ่ตายออกมาใช้เร็วขึ้น!

“หยุดเมี่ยเลี่ยจื่อเอาไว้ให้ได้!” เสียงร้องคำรามของหลี่ซิงเหวินดังก้องทั่วแนวป้องกันที่สาม เขาพุ่งไปหาเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างรวดเร็ว ประมุขสำนักสวีรีบพุ่งตามไปเช่นกัน แต่เหมือนว่าทั้งสองจะช้าไป

แนวป้องกันที่สามกำลังจะทลายลง…ทันใดนั้นเสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังกองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักวังเต๋าไพศาล กลบความโกลาหลทั้งหมดบนสนามรบไปสิ้น!

ปราการดวงจันทร์มุ่งหน้าตรงมาจากห้วงอวกาศพร้อมส่งเสียงกัมปนาทกึกก้องไปทั่วบริเวณ!

………………………