บทที่ 2059+2060

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2059 ข้าเดินเองได้…

“ฝูอี ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามากนะ”

เธอพูดด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม

นิ้วมือตี้ฝูอีผละออกจากข้อมือนาง เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย

“ไม่เป็นไร”

แล้วหันกลับไปทางหลงซือเย่

“แม่ทัพหลงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

หลงซือเย่ชะงักงันไปครู่หนึ่ง

“ซีจิ่วเคยติดต่อกระหม่อมหลังจากมาถึงที่นี่ กระหม่อมจึงรีบตามมา”

สายตาตี้ฝูอีหันกลับไปมองหน้ากู้ซีจิ่ว ริมฝีปากหยักโค้งยิ้มมิเชิงยิ้ม

“เหตุใดจึงไม่ติดต่อข้า?”

กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา

ตี้ฝูอีจ้องมองนัยน์ตานาง สองแขนพลันกอดอก รอยยิ้มบนริมฝีปากยิ่งลึกล้ำ

“ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นคู่รักข่าวลือของเจ้าไม่ใช่หรือ?”

ถ้อยคำนี้ของเขาคล้ายแฝงความประชดประชัน

กู้ซีจิ่วทอดถอนใจ เจ้าคนผู้นี้เป็นลูกหลานของผู้ทะลุมิติมา รู้คำศัพท์สมัยใหม่มากมายยิ่งนัก

เธอกล่าวขึ้น

“ฝูอี นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ขออภัย ทำให้เจ้าต้องลำบาก…”

รอยยิ้มที่มุมปากของตี้ฝูอีพลันจางหาย กล่าวอย่างเรียบเฉย

“ขออภัยไม่มีประโยชน์!

แล้วมองนางอีกคราหนึ่ง

“เดินไหวหรือไม่?”

อาการบาดเจ็บของกู้ซีจิวควบคุมไว้ได้แล้ว ที่เหลือก็คือต้องหาสถานที่เงียบสงบสักแห่งเพื่อฝึกฝนฟื้นฟู

สถานที่แห่งนี้มีสัตว์ร้ายผ่านไปมาเป็นครั้งคราว ถึงแม้ว่ามีคนคอยคุ้มกันอยู่ที่นี่ สัตว์ร้ายไม่มีทางทำร้ายเธอได้ ทว่าหากมีการเคลื่อนไหวมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นฟูของเธอ

เห็นทีว่าจะต้องไปพักฟื้นฟูที่จวนหลงซือเย่เสียแล้ว

เธอค่อยๆ ลุกขึ้น บริเวณทรวงอกยังคงมีอาการเจ็บแปลบ เธอจึงไม่กล้าออกแรง กวักมือเรียกลู่อู๋

“ลู่อู๋ มานี่ หมอบลง”

ลู่อู๋ตัวใหญ่ ยามปกติเธอกระโดดขึ้นไปไม่มีปัญหา ทว่าตอนนี้เธอกลับไม่กล้าใช้พลังวิญญาณ ทำได้เพียงให้ลู่อู๋หมอบลงมาแล้วเธอค่อยปีนขึ้นไป

ลู่อู๋กำลังจะก้าวเข้ามา จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เดินเข้ามา สายตากู้ซีจิ่วพลันพร่ามัว ตัวคนก็ถูกเขาอุ้มขึ้นไปแล้ว

เธอล้มลงสู่อ้อมแขนเขาในทันใด นี่คือท่าอุ้มเจ้าหญิงมาตรฐาน อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ หัวใจกู้ซีจิ่วกระโดดโลดเต้น และไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ก็นึกถึงความฝันฤดูใบไม้ผลิที่วาบหวามขึ้นมา…

เขาเคยอุ้มเธอเช่นนี้ในความฝันฤดูใบไม้ผลิ…

ใบหน้าเพริศพริ้งที่เดิมทีซีดเผือดของเธอพลันแดงก่ำขึ้นมาแล้ว!

เธอดิ้นรนในอ้อมกอดของเขาโดยสัญชาตญาณ

“ข้าเดินเองได้…”

ด้วยสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้ย่อมจะดิ้นไม่หลุด วงแขนของตี้ฝูอีกระชับเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ไป๋เจ๋อ

ไป๋เจ๋อเฉลียวฉลาด รีบกลับคืนร่างเดิม ตี้ฝูอีอุ้มกู้ซีจิ่ว เรือนกายวาบไหวเหินทะยานขึ้นไป

หลงซือเย่ขมวดคิ้ว ก้าวไปด้านหน้า

“ฝ่าบาท ซีจิ่วต้องการสถานที่เงียบสงบเพื่อพักฟื้นฟูช่วงเวลาหนึ่ง ให้นางไปที่จวนของกระหม่อมจะดีกว่า…”

ตี้ฝูอีหลุบตาลงมองแวบหนึ่ง

“คู่หมั้นของเปิ่นกง เหตุใดต้องไปที่ของเจ้า? ไป๋เจ๋อ พวกเรากลับ!”

ไป๋เจ๋อส่งเสียงตอบรับ

“พ่ะย่ะค่ะ!”

มันเห็นกู้ซีจิ่วยังมีทีท่าทีจะดิ้นรน จึงรีบเอ่ยปาก

“แม่นางกู้ ตำหนักนภาลัยของพวกเราจะเหมาะสมกับการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บมากกว่า พลังวิญญาณเพียงพอ ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว!”

พลันเหินทะยานขึ้นไปบนท้องนภาแล้วหายตัวไป

หลงซือเย่นิ่งงัน เขาถึงขั้นไม่มีแม้แต่ช่องว่างที่จะคัดค้าน!

ลู่อู๋ร้อนรน แบกเจ้าหอยยักษ์ขึ้นหลังแล้วไล่ตามไป

ลู่อู๋ก็นับว่าเป็นสัตว์วิเศษที่เหินทะยานได้รวดเร็วยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับไป๋เจ๋อแล้ว มันยังห่างชั้นราวฟ้ากับเหว

ไป๋เจ๋อเป็นถึงหัวหน้าสัตว์วิเศษทั้งสี่ อีกทั้งมันยังมีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว ส่วนลู่อู๋เพิ่งจะอายุไม่กี่ร้อยปี เมื่อเปรียบกับไป๋เจ๋อแล้ว ลู่อู๋ยังเป็นแค่หญ้าอ่อนเท่านั้น…

สายลมพัดโชย เมฆาเคลื่อนคล้อย

ไป๋เจ๋อทะยานไปไม่เพียงแต่รวดเร็ว อีกทั้งยังติดตั้งเขตแดนขึ้นเองได้โดยอัตโนมัติ กู้ซีจิ่วนั่งบนหลังมันเพียงสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดโชยอ่อน ให้ความรู้สึกเสมือนลมต้นหลิวปะทะใบหน้า ไม่เหมือนการรีบเดินทางแต่อย่างใด กลับเหมือนการเดินทางท่องเที่ยวมากกว่า

ตี้ฝูอีกลับเป็นสุภาพบุรุษ หลังจากอุ้มเธอขึ้นหลังไป๋เจ๋อแล้ว

————————————————————————————-

บทที่ 2060 ไม่งั้นคงกระดากใจกันยกใหญ่!

ตี้ฝูอีกลับเป็นสุภาพบุรุษ หลังจากอุ้มเธอขึ้นหลังไป๋เจ๋อแล้ว ก็ปล่อยเธอลงให้เธอนั่งเอง เขานั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ ซ้ำยังวางโต๊ะหยกขาวน้อยๆ ตัวหนึ่งไว้ตรงกลางอย่างคล้ายจะป้องกันคำครหาอีกด้วย

ร่างจริงของไป่เจ่อใหญ่โตยิ่งนัก ใหญ่กว่าช้างไปเท่าตัว เส้นขนบนร่างก็อ่อนนุ่มยิ่ง กู้ซีจิ่วนั่งบนร่างมันแล้วเสมือนนั่งอยู่บนฟูกที่อ่อนนุ่ม สบายอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง คล้ายว่าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เธอก็เคยโดยสารร่วมกับใครบางคนเช่นนี้มาก่อน

ตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง บนโต๊ะเล็กปรากฏจานอาหารว่างสี่อย่าง สุราหนึ่งกา

หยิบจอกสุราขึ้นมาสองใบ ใบหนึ่งวางไว้ตรงหน้าตน อีกใบวางไว้ตรงหน้ากู้ซีจิ่ว

กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นว่า

“ตอนนี้ข้าดื่มสุราไม่ได้”

“รู้แล้ว ไม่ได้วางแผนจะให้เจ้าดื่มสุราหรอก”

กู้ซีจิ่วเงียบไป เช่นนั้นเจ้าเอาจอกสุรามาวางไว้ตรงหน้าข้าทำไม? ให้ข้าดมหรือไง?

ตี้ฝูอียกมือขึ้นอีกครั้งและไม่ทราบเช่นกันว่าหยิบขวดแก้วใบหนึ่งออกมาจากไหน ภายในขวดที่โปร่งใสมีของเหลวสีฟ้าอ่อนไหวระริกอยู่

เขารินของเหลวนี้ใส่จอกที่อยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว

“ดื่มนี่สิ”

อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างกระหายแล้วจริงๆ จึงไม่เกรงใจเขา เอ่ยขอบคุณคำหนึ่ง เอื้อมมือไปยกจอกขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นรสชาติของผลไม้ รสชาติไม่เลวเลย

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงดื่มน้ำผลไม้จอกนั้นจนเกลี้ยงภายในสองอึก

ตี้ฝูอีเท้าคางมองนาง

“เจ้าไม่กลัวข้าจะเล่นเล่ห์ในน้ำหรือ?”

กู้ซีจิ่วยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่

“แล้วเจ้าเล่นเล่ห์อันใดเล่า?”

“อืม บางทีข้าอาจจะใส่ยากระสันลงไปก็ได้”

ตี้ฝูอีมองนางอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม

กู้ซีจิ่วหมดคำพูดแล้ว ไอ้เด็กคนนี้เพิ่งจะหกขวบก็หยอกเอินเด็กสาวได้เก่งกาจปานนี้แล้วจริงๆ น่ะหรือ? หยอกเอิน ‘ยายเฒ่า’ คนหนึ่ง

เธอก็แย้มยิ้มเช่นกัน

“เจ้าไหนเลยจะต่ำช้าปานนั้น”

ด้วยสภาพของเธอในตอนนี้ หากเขาต้องการทำมิดีมิร้ายเธอจริงๆ ไม่จำเป็นต้องวางยาเลย

น้ำผลไม้ของตี้ฝูอีไม่เลวเลย หลังจากดื่มลงไปแล้ว ไม่เพียงแต่ดับกระหายคลายหิวได้เท่านั้น ถึงขั้นที่แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดในทรวงอกก็คล้ายจะบรรเทาลงไม่น้อยด้วยเช่นกัน

เธอดันแก้วไปด้านหน้าเล็กน้อย

“รินมาอีกจอกสิ”

เขาเกี้ยวพาหยอกเอินนางอย่างชัดเจนเช่นนี้ ทว่านางยังคงสุขุมเยือกเย็น หน้าไม่แดงลมหายใจไม่ติดขัดเลย

แววตาของตี้ฝูอีดิ่งวาบเล็กน้อย รินให้นางอีกจอกอย่างเงียบๆ

ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะดื่ม จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยถามนางประโยคหนึ่ง

“ก่อนหน้านี้ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงหน้าแดงล่ะ?”

กู้ซีจิ่วมือสั่นในทันใด น้ำผลไม้ในจอกกระฉอกออกมาสองสามหยด

ตีให้ตายเธอก็จะไม่บอกว่าตอนนั้นตนนึกถึงความฝันวาบหวามนั้น…

ไม่งั้นคงกระดากใจกันยกใหญ่!

นัยน์ตาของตี้ฝูอีจับจ้องนางอยู่ตลอด เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็หัวเราะเบาๆ

“ร้อนตัวอันใดกัน?”

ร้อนตัวกับหัวเจ้าสิ!

กู้ซีจิ่วจึงโกหกไปเสียดื้อๆ เลย

“คงจะมีสาเหตุมาจากอาการบาดเจ็บของข้ากระมัง เลือดลมเดินไม่สะดวก…”

ดังนั้นเลือดจึงสูบฉีดขึ้นหน้างั้นหรือ? กู้ซีจิ่วก็รู้สึกเช่นกันว่าคำโกหกนี้ไม่เข้าท่าเลย เธอสัมผัสได้ว่าสายตาของตี้ฝูอีจับจ้องอยู่ที่ร่างของเธอตลอด เธอถูกจ้องจนหนังหัวชาแล้ว

เธอกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ตัดสินใจเบี่ยงหัวข้อนี้ออกไปเสีย ดมสิ่งที่อยู่ในจอกอย่างละเอียด

“นี่คือน้ำผลไม้ใด?”

“น้ำผลไม้รึ?”

มุมปากตี้ฝูอีกระตุกเบาๆ

“นี่ไม่ใช่น้ำผลไม้ นี่คือน้ำทิพย์ในขวดน้ำมนต์ของเจ้าแม่กวนอิม”

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ถึงแม้โลกนี้จะมีเทพเซียนมารปีศาจเดินขวักไขว่ แต่ไม่ใช่ยุคสมัยของเทวตำนาน แผ่นดินนี้ไม่มีเจ้าแม่กวนอิม และในเมื่อไม่มีพระยูไล ถึงขั้นที่ไม่มีไท่ซ่างเหล่าจวิน นาจาอันใดเลยด้วยซ้ำ

บุคคลในเทวตำนานเหล่านั้นไม่มีตัวตนอยู่เลย แล้วเขาไปเอาน้ำทิพย์ในขวดน้ำมนต์ของเจ้าแม่กวนอิมมาจากไหน? หลอกเธอชัดๆ!

ไป๋เจ๋อทนไม่ไหวจึงเอ่ยอธิบาย

“แม่นางกู้ นี่เป็นสิ่งที่จอมมารทิ้งไว้ให้ขอรับ…

………………….