บทที่ 520 ปิดบัง

บัลลังก์พญาหงส์

หลี่เย่นิ่งไป แล้วก็เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน ในใจคิดวางแผนอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะเวลาสองวันนี้แล้ว” ในเมื่อองค์รัชทายาทไปสังเกตการณ์เหตุการณ์บรรเทาภัยพิบัติ ถ้าเช่นนั้นหลังจากสังเกตการณ์แล้ว ก็จะต้องเขียนสิ่งที่ตัวเองเห็นทันที จากนั้นก็ให้ม้าเร็วส่งกลับมาในวังหลวง 

 

 

           ฮ่องเต้ก็จะพิจารณาว่าควรเพิ่มเงินช่วยบรรเทาภัยพิบัติหรือไม่ ควรให้รางวัลหรือลงโทษข้าราชการคนใด 

 

 

           ลองคำนวณเวลาดูแล้วมากที่สุดน่าจะไม่เกินสามวัน ฎีกาขององค์รัชทายาทก็น่าจะส่งมาถึง 

 

 

           “จะรออีกหน่อยหรือไม่?” ถาวจวินหลันกัดฟันถาม ในใจของนางนั้นรู้ดีว่ารอนานไปอีกวันหนึ่งจะมีเหตุการณ์และผลลัพธ์เช่นใด แต่นางยอมเห็นแก่ตัวเล็กน้อยเพื่อหลี่เย่ 

 

 

           หลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน อยากรอดูก่อนว่าองค์รัชทายาทจะรายงานกลับมาเช่นไรแล้วค่อยว่ากัน ถ้าองค์รัชทายาทรายงานตามความเป็นจริงก็แล้วไป แต่หากองค์รัชทายาทปิดบังเหมือนกับบรรดาขุนนางข้าราชการ อย่างนั้น…นี่ก็เป็นโอกาสอันดีในการโค่นล้มองค์รัชทายาท 

 

 

           ถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ให้เขาเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย 

 

 

           แต่เขาก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “รอไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นกว่าจะไปๆ มาๆ สักครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร และการหาเงินทุนเพื่อช่วยบรรเทาภัยพิบัติก็ต้องใช้เวลา แม้ว่าจะมีเงิน อยากซ่อมแซมที่อยู่ก็ต้องใช้เวลาอยู่ดี ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ หากไม่คิดหาวิธี เกรงว่าคนล้มตายเจ็บป่วยต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน” 

 

 

           ถาวจวินหลันเม้มปาก “ตอนนี้ก็ใกล้ถึงวันที่หนาวที่สุดแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ทัน ในเมื่อไม่ทันแล้ว…” สู้รออีกสักสองวันก็คงไม่เป็นอะไร 

 

 

           นางรู้ดีว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น ตอนที่นางพูดก็รู้สึกว่าตนเองน่ารังเกียจมาก คิดไปมานางก็พูดว่า “พวกเรารับบริจาคเสื้อกันหนาวภายในเมืองหลวงได้เพคะ คนตระกูลใหญ่ล้วนมีหน้ามีตา ปีหนึ่งทำชุดกันหนาวให้บ่าวรับใช้สองชุด บ่าวรับใช้พวกนั้นก็มักจะเอาเสื้อผ้าของปีก่อนมาบริจาค คงได้บริจาคมาไม่น้อยเลย เรื่องซ่อมบ้านเรือนคงยังไม่ทัน ทำได้แค่คิดหาวิธีเพิ่มเสื้อผ้าให้มากขึ้นเท่านั้น อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นหนาวตายนะเพคะ” 

 

 

           หลี่เย่ส่ายหัว “นี่เป็นแค่น้ำน้อยแพ้ไฟเท่านั้น” เพียงแค่อาศัยการบริจาคในเมืองหลวงจะช่วยคนได้มากเท่าไรกัน? จะมีของมากสักท่าไรกัน? 

 

 

           “ไม่ใช่เพคะ พวกเราไม่เพียงแค่รับบริจาคเท่านั้น แล้วยังหาซื้อได้จากตามร้านค้าอีกด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันเอ่ยเสียงเรียบ ค่อยๆ พูดความคิดเห็นของตนเองช้าๆ “พวกเรารั้งทัพรอบุกโจมตีได้ แต่ก็สามารถติดต่อพูดคุยกับบรรดาร้านค้าเหล่านั้นให้เรียบร้อยเป็นการส่วนตัวก่อนได้ ให้พวกเขาเตรียมของเอาไว้ให้พร้อมโดยเร็ว ถึงเวลานั้นก็ให้ราชสำนักจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย” หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจิ้งผิงก็พูดว่า “ตอนนี้การซ่อมแซมบ้านเรือนไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงเตรียมแผ่นเสื่อจำนวนมากเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ของที่มากเท่ากันก็จะช่วยคนได้เยอะกว่า” 

 

 

           ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วก็นึกบางอย่างได้ “เพิงยังอุ่นไม่เท่าห้อง แต่อย่าลืมว่าก่อไฟได้”          

 

 

           ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของหลี่เย่ก็ดีขี้นมาเล็กน้อย เมื่อคิดดูแล้วเขาก็พยักหน้า ใช่แล้ว หากปิดข่าวนี้เอาไว้ก่อน แต่ลับหลังเริ่มเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไม่ถือว่าทำให้เรื่องล่าช้า แม้กระทั่งถ้าจะใช้เรื่องนี้ขัดขาองค์รัชทายาท นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่  

 

 

           แต่ไม่ว่าจะพูดให้ดูดีเช่นไร หากต้องปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ก็ไม่นับว่าเป็นการกระทำของสุภาพบุรุษ และยิ่งไม่ใช่การกระทำของบรรพบุรุษที่มีต่อประชาชน 

 

 

           หลี่เย่คิดว่าตนเองไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่เขาอยากเป็นผู้นำที่ดี และก่อนหน้านั้นเขาจะต้องกลายเป็นผู้นำเสียก่อน 

 

 

           ดังนั้นนี่เป็นตัวเลือกของเขา 

 

 

           ใจของถาวจวินหลันก็รู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้ นางรู้สึกว่าการกระทำโหดเ**้ยมและเห็นแก่ตัวทุกอย่างรวมกันก็ไม่อาจสู้วันนี้ได้ การห้ามของนางครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนตายมากมายเพียงใด 

 

 

           นางหัวเราะขมขื่น ก่อนถอนหายใจทีหนึ่ง “ปิดข่าวเอาไว้ไม่บอกใครถือเป็นบาปของพวกเรา หวังว่าท่านอ๋องจะคิดหาวิธีมาชดเชยนะเพคะ ไม่ว่าจะเป็นเงินบรรเทาทุกข์ กำจัดขุนนางทุจริต หรือวางแผนช่วยเหลือในกาลหน้า ล้วนจะต้องทำให้เหมาะสมที่สุดเพคะ” 

 

 

           “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” หลี่เย่รู้สึกใจไม่ดีเช่นกัน 

 

 

           กลับเป็นองค์หญิงเก้าที่พูดปลอบ “คนคิดทำการใหญ่ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อย คิดว่าสวรรค์เองก็คงจะรู้เรื่องนี้ ไม่มีทางโทษพี่รองเป็นแน่ อีกทั้งตอนแรกจวนตวนชินอ๋องช่วยเหลือผู้ลี้ภัยมากเพียงใด?​ ต่อให้เอาทั้งสองอย่างมาหักล้างกัน ก็หักล้างได้ไม่หมดเพคะ” พูดเยอะเช่นนี้ทำให้ลิ้นเจ็บเป็นอย่างมาก ถือว่าถึงขีดสูงสุดแล้ว 

 

 

           “แต่กลัวคนคนนั้นจะไม่ยอม” ถาวจิ้งผิงขมวดคิ้วพูดออกมา “เขาอาจจะไม่ฟัง อย่างไรเขาก็แบกคำสั่งของครอบครัวและวงศ์ตระกูลเอาไว้ เกรงว่าจะต้องคาดหวังให้บรรลุเป้าหมายโดยเร็ว และกลับบ้าน” 

 

 

           “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีทาง ทำได้แค่กักบริเวณเอาไว้เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต้องรอนาน อย่างมากก็เค่สองสามวัน” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “แต่ก็ต้องอธิบายก่อน ถึงเวลานั้นพวกเราไปอธิบายด้วยตนเอง คิดว่าจะต้องอธิบายได้เป็นแน่” 

 

 

           การกักบริเวณนั้นเป็นเพียงแผนการสำรองเท่านั้น แผนการแรกคือโน้มน้าวให้อีกฝ่ายยอมร่วมลงมือถึงจะดี มิเช่นนั้นหากเรื่องที่ปิดบังข่าวถูกเปิดเผยออกไป ชื่อเสียงของหลี่เย่ก็จะถูกทำลาย 

 

 

           หลี่เย่ครุ่นคิด พูดว่า “ข้าไปเองก็ได้แล้ว” มีเพียงแค่เขาไปด้วยตนเองถึงดูจริงใจมากที่สุด 

 

 

           พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ทำได้เพียงรอเท่านั้น 

 

 

           หลี่เย่กับถาวจิ้งผิงคิดจะออกไปทำธุระข้างนอก เรื่องการติดต่อร้านค้าจะต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว 

 

 

           ถาวจวินหลันครุ่นคิดพลางพูดกับหลี่เย่ว่า “ที่จริงนอกจากหลิวเอินแล้ว ยังลองใช้อีกคนหนึ่งได้เพคะ” 

 

 

           หลี่เย่ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง เลิกคิ้วลองถามว่า “จั่วเสี่ยนอวี้อย่างนั้นหรือ?” 

 

 

           “ใช่เพคะ เขามีเส้นสายและทรัพย์สินมากมาย ได้ความช่วยเหลือจากเขาก็ถือว่าประหยัดกำลังและเวลาไปไม่น้อย อีกทั้งถือว่าเป็นการฉวยโอกาสทดสอบเขาไปด้วย” ถาวจวินหลันพยักหน้ายอมรับ จั่วเสี่ยนอวี้แสดงท่าทีเป็นมิตรและยอมให้ความร่วมมือกับจวนตวนชินอ๋องมาตลอด แต่เรื่องที่จั่วเสี่ยนอวี้ทำมาโดยตลอดนั้นไม่ได้ถือว่าช่วยเหลือหลี่เย่มากเท่าไร และยิ่งไม่เคยทำอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะมาก่อน 

 

 

           หากครั้งนี้จั่วเสี่ยนอวี้ช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง และปิดข่าวนี้เอาไว้ได้ ต่อจากนี้จั่วเสี่ยนอวี้ก็คุ้มค่าแก่การเชื่อใจ แต่หากครั้งนี้จั่วเสี่ยนอวี้ปล่อยข่าวออกไป ก็ไม่อาจใช้งานจั่วเสี่ยนอวี้ได้อีกแล้ว 

 

 

           คนปกติไม่มีใครต้องการเสื้อนวมเก่า การเหมาซื้อจำนวนเยอะเช่นนี้ และดูจากสถานการณ์ตอนนี้ก็เดาได้ไม่ยาก จั่วเสี่ยนอวี้เป็นคนฉลาด หากเขาเอาข่าวนี้ไปบอกฮองเฮาเพื่อซื้อใจ ย่อมต้องได้รับประโยชน์มากแน่นอน 

 

 

           ทุกอย่างอยู่ที่จั่วเสี่ยนอวี้จะเลือกอย่างไรแล้ว 

 

 

           ที่จริงแล้วต่อให้เอาเรื่องนี้ไปบอกฮองเฮา ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับพวกเขามากนัก เพราะจุดสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่การนำเอาเสื้อนวมมาทำอะไร แต่เป็นเรื่องที่องค์รัชทายาทสมรู้ร่วมคิดกับพวกขุนนาง ปิดปังความจริงต่อโอรสสวรรค์ และไม่สนใจประชาชน 

 

 

           หลี่เย่ก็รู้สึกว่าไม่เลว จึงพยักหน้ารับคำ คิดไปคิดมาก็พูดว่า “ข้าให้คนเพิ่มกำลังคุ้มกัน” เพราะกลัวว่าหลังจากนางถูกทำให้ตกใจในวันนี้แล้วจะยังรู้สึกกลัว จึงได้ใช้วิธีนี้ทำให้นางรู้สึกสงบลง 

 

 

           ถาวจวินหลันพยักหน้า “พวกเขาจะเก่งกาจเช่นไร ก็ไม่มีทางทำอะไรข้าในจวนได้ ท่านไปทำธุระให้สบายใจเถิดเพคะ” 

 

 

           ไม่ใช่แค่หลี่เย่ที่ไม่สบายใจ แม้แต่องค์หญิงเก้าที่โดนลูกหลงไปด้วยก็ทำให้ถาวจิ้งผิงไม่วางใจเช่นกัน หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ถาวจิ้งผิงก็พูดว่า “วันนี้เจ้าอยู่กับพี่สาวของข้าก่อนเถิด ตกดึกข้าจะมารับเจ้ากลับบ้านพร้อมกัน” แม้จะบอกว่าเป็นห่วง แต่เขาก็อายเกินกว่าจะพูดตรงๆ จึงใช้ข้ออ้างเช่นนี้ 

 

 

           องค์หญิงเก้ากลับไม่เข้าใจ คิดแค่ว่าถาวจิ้งผิงกลัวถาวจวินหลันไม่ปลอดภัย ถึงได้ให้นางอยู่เป็นเพื่อน ตอนนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับอมยิ้มพยักหน้ารับคำ 

 

 

           หลังจากกำชับเรียบร้อยแล้ว พวกหลี่เย่ถึงได้รีบจากไปเหมือนตอนขามา แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน 

 

 

           พอทั้งสองคนออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ้มหยอกเย้าองค์หญิงเก้า “ภรรยาใครคนนั้นก็ต้องรัก น้องชายที่นิ่งเป็นท่อนไม้ของข้าเริ่มรู้จักเป็นห่วงคนแล้ว” 

 

 

           องค์หญิงเก้าเข้าใจความหมายแฝงของนาง ก็ก้มหน้าลงไปหัวเราะด้วยความเขินอาย ปากกลับพูดว่า “เขาเป็นกังวลถึงพี่เช่นท่าน” นางเจ็บลิ้นก็จริง แต่เทียบกับความเจ็บในใจไม่ได้ 

 

 

           ถาวจวินหลันคิดว่าองค์หญิงเก้าอาย จึงหัวเราะและพูดว่า “ใช่แล้วๆ เป็นห่วงข้านั่นแล แต่คนในจวนของข้ามีเยอะไป แล้วยังมีซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ไฉนเลยจะไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนข้าเล่า? กลับเป็นเจ้า พอกลับบ้านตระกูลถาวไปแล้วก็เงียบน่าดู นั่นถึงต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อน เขาบอกว่าให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า ก็เห็นได้ชัดว่าบอกให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” 

 

 

           เมื่อถาวจวินหลันหยอกเย้าเช่นนี้ องค์หญิงเก้าก็เงยหน้าขึ้น มีท่าทีเอียงอายและไม่กล้าสบตาเล็กน้อย อยากถามแต่ก็รู้สึกละอายใจ สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงก้มหน้าที่แดงก่ำลงไป 

 

 

           แม้จะบอกว่าไม่สบายใจ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังรู้สึกหวานปานน้ำผึ้ง 

 

 

           พอเห็นองค์หญิงเก้าหน้าแดงเล็กน้อย ถาวจวินหลันก็ไม่หยอกอย่างรู้งาน แล้วสั่งให้คนไปทำอาหารอ่อนมา หลังจากทั้งคู่ทานอาหารแล้วก็ไปหาซวนเอ๋อร์กับหมิงจู อยู่เล่นกันครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงเก้าดูเหนื่อยล้า ก็ให้คนพาองค์หญิงเก้าไปนอนพักกลางวัน 

 

 

           ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงเก้า แม้แต่นางเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน แต่พอขึ้นไปนอนบนเตียง ไม่ว่าจะหลับตาอย่างไรก็ยังไม่รู้สึกง่วง กลับมีแต่ภาพรถม้าน่าอนาถและกลิ่นคาวเลือดบนพื้นวนเวียนอยู่ในหัวของนาง 

 

 

           ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น แล้วให้คนไปชงชาสงบจิตมาถ้วยหนึ่ง และถามอาการของหงหลัวจากปี้เจียวและชุนฮุ่ยอีกครู่หนึ่ง พอรู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ตกใจเท่านั้น ถึงได้วางใจลง 

 

 

           วุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เริ่มรู้สึกถึงความง่วงที่ถาโถมเข้ามา หลับตาลงแล้วถึงได้ผล็อยหลับไป 

 

 

           ปี้เจียวและชุนฮุ่ยแอบถอยออกไป แล้วถอนหายใจ “ต่อจากนี้ไปจะต้องคิดหาวิธีเบนสมาธิของนายหญิงเสียหน่อยแล้ว อย่าได้พูดคำว่าเรื่องลอบสังหารต่อหน้านางหญิงอีกแม้แต่คำเดียว” 

 

 

           ชุนฮุ่ยรีบพยักหน้า “เดี๋ยวข้าจะไปบอกบรรดาบ่าวรับใช้” 

 

 

           “แล้วก็ให้เตรียมชาสงบจิตเอาไว้ตลอด สองวันนี้ไม่ต้องชงชาชนิดอื่น ให้ดื่มแค่ชานี้เท่านั้น” ปี้เจียวครุ่นคิด แล้วตัดสินใจ จากนั้นก็อดก่นด่าไม่ได้ “ไม่รู้ใครจิตใจโหดร้ายเพียงนี้ หวังว่าสวรรค์จะมีตา ฟ้าผ่าลงมาให้เขาตายไปให้รู้แล้วรู้รอด!”