บทที่ 316 หากเจ้าไม่เคารพกฎของข้า หัวเจ้าจะหลุดออกจากบ่า!
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงออกไปจากห้อง คนทั้งสามก็มองหน้ากันด้วยความรู้สึกอึ้งเล็กน้อย
หลังจากมองหน้ากันอยู่สักพัก มี่ไลก็พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าต่อไปพวกเราคงจะมีเงินใช้กันอย่างไม่ขาดมือแล้วล่ะนะ”
หลิงเทียนหยุนที่นั่งอึ้ง มองอาวุธวิเศษระดับราชันที่อยู่ในมือของเขาพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขัดแย้ง “ระดับการบ่มเพาะของข้ายังอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย แต่นางกลับมอบอาวุธวิเศษระดับราชันให้กับข้า แต่ข้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปใช้มันได้กัน!”
มี่ไลยิ้มและพูดปลอบเขา “เจ้าก็จงค่อย ๆ ฝึกฝนต่อไป ในอนาคตเจ้าจะต้องได้ใช้มันแน่นอน”
“ใช่แล้ว เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก” หลิวเฟ่ยเฟ่ยหัวเราะ “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราควรที่จะเริ่มฝึกฝนวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งกันต่อ ข้าคิดว่าเมื่อครู่ข้าเริ่มพอจะจับทางมันได้บ้างแล้ว พวกเรามาพยายามด้วยกันต่ออีกรอบ!”
เมื่อพูดจบทั้งสามคนก็เก็บสิ่งของที่ตัวเองได้รับมาและเริ่มตั้งใจฝึกฝนกันต่อ
และหลังจากนั้นสักพักใหญ่ ๆ หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และเริ่มแสดงตัวอย่างวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งให้ทั้งสามคนได้ดูกันตามเดิม
ในอีกด้านหนึ่ง เย่ชิงเฉิงยังคงไม่สามารถลบภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นางเห็นด้านในห้องของมี่ไลออกไปจากในหัวได้ นางยังคงรู้สึกงุนงงและเหลือบมองไปยังหลิงตู้ฉิงอยู่หลายต่อหลายที
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพานางไปพบกับคนของเขาจนครบทุกคนแล้ว เขาจึงถามกับนางว่า “ถ้าหากเจ้ามีคำถามอะไรที่ต้องการจะถาม เจ้าก็ถามมาได้เลยตอนนี้!”
“พวากเขากำลังฝึกวิชาอะไรกัน?” เย่ชิงเฉิงถามคำถามที่คาใจนางมากที่สุดเป็นอันดับแรกก่อน
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “พวกเขาทั้งหมดจะสามารถเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้โดยการใช้วิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง ที่พวกเขากำลังฝึกฝนอยู่แทนการใช้กุญแจเพื่อการผ่านเขตแดนเข้าไปด้านใน ดังนั้นข้าจึงเหลือสิทธิ์ในการเข้าอยู่เป็นจำนวนมากและต้องการที่จะขายมันออกไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงรู้สึกหนาวไปจนถึงขั้วกระดูก จากนั้นนางถามขึ้นว่า “วิชาที่ชื่อว่า วิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง ที่ท่านพูดถึงมันสามารถทำให้พวกเขาสามารถผ่านไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจงั้นเหรอ?”
เย่ชิงเฉิงถามด้วยความรู้สึกตกตะลึง
ในทุก ๆ สิทธิ์ที่ถูกกำหนดให้เข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้ นั้นมันหมายถึงโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนคนหนึ่งให้เปลี่ยนไปตลอดกาล ซึ่งสิทธิ์ดังกล่าวนี้มันมีจำนวนน้อยซะยิ่งกว่าน้อยหากเทียบกับจำนวนคนที่ต้องการมัน
แต่ด้วยการมีอยู่ของวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง หากสำนักไหนได้มีโอกาสเรียนรู้วิชานี้ไป และเมื่อถึงเวลาที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเปิดขึ้น นั่นมันจะไม่หมายถึงว่าสำนักนั้นสามารถส่งเหล่าศิษย์เข้าไปได้เป็นจำนวนมากจนเสมือนเป็นการผูกขาดการเป็นเจ้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับไปเลยงั้นหรือ?
“สามี ข้า…” เย่ชิงเฉิงอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่นางยังคงรู้สึกลังเล
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจนางและพูดว่า “เจ้าสามารถเรียนรู้วิชานี้ได้ แต่เจ้าไม่สามารถถ่ายทอดมันต่อให้กับบุคคลอื่นได้ ทักษะวิชานี้ต้องเป็นคนในสมาชิกครอบครัวของเราเท่านั้นที่จะสามารถมีโอกาสได้เรียนรู้มัน ส่วนเจ้าเองในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว เจ้าจึงมีสิทธิ์ได้เรียนรู้วิชานี้เช่นกันและนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ข้าต้องบังคับให้แม่ของเจ้าถอนเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนางออกไปจากห้วงจิตสำนึกของเจ้า”
เมื่อได้รู้ความลับเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงรู้ได้ทันทีว่าต่อหน้าของหลิงตู้ฉิง ฐานะของนางนั้นเป็นแค่เรื่องตลกไม่ควรค่านำมาโอ้อวดเลยแม้แต่น้อย
“สามี แล้วพี่สาวคนนั้นล่ะ?” เย่ชิงเฉิงข่มอารมณ์ดีใจของนางเอาไว้ก่อนและถามคำถามขึ้นต่อ
“นางเป็นสหายเก่า ที่ความสัมพันธ์ของข้ากับนางนั้นค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย” หลิงตู้ฉิงตอบแบบเลี่ยง ๆ
เย่ชิงเฉิงพยักหน้ารับทราบและไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับหญิงสาวผู้นั้น
ขณะนี้นางมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยแววตาชื่นชม จากนั้นจึงพูดว่า “สามี ขะ ข้าตอนนี้รู้สึกว่าข้าก็โชคดีเหมือนกันที่ท่านบังคับให้ข้าแต่งงานกับท่าน ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะไม่ได้รู้ความลับที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ว่าแต่สามี ถ้าหากข้าได้เรียนรู้วิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ของกุญแจที่ข้ามีอยู่เพื่อเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นข้าควรขายมันออกไปจะดีรึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มตอบ “ได้สิ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเราจะมีสิทธิ์ที่สามารถขายได้อีก 4 สิทธิ์”
เย่ชิงเฉิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นนางจึงเสนอว่า “สามี ในเมื่อเรามีสิทธิ์ในการเข้าอยู่ไม่น้อยเลย ถ้างั้นข้าคิดว่าข้าเองก็อยากจะคืนสิทธิ์ที่ข้าริบมามาจากศิษย์พี่ทั้งสองของข้าให้พวกเขาได้เข้าไปกันได้ทั้งคู่หมือนเดิม เพราะว่าถ้าหากไม่จำเป็นจริง ๆ ข้าก็ไม่อยากจะรบรากับพวกเขาในระหว่างที่อยู่ข้างนอกนี้เช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” หลิงตู้ฉิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
และในเวลาเดียวกับที่คนทั้งสองกำลังคุยกัน หยุนจื่อรุ่ยก็ได้เดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองและรายงานว่า “นายท่าน จักรพรรดิแห่งอาณาจักรอี้จิ๋นได้มาขอเข้าพบกับท่าน!”
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าตื่นตระหนก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เจ้าจงทำเช่นเดิมคือแจ้งให้เขามอบวัสดุมาก่อนจากนั้นค่อยให้เขาผ่านเข้ามา”
เย่ชิงเฉิงหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ท่านนี่มันจริง ๆ เลยนะ ถ้าท่านขาดแคลนวัสดุขนาดนั้น ท่านก็มาเอาจากข้าก็ได้นี่นา ข้ามีพวกมันอยู่ตั้งเยอะแยะ ท่านเป็นสามีของข้า ของของข้าก็เหมือนของของท่านนั่นแหละ”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่ใช่แบบนั้น ถ้าหากข้าไม่กำหนดกฎเช่นนี้ขึ้นมา มันจะต้องมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามมาขอเข้าพบกับข้า จนข้าได้เบื่อตายกันพอดี”
“นั่นก็จริง!” เย่ชิงเฉิงพยักหน้าเห็นด้วย
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน หยุนจื่อรุ่ยก็เดินเข้ามาด้วยด้วยอาการประหม่าพร้อมกับสีจิ้งหมิง
ด้านหลังของสีจิ้งหมิงก็มีผู้ติดตามอีกคนหนึ่งที่ดูแล้วมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาตามเข้ามาด้วย
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วมองไปยังสิ่งของในมือของหยุนจื่อรุ่ย และเอ่ยถามขึ้น “มีคนเข้ามาส 2 คน แต่ทำไมกลับมีวัสดุแค่เพียงชิ้นเดียวที่เจ้าถือมา?”
หยุนจื่อรุ่ยเหลือบมองไปยังผู้ติดตามของสีจิ้งหมิงที่เดินตามเข้ามาด้วย แต่นางก็ไม่กล้าจะเอ่ยอะไรออกมา
สีจิ้งหมิง เมื่อเขาเห็นเย่ชิงเฉิง เขาจึงกล่าวทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันที “ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าสักทีนะ น้องหญิงชิงเฉิง! ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าน้องหญิงจะมาที่อาณาจักรของข้าเช่นนี้ ข้าขอให้คำมั่นสัญญาว่าระหว่างที่เจ้าอยู่ในอาณาจักรของข้า ข้าจะทำให้เจ้าพึงพอใจให้มากที่สุด และถ้าหากน้องหญิงไม่รังเกียจ ข้าอยากจะเชิญเข้าไปเยี่ยมชมพระราชวังของข้าที่อยู่ในเมืองหลวง…”
เมื่อได้ยินคำพูดหว่านล้อมมากมายเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงคล้องแขนของหลิงตู้ฉิงทันทีและพูดว่า “พี่สี ข้าคงต้องขอปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมชมวังของท่านก่อน เนื่องจากว่าข้าและสามีของข้าพวกเรายังมีธุระที่ยังคงต้องจัดการ ข้าหวังว่าท่านคงเข้าใจ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มของสีจิ้งหมิงแข็งค้างทันที การกระทำและคำพูดของเย่ชิงเฉิงมันสื่อให้เขารู้และเข้าใจอะไรได้ทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาตรง ๆ
จากนั้นเขาจึงหันมาทางหลิงตู้ฉิง แต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้น เขากลับถูกหลิงตู้ฉิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“จื่อรุ่ย ใครคนไหนในพวกเขาที่ยังไม่ได้ให้วัสดุ? นี่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? นี่เจ้าได้อธิบายกฎการเข้ามาหาข้าให้พวกเขาได้ฟังอย่างชัดเจนแล้วรึยัง?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ แต่สายตาของเขากลับมองไปที่สีจิ้งหมิงและผู้ติดตามของเขา
หยุนจื่อรุ่ยรีบตอบกลับทันทีเมื่อเจ้านายของนางถามจบ “นายท่าน ข้าได้แจ้งกับพวกเขาไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังเขาไม่ยอมฟังข้า…”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า และพูดกับสีจิ้งหมิงกับผู้ติดตามของเขา “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้แก้ตัวอีกรอบ!”
สีจิ้งหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “น้องหลิง ข้าคือจักรพรรดิของอาณาจักรที่เจ้ากำลังอาศัยอยู่ตอนนี้! มันจะไม่เกินไปหน่อยงั้นเหรอที่เจ้ามาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าพบกับข้า ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินที่เจ้ากำลังเหยียบอยู่ตอนนี้? น้องหญิงชิงเฉิง ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคนที่เจ้าเลือกกลับเป็นคนที่ยากจนเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ลองคิดทบทวนการตัดสินใจของเจ้าใหม่อีกรอบตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป?”
สีจิ้งหมิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้วตั้งแต่ที่หน้าประตูที่เขาถูกเรียกเก็บค่าธรรม และต่อมาเมื่อเขาได้รู้ว่าเย่ชิงเฉิงได้กลายเป็นผู้หญิงของหลิงตู้ฉิงไปแล้วซะอีก เขาจึงยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปใหญ่
หลิงตู้ฉิงหรี่ตามองไปที่สีจิ้งหมิง และเอ่ยว่า “ที่ข้าให้โอกาสกับเจ้าในการแก้ตัวนั่นก็เพราะข้าเห็นแก่หน้าของชิงเฉิงภรรยาข้า แต่ในเมื่อดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นค่าของมัน แถมยังดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้ระดับการบ่มเพาะสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าในการข่มขู่ข้าอีกต่างหากสินะ?”
“หืม?” สีจิ้งหมิงขมวดคิ้วทันที เมื่อเขาได้ยินหลิงตู้ฉิงระบุระดับการบ่มเพาะของเขาได้ถูกต้อง
“เจ้าคิดว่าด้วยสถานะของเจ้าที่เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรนี้จะทำให้ข้าต้องกลัว หรือว่าสถานะที่เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักเบญจธาตุจะทำให้ข้าต้องหวั่นเกรงอย่างนั้นใช่ไหม?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น “เจ้าได้นำอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิมาด้วยรึเปล่า? เจ้าเอามันมากี่อัน? แล้วเจ้ามีโองการจักรพรรดิอยู่ด้วยไหม? และเจ้าเอามันมากี่เล่ม? หรือว่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิคนไหนได้ทิ้งเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณไว้ในตัวเจ้าบ้างไหม? ข้ารู้ว่าเจ้าจงใจที่จะแหกกฎของข้าเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของข้า แต่ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากเจ้ายังดึงดันไม่ปฏิบัติตามกฎของข้า เจ้าจะต้องเสียใจ!”
หลังจบชุดคำถาม หลิงตู้ฉิงเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันที ส่งผลให้กระบี่บินทั้ง 49 เล่มที่จัดวางไว้อยู่รอบ ๆ ลอยตัวขึ้นกลายเป็นภาพที่น่าตระกาลตา
เย่ชิงเฉิงจ้องไปที่สีจิ้งหมิง และพูดว่า “พี่สี หากท่านไม่ยอมมอบวัสดุ หัวของผู้ติดตามท่านได้หลุดออกจากบ่าแน่นอน สามีของข้าบางทีก็เป็นคนที่อารมณ์ร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งข้าเองบางครั้งก็ไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้เช่นกัน”
สีจิ้งหมิงจ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความเดือดดาลพลางคิดในใจ ‘นี่มันรู้อยู่แก่ใจแท้ ๆ ว่าสถานะของข้าเป็นใคร แต่มันยังกล้าดูหมิ่นข้าเช่นนี้อีกงั้นเหรอ?’
สีจิ้งหมิงไม่ต้องการที่จะยอมจำนน แต่ผู้ติดตามของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มดูไม่ดีเสียแล้ว เขาจึงตัดใจรีบควักเอาวัสดุระดับสวรรค์ออกมาและโยนให้หลิงตู้ฉิงทันที
ในเวลาเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงได้รับวัสดุ เขาก็ปิดการใช้งานค่ายกลลง และหันไปสั่งกับ หยุนจื่อรุ่ยว่า “ไปเขียนกฎเพิ่มเติมที่หน้าประตู เขียนไว้ให้ชัดเจน ถ้าหากใครไม่ยอมจ่ายวัสดุในการเข้าพบข้า มันผู้นั้นจะต้องเผชิญกับความตาย!”
เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ หยุนจื่อรุ่ยจึงรีบวิ่งออกไปด้านนอกเขียนกฎนี้เพิ่มที่หน้าประตูทันที
ส่วนทางด้านหลิงตู้ฉิง ขณะนี้สีหน้าท่าทางของเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นสงบนิ่งราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาพูดกับสีจิ้งหมิงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้ามาได้เวลาเหมาะพอดีจริง ๆ ข้ามีข้อเสนอการแลกเปลี่ยนที่อยากจะเสนอให้เจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะสนใจมันบ้างรึเปล่า?”
สีจิ้งหมิง เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกเช่นนี้ เขาถึงกับตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างสายฟ้าแลบของชายที่อยู่ตรงหน้าพลางคิดในใจ ‘ไอ้คนผู้นี้มันยากจนขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? กับอีแค่วัสดุระดับสวรรค์ชิ้นเดียวทำไมมันต้องเดือดดาลขนาดนั้นด้วย?’
มันก็แค่วัสดุระดับสวรรค์เพียงชิ้นเดียว แต่เจ้ากลับเลือกที่จะล่วงเกินข้า ผู้เป็นศิษย์ของสำนักเบญจธาตุเนี่ยนะ? สำนักของข้าเป็นสำนักมหาอำนาจเชียวนะ และระดับการบ่มเพาะของข้าก็อยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แถมข้ายังเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรอี้จิ๋นที่เจ้าอาศัยอยู่ตอนนี้อีกต่างหาก ด้วยสถานะของข้าที่สูงส่งขนาดนี้ เจ้ากลับไม่ไว้หน้าข้าเพราะเพียงแค่วัสดุระดับสวรรค์เพียงชิ้นเดียวน่ะเหรอ?
แต่ถึงแม้สีจิ้งหมิงยังคงรู้สึกขุ่นเคืองในใจ เขาก็ข่มอารมณ์เอาไว้และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ “การแลกเปลี่ยนอะไรที่เจ้าต้องการเจรจากับข้า?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ข้ามีสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและข้าต้องการขายมัน เจ้าสนใจที่จะซื้อมันรึเปล่า?”