ตอนที่ 7 เขากระบี่สวรรค์ โดย Ink Stone_Fantasy
วังทวีสูญ ยอดเขาหลิงอวิ๋น
ยอดเขาหลิงอวิ๋นเป็นหนึ่งในยอดเขาแขวนลอยจำนวนมากมาย ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกเป็นที่พำนัก ทั่วทั้งยอดเขามีคูหาพำนักอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทั้งยังมีหุ่นเชิดรับใช้อยู่เพียงตนเดียวเท่านั้นอีกด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วร่อนลงตรงปากคูหาพำนักบริเวณครึ่งทางลาดเขาของยอดเขาหลิงอวิ๋น
“เจ้านาย” สาวใช้ชุดเขียวเอ่ยอย่างเคารพ นางมองเจ้านายบ้านตนอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง เจ้านายบ้านตนมีความเป็นเอกลักษณ์มากอย่างแท้จริง
ผู้อาวุโสตำหนักในโดยทั่วไป ถ้าไม่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการบำเพ็ญอยู่ภายในคูหาพำนักของตัวเอง ทว่าเจ้านายบ้านตนกลับดูเหมือนว่าจะบำเพ็ญอยู่ภายในตำหนักกาลเวลาอยู่ตลอด สถานที่แห่งนั้นมีราคาแพงระยับ อย่างเช่นการบำเพ็ญหนึ่งร้อยแปดสิบล้านปีในครั้งนี้ก็จ่ายไปถึงสี่แสนห้าหมื่นแต้มความดีความชอบ ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว ผู้อาวุโสตำหนักในคนอื่นๆ อาจทำเช่นนี้บ้างเป็นระยะๆ แต่จะกล้าฟุ่มเฟือยเช่นนี้ตลอดเวลาเสียที่ไหนกัน!
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในคูหาพำนักของตนแล้วตรงไปหาที่นั่งในศาลาด้านข้างก่อนจะนั่งลงดื่มสุราตามลำพังรอคอยอย่างเงียบๆ สาวใช้ชุดเขียวมีความสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ยังคอยท่าอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ
ผ่านไปเพียงชั่วครู่
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก
“พาเขาเข้ามา” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง สาวใช้ชุดเขียวรับคำสั่งแล้วออกไปต้อนรับ เป็นคูหาพำนักของผู้อาวุโสตำหนักในหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถบุกรุกได้
เพียงไม่นานชายหนุ่มวัยเยาว์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วส่งมอบกำไลเก็บวัตถุธรรมดาๆ วงหนึ่งให้อย่างเคารพนบนอบ “ผู้อาวุโสตงป๋อ นี่คือสิ่งของที่ประมุขตำหนักสั่งให้ส่งมาขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกมา กำไลเก็บวัตถุก็ลอยตรงเข้าสู่อุ้งมือของเขา เขาหลอมรวมและตรวจดูอย่างง่ายๆ รอบหนึ่ง ภายในกำไลเก็บวัตถุมีกริชอยู่แน่นขนัดจำนวนทั้งสิ้นสามพันหกร้อยเล่ม นี่คืออาวุธมีดบินโจมตีหมู่ชุดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เงายะเยือก’ ตัวมีดบินเหล่านี้เองผนวกกับค่ายกลแล้วสามารถรวมเป็นร่างเดียวแล้วเข้าโจมตีได้
แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนใจ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญก็คืออาวุธมีดบินชุดนี้มีจำนวนมากพอดูทีเดียว! เหมาะสมกับมังกรมัจฉาปลิดชีพ หนึ่งในเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่สิ้นสุดของเขาพอดีอาวุธมีดบิน อาวุธเทพอากาศชั้นเลิศชุดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนมากเป็นที่สุดก็ยังไม่เพียงพอ เพราะวัสดุที่ใช้ผลิตทุกเล่มล้วนมีอยู่น้อยนิด จ่ายไปหกแสนแต้มความดีความชอบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังค่อนข้างเต็มใจ
ถึงอย่างไรเกราะพลก็ยังห่อหุ้มอยู่บนอาวุธอันร้ายกาจ พลังคุกคามจึงสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้! ลำพังอาศัยเพียงแค่การโจมตีของเกราะพลก็ยังอ่อนแอเกินไปสักหน่อย
ภายในกำไลเก็บวัตถุนี้นอกจากกริชแล้วก็ยังมีของเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อยู่อีกหลายชิ้น นับรวมกับมีดบิน ทั้งหมดนี้ก็ต้องจ่ายไปถึงหนึ่งล้านห้าแสนแต้มความดีความชอบ! ถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงลิ่ว แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่า ต่อให้ตนเองไม่ใช้ก็สามารถขายทิ้งเปลี่ยนมือได้ในอนาคต! ย่อมไม่มีทางขาดทุนอยู่แล้ว
“ถอยไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง
“ขอรับ” ชายหนุ่มผู้เยาว์วัยคารวะด้วยความเคารพก่อนจะก้าวถอยไป
“ดินแดนเก้าเมฆา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นรับภารกิจผ่านป้ายคำสั่งส่งสารในทันที ภารกิจของดินแดนเก้าเมฆา โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา โลกทิพย์กิเลนบูรพา และโลกทิพย์โบราณทั้งหมดต่างก็มีผู้แกร่งกล้าเข้าไปทั้งสิ้น สำนักทิพย์โบราณลัทธิจอมมารดาก็สามารถแทรกซึมเข้าไปได้เช่นเดียวกัน
หลังจากรับภารกิจแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำความคุ้นเคยกับอาวุธมีดบินเหล่านี้เล็กน้อย เขารอจนดื่มสุราหมดไปไหหนึ่งอย่างผ่อนคลายแล้วจึงค่อยยืดกายลุกขึ้น
“ถ้าหากมีสหายมาขอพบข้าก็บอกไปว่าข้าออกไปข้างนอกแล้ว ทั้งยังอาจจะออกไปข้างนอกเป็นเวลานานมากด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ชุดเขียวรับคำสั่งด้วยความเคารพ ขณะเดียวกันก็ลอบบ่นพึมพำ เจ้านายของตนผู้นี้หยุดอยู่กับที่มิได้สักเล็กน้อยเลยจริงๆ! เพิ่งออกจากการปลีกวิเวกมาก็จะออกไปอีกแล้ว ผู้อาวุโสตำหนักในท่านอื่นๆ ต่างก็ผ่อนคลายกว่ามากนัก
ฟิ้ว
สาวใช้ชุดเขียวมองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสงทะยานจากไป แต่นางกลับไม่รู้ว่าผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ มิได้สนใจกาลเวลา หากแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ในตำหนักกาลเวลาตลอดก็เพื่อประหยัดเวลา สิ่งที่เขามิอาจสูญเสียไปได้มากที่สุดก็คือเวลานี่เอง!
ศิษย์เทพแท้จำนวนมากได้พบเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวกในครั้งนี้ ก็ย่อมมีผู้อาวุโสตำหนักในจำนวนหนึ่งเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงไปพบอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่ง ‘เหลยเฉินและชิงรั่ว’ สองสามีภรรยาก็มาเยี่ยมคารวะด้วย… น่าเสียดายที่พวกเขามาคารวะแล้วจึงได้รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงออกไปข้างนอกเสียแล้ว นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าจะเนิ่นนานมากอีกด้วย! สำหรับผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าคนหนึ่งแล้ว พูดว่า ‘เนิ่นนานมาก’ โดยทั่วไปนั้นก็อาจเนิ่นนานจนเกินจริง
******
ดินแดนเก้าเมฆากว้างใหญ่ไพศาล มีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแหวกทางเชื่อมกาลมิติแล้วเดินทางไปทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆาอย่างไม่หยุดหย่อนก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน เนิ่นนานเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ บุคคลที่ในความจริงแล้วเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดซึ่งอยู่อย่างสันโดษในดินแดนเก้าเมฆา… เทพจักรวาล ‘บรรพชนกฎฉุนอี’ ได้มีคำสั่งลงมาก่อนแล้วว่าห้ามสร้างค่ายกลส่งถ่ายมิติ! เช่นภายในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าต่างก็มีค่ายกลส่งผ่านอยู่เป็นจำนวนมาก การเดินทางยังยากเย็นถึงเพียงนั้น แต่ดินแดนเก้าเมฆากลับไม่มีค่ายกลส่งผ่าน การเดินทางก็ต้องยากเย็นยิ่งกว่า นี่ก็คือสิ่งที่บรรพชนกฎฉุนอีทำให้ดินแดนเก้าเมฆามีความยากในการแทรกซึมของสองขุมอำนาจใหญ่มากยิ่งขึ้น!
ไม่มีค่ายกลส่งผ่าน ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดอย่างแท้จริงที่สองขุมอำนาจใหญ่ส่งมา สุดท้ายก็มีจำนวนเพียงน้อยนิด แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าธรรมดาทั่วไป… ก็ย่อมมิอาจสั่นคลอนอำนาจของทั้งดินแดนเก้าเมฆาได้ ถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าในท้องถิ่นก็มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวเช่นเดียวกัน มีแม้กระทั่งขั้นอลวนถือกำเนิดขึ้น
“โครม…”
ท่ามกลางห้วงมิติที่บิดเบี้ยวมีเงาร่างของบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นแล้วฟื้นฟูขึ้นมาพร้อมกับห้วงมิติโดยรอบ
“ดินแดนเก้าเมฆาหรือ” บนใบหน้าของบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้สวมหน้ากากสีเงิน เปลี่ยนเป็นผมสีขาว อีกทั้งยังสวมหน้ากากก็เพื่อให้มิถูกจดจำรูปโฉมได้ กับสำนักทิพย์โบราณนั้นเขายังคงระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง มองไปรอบสี่ทิศ แรงกดดันของกฎเกณฑ์ฟ้าดินทางนี้ก็แกร่งกล้าเป็นที่สุดอ่อนแอกว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้กลิ่นอายอันไพศาลของห้วงฟ้าดินนี้ยังดูเหมือนจะสบายกว่าอีกด้วย
“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นชิ้นส่วนของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ถึงแม้จะเล็กกว่าโลกทิพย์อยู่สักหน่อย แต่กลิ่นอายกลับมีผลหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนหนึ่งเป็นอย่างมาก แต่จะช่วยขั้นเทพอากาศได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบตัดสินอย่างลับๆ ว่าการบำเพ็ญในระดับล่างของดินแดนเก้าเมฆาแห่งนี้ยังร้ายกาจกว่าโลกทิพย์อยู่สักหน่อย
“การมาเยือนดินแดนเก้าเมฆาช่างผ่อนคลายนัก ได้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ช่วยเหลือก็สามารถส่งตัวมาได้โดยตรง แต่การกลับไปนั้นยุ่งยากเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ
ทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆามียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอยู่จำนวนน้อยนิดเท่านั้น
ผู้ที่รู้เรื่องการส่งตัวผ่านระยะทางไกลก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว! ถึงแม้ว่าบรรพชนกฎฉุนอีจะเป็นเทพจักรวาลก็ไม่สามารถทำได้ การที่ตนจะกลับไปยังวังทวีสูญก็ได้แต่เดินทางข้ามผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น
“เฮ้อ…”
“ดินแดนเก้าเมฆา…”
“ระดับความอันตรายของที่นี่มิได้มากไปกว่าชายขอบของห้วงอากาศเลย! แต่ก็ยังนับว่าเหมาะสมกับข้า ทุ่มเทกำลังทั้งหมดดีกว่า กอบโกยศิลาปฐมโลกาจากที่นี่ให้ได้มากที่สุด”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
พรึ่บ
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปกลางอากาศแล้วเริ่มต้นหลบหลีกในอากาศ
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ความสำเร็จในสายผู้ท่องอากาศของเขาจะสามารถแหวกทางเชื่อมกาลมิติออกมาได้แล้วก็ตาม แต่เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการดูอย่างละเอียด ก่อนอื่นเขาต้องระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของบริเวณรอบๆ ตนให้ได้เสียก่อน ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่งตัวผ่านระยะทางไกลก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้แผนที่ดินแดนเก้าเมฆาที่วังทวีสูญมอบให้นั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ยังไม่ค่อยละเอียดสักเท่าใดนัก เพียงแค่บันทึกจุดสังเกตและขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งเอาไว้เท่านั้น! สำหรับขุมอำนาจขนาดเล็กและอ่อนแออย่างนั้นหรือ มีความเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป
“ฟิ้ว”
เรือใหญ่อันหรูหราลำหนึ่งลอยเคลื่อนอยู่กลางฟากฟ้าเบื้องบน บนเรือยังมีองครักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก องครักษ์ล้วนเป็นระดับเทพแท้ นอกจากนี้หัวหน้าองครักษ์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือยังเป็นระดับเทพอากาศอีกด้วย
“หืม ภายในเรือบินลำนี้มีเทพอากาศอยู่ถึงเก้าคน และยังมีแม้กระทั่งขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่คนหนึ่งด้วยอย่างนั้นหรือ จะต้องเป็นขุมอำนาจสักแห่งหนึ่งแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านอากาศตรวจตราโดยรอบสี่ทิศโดยหมายจะกำหนดตำแหน่งเคลื่อนที่ผ่านอากาศแล้วพลันตรวจพบเรือบินลำนี้เข้า ขั้นรวมเป็นหนึ่งต่างก็นับเป็นยอดฝีมือในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ก็ย่อมเป็นยอดฝีมือในดินแดนเก้าเมฆาเช่นเดียวกัน
หากเป็นสถานที่เล็กๆ เหมือนกับที่แผ่นดินอลหม่านและในจักรวาล ก็ต้องเป็นของมหาอำนาจที่ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าแล้ว
“สามหาวนัก!”
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของเรือบิน เหล่าองครักษ์ของเรือบินที่พบเห็นก็อดที่จะตะคอกมิได้ ถึงแม้ว่าจะตะโกนอย่างเดือดดาลแต่องครักษ์เหล่านี้ก็เข้าใจดีว่ามิอาจยั่วยุบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ได้ เพราะตามปกติแล้วขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้นที่จะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แน่นอนว่าขั้นกำเนิดที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญทางด้านห้วงอากาศจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแล้ว
เพียงไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากภายในเรือใหญ่ ผู้ที่นำมาก็คือสตรีอาภรณ์สีแดงนัยน์ตาสุกสกาวคนหนึ่ง นางมองดูบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวที่อยู่นอกเรือใหญ่
“เจ้าเป็นใครกัน บังอาจมาขัดขวางเรือรบของเขากระบี่สวรรค์ของข้า” สตรีอาภรณ์สีแดงเอ่ยปากพูด
………………………………..