ส่วนที่ 5 บทที่ 1 เพื่อโลกใบใหม่ โดย Ink Stone_Fantasy
ในดงป่าใต้หน้าผาสูงชันของสำนักฝึกบาทหลวง มีบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ในเงาร่มไม้ที่พลิ้วไหวไปมาแถวนี้
“ยังเงียบเหมือนเดิมเลยนะ สำนักฝึกบาทหลวงถ้ำคีฟเปเชิร์สกลาวรา”
ลามีอัสวางกล้องส่องทางไกลในมือลง แล้วกระโดดลงมาจากต้นไม้ ตอนที่ลงมา ตรงชายเสื้อคลุมยาวสีดำของซิสเตอร์ก็พองตามลมที่ตีเข้ามา
แม้จะเห็นขาอ่อนบอบบางกลางอากาศ แต่คนที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่คิดจะจ้องมองเรียวขาคู่นั้นเลย
อย่างแรก ไม่มีใครกล้าไปยั่วแหย่คุณซิสเตอร์คนนี้ อย่างที่สอง พวกเขาไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นด้วย
ลามีอัสงอขาเล็กน้อยในวินาทีที่สองขากำลังจะแตะพื้น เพื่อช่วยลดแรงกระแทกตอนถึงพื้น แล้วซิสเตอร์จากสมาคมนักบวชชุดดำก็เดินมุ่งหน้าไปทางเต็นท์ที่ปักหลักอยู่ที่นี่
พวกเขามาสอดแนมดูสำนักฝึกบาทหลวงนี้สักระยะแล้ว
“สนามแม่เหล็กยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยเหรอ?”
ช่วงหลายวันมานี้ ลามีอัสจะถามคนในเต็นท์ด้วยคำถามเดิมๆ แทบจะทุกวัน จนซิสเตอร์คนนี้เริ่มหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด
ตอนทำภารกิจในโรมาเนีย แม้ว่าลามีอัสจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ราบรื่น แต่เธอก็รู้สึกถึงเรื่องประหลาดด้วยเช่นกันอย่างเช่นเรื่องที่ปืนพกของเธอหล่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่เธอก็ไม่ได้ติดใจอะไร ถึงยังไงภารกิจของสมาคมนักบวชชุดดำก็สำเร็จลุล่วง อีกทั้งโจนาธานยังได้รับผลกรรมที่เขาก่อไว้แล้วเช่นกัน
แต่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ เธอเพียงแค่ต้องหาของบางอย่างในสำนักฝึกบาทหลวงแห่งนี้ ตอนแรกกำหนดเวลาทำภารกิจไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยมีเหตุพิเศษบางอย่างจึงต้องดองภารกิจไว้ก่อน
เนื่องจากเครื่องตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของลำแสงศักดิ์สิทธิ์ บังเอิญตรวจจับรังสีสนามแม่เหล็กอันแรงกล้าได้จากสำนักฝึกบาทหลวง พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์ของสนามแม่เหล็กสูงมาก จนสมาคมนักบวชชุดดำไม่สามารถจัดการได้
“ทูตสวรรค์มาถึงแล้ว”
ซิสเตอร์เคยได้ยินมาบ่อยสมัยยังฝึกฝนอยู่ในสมาคมนักบวชชุดดำ ว่าตอนที่ค่าสัมประสิทธิ์สนามแม่เหล็กมาถึงระดับนี้ โอกาสที่ทูตสวรรค์จะปรากฏตัวออกมาก็มีมาก
เจ้าหน้าที่ในเต็นท์ถอดหูฟังบนหัวออก แล้วหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าจนใจว่า “ทุกอย่างยังปกติดีเหมือนเมื่อวานเลยครับ แต่จากการคำนวณดูแล้ว ระดับความเข้มข้นด้านในตัวโบสถ์เหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า…คุณลามีอัส พวกเราไม่ลองยื่นเรื่องขอกำลังเสริมจากสำนักงานใหญ่ดูเหรอครับ?”
ซิสเตอร์ตอบเสียงเรียบ “ถ้านายคิดว่าสำนักงานใหญ่เจียดคนมาช่วยเพิ่มได้ ฉันก็ไม่ว่าอะไรถ้านายจะยื่นเรื่องตอนนี้ แถมยังยินดีมากด้วย”
“ผมก็แค่…ลองถามดูเท่านั้นเอง”
เขารู้ดีว่าช่วงนี้สมาคมนักบวชชุดดำกำลังขาดกำลังคน
อีกทั้งยังได้ยินมาว่า ทีมขุดค้นซากวัตถุโบราณของสำนักงานใหญ่หายไปในทุ่งกว้างของอูลานบาตาร์ หลังจากส่งกำลังเสริมอีกจำนวนหนึ่งไปช่วย กลับขาดการติดต่อไปทั้งหมด และก็ไม่รู้ว่าคนที่เหลือเป็นอย่างไรกันบ้าง
แน่นอนว่า สำหรับพนักงานในระดับรากหญ้าแล้ว เรื่องพวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลที่เขากับเพื่อนร่วมงานพูดคุยกันระหว่างเวลาพักสั้นๆ เท่านั้น…เรื่องของเบื้องบน ก็ปล่อยให้เบื้องบนพิจารณาเองเถอะ
“เดี๋ยวนะครับ คุณลามีอัส! ค่าสนามแม่เหล็กเริ่มลดลงแล้วครับ!”
ขณะที่ลามีอัสที่ไม่ได้ความคืบหน้ากำลังจะเดินออกไป อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็ตะเบ็งเสียงหยุดเธอเอาไว้ เธอจึงรีบหมุนตัวกลับมา หรี่ตาจ้องค่าตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ
เหมือนว่าปืนกระบอกใหญ่ใต้ชุดคลุมจะเริ่มกระหายเลือดแล้วสิ
…
“จงระงับความโกรธ และทิ้งความพิโรธ อย่าให้ใจเดือดร้อนของท่าน นำท่านไปกระทำชั่ว”
ภายในห้องหินหยาบ มีเพียงแสงอาทิตย์บางเบาลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามา อนาโตลี่กำลังยืนสวดอ้อนวอนด้านหน้าของหน้าต่างบานนี้เหมือนเคย
เขาคิดว่านี่เป็นสัญชาตญาณของเขา นับตั้งแต่เขารู้ความ เขาก็ใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการสวดอ้อนวอนเสมอ
ดังนั้น ถึงแม้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวจะถูกปิดผนึกไปแล้ว ไม่ว่าจะสวดภาวนาอย่างไรก็เรียกพลังศักดิ์สิทธิ์กลับมารวมกันไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งความเคยชินแบบนี้
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ด้านนอกประตูนั้น บาทหลวงอาวุโสหรือก็คือพ่อบุญธรรมของเขา ‘มอจจี้’ กำลังยืนรออยู่
มอจจี้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหล็ก ถอนหายใจแผ่วเบา แต่กลับได้ยินอนาโตลี่ในห้องหินเอ่ยถามเบาๆ ว่า “คุณพ่อ ถอนหายใจทำไมครับ?”
มอจจี้ส่ายหน้าตอบว่า “ลูกพ่อ ให้อภัยพ่อด้วย พ่อพยายามแล้ว แต่ลูกยังต้องถูกขังอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”
อนาโตลี่กลับตอบอย่างสงบว่า “คุณพ่อครับ คุณพ่อทำเพื่อผมมามากแล้ว ยังไงคุณซัลลิแวนก็แค่ผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ของผมไว้เท่านั้น เขายังไม่ได้กำจัดทิ้งสักหน่อย ถึงผมจะถูกขังไว้ที่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้ขับไล่ผม หรือว่าแค่นี้ยังไม่พอหรือครับ? พระผู้เป็นเจ้าบอกว่า ต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ เพราะคุณพ่อเก็บผมมาเลี้ยง ผมถึงได้รอดมายี่สิบกว่าปี”
มอจจี้ขมวดคิ้วพูดว่า “พ่อเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่มีใครเข้าใจลูกได้ดีกว่าพ่อแล้ว ทำไมลูกถึงได้มีความคิดบิดเบือนไปล่ะ? บอกพ่อมาสิ อนาโตลี่ลูกพ่อ ลูกนึกไม่ออกเลยเหรอ ว่าลูกไปเจออะไรมา?”
อนาโตลี่ส่ายหน้า
มอจจี้ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ “พระสังฆราชผู้นั้นกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าท่านจะไปนานแค่ไหน เกรงว่าลูกคงต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านจะกลับมา”
อนาโตลี่กลับพูดเสียงเรียบเฉย “ที่นี่มีทั้งน้ำ และอาหาร แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ บาทหลวงในสำนักที่ฝึกฝนหนักยังลำบากกว่าผมอีกมาก”
มอจจี้กำลังอ้าปากจะพูดบางสิ่ง ฉับพลันนั้นด้านนอกก็มีเสียงดังสนั่น จนพื้นสั่นสะเทือนมาถึงห้องหินแห่งนี้
ทั้งสองที่ถูกขัดบทสนทนาต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
มอจจี้ออกจากบริเวณห้องหินแห่งนี้ เดินมุ่งหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แม้แต่อนาโตลี่ก็ยังสมาธิแตก เผลอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างงุนงง
เสียงดังสนั่นยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง และยังดังกระหึ่มถี่มากขึ้น…มันเป็นเสียงระเบิดนั่นเอง
อนาโตลี่ยังได้ยินเสียงกรีดร้องรางๆ ดังส่งมา
หลังจากนั้นไม่นาน มอจจี้ก็รีบกระวีกระวาดกลับมา เขากลับมายืนอยู่หน้าประตูห้องหินอีกครั้ง พร้อมหน้าผากที่ได้รับบาดเจ็บ เลือดสดๆ แทบจะเปื้อนใบหน้าเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“คุณพ่อ!” ในที่สุดอนาโตลี่ก็ไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ได้
แล้วมอจจี้ก็พูดอย่างรีบร้อนว่า “พวกเราถูกจู่โจมแล้ว…พวกเขา พวกเขาคิดจะแย่งของในโบสถ์ไป! อนาโตลี่ ลูกรีบไปจากที่นี่เร็ว”
“ไม่ คุณพ่อ! ผมจะทิ้งคุณพ่อไปได้ยังไง! คุณพ่อครับ คุณพ่อ!!”
ปัง
วินาทีที่ประตูห้องเปิดออก มอจจี้ก็ล้มลงไปนอนนิ่งบนพื้น ในมือของเขายังกำกุญแจประตูไว้แน่น แต่ที่หน้าอกของเขากลับเต็มไปด้วยเลือดไหลนอง
“ให้อภัยพ่อด้วย พ่อเปิดผนึกของท่านซัลลิแวนให้ลูกไม่ได้แล้ว” มอจจี้พูดอย่างอ่อนแรง “เหมือนว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์จะใช้กับพวกเขาไม่ได้ผล…กระสุนของพวกเขาน่าจะพ่วงคำสาปมาด้วย พวกเขาใช้มันกำจัดยามของพวกเราไปได้เยอะแล้ว…”
“คุณพ่อ คุณพ่อหยุดพูดเถอะครับ! ผมจะห้ามเลือดให้เดี๋ยวนี้!”
“ไม่…ไม่ต้องแล้ว ลูก…ลูกเอาหูมาใกล้ๆ พ่อมีอะไรจะบอก…”
อนาโตลี่จำต้องก้มหน้าลงไป
แล้วมอจจี้ก็ล้วงของบางอย่างมาจากอก แล้วยัดมันเข้าไปในมือของเขา
“จง…จงยึดมั่นในศรัทธา ไม่ว่า…ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไร…แต่…” เสียงของมอจจี้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ “แต่ว่า…หากมีวันหนึ่งที่ลูกสับสน…และเคลือบแคลงสงสัย…ก็ให้ ก็ให้ไปหา…หา…”
“คุณพ่อ!!!”
มอจจี้ยังไม่ทันพูดจบก็สิ้นใจไปก่อน
จากนั้นอนาโตลี่ก็มองของที่คุณพ่อมอบให้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ‘การ์ดดำ’
…
กระสุนทะลุเกราะลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองได้อย่างง่ายดาย
ลามีอัสถือปืนสองมือ เดินเข้ามาในห้องหมายเลขสิบสามของสำนักฝึกบาทหลวงด้วยท่วงท่าสบายๆ มองบาทหลวงอธิการที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายในสำนักแห่งนี้
บาทหลวงฝึกหัดข้างกายของเขาสามสี่คนล้มจมกองเลือดไปหมดแล้ว
“พอใช้ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แล้ว พวกคุณยังสู้ทหารเกษียณไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลามีอัสหัวเราะเย้ยเบาๆ
“อาวุธต้องสาป…สมาคมนักบวชชุดดำพัฒนาของต่ำทรามแบบนี้ได้แล้วสินะ” บาทหลวงอธิการแห่งสำนักฝึกบาทหลวงตีหน้านิ่ง
แม้ว่าความตายอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
ลามีอัสขยับปืนสีเงินในมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “เลือดของเจ้าชายนักเสียบผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ อีกนิดหน่อยน่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไร แต่ผลก็อย่างที่เห็นไม่ใช่เหรอ”
“จุดประสงค์ของพวกคุณคืออะไร”
“บาทหลวงอธิการที่เคารพ สิ่งที่ซ่อนไว้ใต้ฝ่าเท้าของท่านคืออะไร?”
“อย่างที่คิดไว้สินะ…” บาทหลวงอธิการเริ่มทำหน้าเคร่งขรึม “ที่แท้ก็อยากทำให้มันแปดเปื้อนงั้นเหรอ?”
“เพื่อโลกใบใหม่”
ลามีอัสพูดอย่างเฉยชา แล้วกระสุนคำสาปก็พุ่งออกมาจากลำกระบอกปืนสีเงินในมือ ทะลุหน้าผากของบาทหลวงอธิการไปทันที
ลามีอัสยืนรอนิ่งๆ ครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าชายชราคนนี้จะไม่ลุกขึ้นมาอีก เธอถึงได้คว้าไมค์ติดตัวเล็กๆ มาพูดว่า “ให้ทีมบาทหลวงเข้ามาทำลายคาถาของที่นี่ เอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าในนี้ออกมา แล้วก็เก็บกวาดคนในนี้ให้หมดด้วย จากนั้นค่อยพาพวกที่จัดไว้เข้ามาพัก…นับตั้งแต่นี้ถ้ำคีฟเปเชิร์สกลาวราเป็นของพวกเราแล้ว”
“คุณลามีอัสครับ พวกเราจับคนได้คนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะถูกขังไว้ในคุกใต้ดิน อาจจะอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกมาก็ได้ครับ”
“ในตัวมีพลังศักดิ์สิทธิ์ไหม?” ลามีอัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ตรวจไม่พบร่องรอยของคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ครับ”
“อืม…” ลามีอัสคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ออกคำสั่ง “พวกที่ถูกขังไว้ ถ้าไม่ใช่นักโทษก็เป็นพวกนอกรีต ในเมื่อไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์…ก็จับตัวไว้ก่อนแล้วกัน ต่อไปอาจเอามาใช้ประโยชน์ได้”
“รับทราบครับ!”
ลามีอัสปล่อยมือจากไมค์ที่ติดอยู่บนตัว มองห้องหมายเลขสิบสามนี้แวบหนึ่ง ก่อนชี้นิ้วมือไปทางศพที่นอนกองอยู่ตรงนี้ แล้วเริ่มวาดสัญลักษณ์ไม้กางเขนไว้ข้างหน้าตัวเอง
ลามีอัสยิ้มน้อยๆ พลางเอี้ยวตัวไปเก็บปืนใส่ซอง “เพื่อโลกใบใหม่? ใครจะทำเพื่อเหตุผลน่าเบื่อแบบนั้นกัน?”
…
พอทำความสะอาดรอยเลือดบนผนังกำแพง และเอาศพไปเผาเรียบร้อยแล้ว ประตูบานใหญ่ของสำนักฝึกบาทหลวงก็เปิดออกอีกครั้ง ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
มีเพียงลามีอัสที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปจากสถานที่กลางดงป่าแห่งนี้