เจินเมี่ยวนั่งอยู่ด้านข้าง กำลังยกถ้วยชาลายดอกบัวขึ้นจิบ ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนั้นออกมา นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะด้านข้างอย่างเบามือ ถ้วยชาจึงกระทบกับโต๊ะไม้สาลี่เกิดเป็นเสียงกังวานแผ่วเบา
ลี่ว์เจวียนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันนี้จึงหันไปมองนางคราหนึ่งตามสัญชาตญาณ
นางคุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มหน้าต่ำ จึงเห็นเพียงถ้วยชาสีเขียวสดใสและมือเรียวยาวงดงามที่ประคองถ้วยชานั้นอยู่ สีขาวกระจ่างและสีเขียวสดใสสะท้อนเข้าหากันเกิดเป็นแสงนวลลออ งดงามเสียจนคนต้องตกตะลึง
เจินเมี่ยวคิดในใจว่าน้ำชาร้อนเกินไป นางปล่อยไว้สักหน่อยก่อนค่อยดื่มแล้วกัน
ลี่ว์เจวียนคิดในใจว่าต้าไหน่ไหน่กำลังจะเตือนนางว่ามิให้เอ่ยวาจาส่งเดชใช่หรือไม่
ลี่ว์เจวียนที่ติดตามนางเถียนมาตลอด ผ่านประสบการณ์มามากมาย ได้เห็นจูเหยียนสูญเสียความโปรดปราน หลี่ว์เอ๋อร์ถูกไล่ออก นางนั้นเป็นบุคคลที่ฉลาดและรอบคอบคนหนึ่ง ภายใต้การบีบคั้นอย่างไร้สุ้มเสียงของฮูหยินผู้เฒ่า นางกลับคิดได้ว่าหากมิพูดความจริงในวันนี้คงไม่ได้แน่ แต่ความจริงที่ว่านี้ควรเอ่ยบอกไปเช่นไรดีเล่า
ควรต้องทราบว่าตอนที่คุณชายสามก่อเรื่องน่าขบขันอย่างการคิดว่าเยียนเหนียงเป็นสาวใช้นั้นนางก็อยู่ในเหตุการณ์ แต่วันนี้ขณะกำลังวิวาทกันอยู่ ต้าไหน่ไหน่กลับบอกว่าผู้ที่ลักลอบพบกับเยียนเหนียงคือคุณชายรอง
“ลี่ว์เจวียน?” ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มทนไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย
นายท่านรองที่ยังคงมึนงงอยู่ไม่คลายกลับถีบลี่ว์เจวียนล้มลงไปกองกับพื้นทั้งด่าทอว่า “บ่าวชั่ว ฮูหยินผู้เฒ่าถามเจ้า เจ้าไยอ้ำอึ้ง หากไม่พูดความจริงออกมา จะขายเจ้าให้หอนางโลมเสียเดี๋ยวนี้เลย!”
“เจ้ารอง!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องตำหนิขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
ตระกูลที่อาบโลหิตในสงคราม ไอสังหารรุนแรงเช่นพวกเขา กลับปฏิบัติต่อบ่าวไพร่อย่างเที่ยงธรรมและมีน้ำใจ หากทำผิดก็เพียงขายออกไป มิเคยบีบคั้นคนจนอับจนหนทาง
นายท่านรองแม้ไม่กล้าโต้เถียงฮูหยินผู้เฒ่าแต่สายตาที่จ้องลี่ว์เจวียนกลับเย็นชายิ่ง
ไม่ว่าอย่างไรหากเขาคิดจะจัดการสาวใช้น้อยสักคนหนึ่งย่อมสามารถทำได้อย่างแน่นอน
ลี่ว์เจวียนใช้มือยันพื้นไว้ ตอนที่นางล้มคว่ำไปกับพื้นนั้นก็ไม่กล้าร้องขึ้นมาสักแอะ แต่ในชั่วขณะนั้นกลับตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว
นางลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าอีกครั้ง ศีรษะก้มลงต่ำยิ่ง แต่น้ำเสียงกลับชัดเจนอย่างที่สุด “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ บ่าวมิใช่ไม่ทราบเรื่องแต่…บ่าวไม่กล้าพูดเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น นางรู้ว่าสาวใช้คนสนิทที่คอยติดตามนายตนย่อมรู้ความลับมากมายจึงกลัวว่าหากพูดออกไปแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ การไม่กล้าพูดนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว
“ลี่ว์เจวียน เจ้าไม่กล้า แต่ย่อมต้องมีคนที่กล้ากว่าเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ
หากสาวใช้ผู้นี้มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็สามารถเหลือทางให้นางได้เดินต่อได้ แต่หากคิดจะต่อรองอันใดนั้นไม่มีทางอย่างแน่นอน
ลี่ว์เจวียนลอบสูดปากตน นางไม่กล้าลังเลอีกแล้วจึงหันไปมองนายท่านรองอย่างระมัดระวังคราหนึ่ง ทั้งยังชำเลืองมองมืออันขาวนวลเนียนนั้นด้วย สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยออกไปว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ วันนี้ที่ฮูหยินรองหาเรื่องเยียนอี๋เหนียงนั้นเป็นเพราะ…ฮูหยินรองทราบว่าคุณชายรองมีความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเยียนอี๋เหนียงเจ้าค่ะ!”
ดูท่าฮูหยินรองคงไม่รอดแล้ว นางที่เป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง เหตุใดต้องไปขัดแย้งกับต้าไหน่ไหน่ด้วยเล่า
วาจานี้ดั่งก้อนหินที่โยนทะลุสวรรค์ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่สุขุมมาตลอดถึงกับต้องยืนขึ้นด้วยความตกใจ “เจ้าพูดอีกทีสิ!”
นายท่านรองเองก็โกรธมากเช่นกัน เขาพุ่งไปกระชากลี่ว์เจวียนขึ้นมาจากพื้นแล้วเอ่ยว่า “พูดใส เรื่องราวเป็นเช่นใดกันแน่!”
มีเพียงเจินเมี่ยวที่มองละครฉากนี้อยู่อย่างสงบนิ่ง นางยื่นมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม พลางเอ่ยในใจว่าในที่สุดก็ดื่มได้เสียที ชานี้รสชาติไม่เลวจริงๆ
“เป็นไปไม่ได้!” เมื่อได้ยินบอกเล่าของลี่ว์เจวียน นายท่านรองก็โมโหยกใหญ่
ในใจของเขาคุณชายรองสอบไม่ผ่านครานี้เป็นเพราะโชคไม่ดีเท่านั้น เขาสอบผ่านเป็นจวี่เหรินแล้ว หากหลังจากนี้อีกสามปีได้สอบอีกครั้งย่อมต้องสอบได้อันดับหนึ่งเป็นแน่
แต่ยามนี้สาวใช้ผู้นี้กลับบอกว่าคุณชายรองคิดไม่ซื่อกับเยียนเหนียง เป็นไปได้อย่างไร!
“บ่าวชั่ว เจ้าหยุดพูดเหลวไหลเสียที!”
“เจ้ารอง เจ้าทำอันใด” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจหลังตื่นจากภวังค์
นายท่านรองยังคงโมโหอยู่มาก “ท่านแม่ บ่าวชั่วช้านี้พูดจาเหลวไหล หนึ่งปีก่อน เจ้าสามคิดว่าเยีนเหนียงเป็นสาวใช้ของนางเถียนจึงไปขอจากนาง เรื่องนี้มีความจริงอยู่หลายส่วน เช่นนั้นก็ไม่ควรเป็นเจ้ารอง!”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า ทั้งที่เป็นบุตรชายฝาแฝดแท้ๆ คุณชายสามคงเป็นของแถมมากระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเจินเมี่ยว “หลานสะใภ้ ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
เจินเมี่ยวยกถ้วยน้ำชาขึ้น “ท่านย่า ท่านดื่มชาก่อนเถิดเจ้าคะ ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็มิสำคัญเท่าสุขภาพของท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ารับถ้วยชามาจิบคำหนึ่ง เมื่อได้ผ่อนคลายจากความตึงเครียดครู่ อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “หลานสะใภ้ไม่ทราบเรื่องที่น้องสามเข้าใจผิดคิดว่าเยียนอี๋เหนียงเป็นสาวใช้ แต่กลับบังเอิญเห็นน้องรองขวางเยียนอี๋เหนียงเพื่อพูดคุย ตอนนั้นน้องสามยังอยู่ในค่ายทหารอันห่างไกล คิดว่าคงไม่มีทางดูผิดไปได้แน่”
เดิมนางไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายสามจะเคยชมชอบเยียนเหนียงจริงๆ หากบอกว่าสตรีผู้หนึ่งที่ยั่วยวนจนบิดาและบุตรทั้งสองต่างหวั่นไหวเป็นคนอ่อนแอใสซื่อ นางคงพูดได้แค่เพียงคำว่า ‘เหอะๆ’ แล้ว
เจินเมี่ยวเกิดความรู้สึกรังเกียจเยียนเหนียงขึ้นมาจึงไม่อยากปกป้องนางอีก แล้วปล่อยให้คุณชายสามถูกใจผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว
ควรต้องบอกว่าการที่นางไม่พูดออกมาว่าบิดาแท้ๆ ของคุณชายแปดคือผู้ใดนั้นก็นับว่าเมตตามากแล้ว
“นางเจิน เจ้าคิดจะทำลายชื่อเสียงน้องรองเจ้าหรือมีแผนอันใดอยู่กันแน่” นายท่านรองเอ่ยด้วยความโมโห
เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ “อารองพูดเช่นนี้ได้อย่างไร หลานสะใภ้เพียงพูดในสิ่งที่เห็นเท่านั้น หรือหากบอกว่าเป็นน้องสาม แล้วเขาจะไม่เสียชื่อเสียงงั้นหรือ”
วาจานี้ทำเอานายท่านรองเป็นใบ้ไปเลยทีเดียว เส้นโลหิตตรงขมับเต้นกระตุกไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ไปเรียกเยียนเหนียงมา”
มาถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อมันเกี่ยวโยงไปถึงหลานชายทั้งสอง หากคิดจะแกล้งไขสือก็คงไม่ได้แล้ว
“ท่านแม่ เยียนเหนียงถูกกดศีรษะให้จมน้ำ เกรงว่ายามนี้คงยังไม่ฟื้น…”
ฮูหยินผู้เฒ่าตบโต๊ะโดยแรง “ต่อให้ต้องคลานมาก็ต้องทำ!”
พูดจบแล้วแต่ยังคงไม่คลายโทสะจึงยกไม้เท้าขึ้นชี้นายท่านรองก่อนเอ่ยว่า “เจ้าคนเลอะเลือน ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังปกป้องตัวหายนะนั่นประหนึ่งสมบัติล้ำค่าอยู่อีกหรือ!”
นายท่านรองขยับขมุบขมิบ ในใจกลับรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง
ตั้งแต่เยียนเหนียงเข้าจวนมา เขาก็อยู่ที่เรือนนางแทบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเจ้ารองหรือเจ้าสามมีอันใดกับเยียนเหนียง เขาย่อมไม่เชื่อเด็ดขาด แต่ด้วยความงามของเยียนเหนียงก็อาจทำให้ตัวเดรัจฉานน้อยนั่นคิดไม่ซื่อได้เช่นกัน
ภายในห้องเงียบสงบลง มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังสลับกันไปมา ผ่านไปไม่นานเยียนเหนียงก็ถูกคนประคองเดินเข้ามา
“เยียนเหนียงคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
ผมดำขลับที่ยังเปียกชื้นของนางนั้นใช้ผ้ารัดผมสีเขียวผูกไว้ ใบหน้าขาวเนียนใสดุจไขมันแช่แข็งก้มต่ำมองพื้น ผิวขาวปานหิมะ เส้นผมดำขลับ มองดูแล้วคล้ายว่ามิใช่คนจริงๆ แต่เป็นปีศาจบุปผาที่แปลงกายเป็นบงกชขาวในสระเพื่อมาล่อลวงใจคนกระนั้น
เมื่อมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้แต่ลอบทอดถอนใจอยู่ในอกว่า ‘อัปรีย์’ แล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฮูหยินรองจึงไปหาเรื่องเจ้า”
“เยียนเหนียงไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มแล้วขว้างถ้วยชาออกไป “เพราะฮูหยินรองรู้เรื่องงามหน้าของเจ้ากับคุณชายในจวนอย่างไรเล่า!”
เยียนเหนียงอึ้งงันไป แล้วเงยหน้าขึ้นมองนายท่านรองครางหนึ่งตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวแต่แววตายังคงอบอุ่นเช่นเดิมก็เข้าใจทันที
เดิมนางก็เป็นคนฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะสามารถปั่นหัวนายท่านรองและบุตรชายทั้งสองได้อย่างไร เมื่อเห็นเช่นนี้นางก็ทราบทันทีว่าวาจานี้ของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแผนหลอกล่อนาง
โบราณว่าจับขโมยต้องมีหลักฐาน บางทีฮูหยินผู้เฒ่าอาจได้ยินข่าวลือใดมา แต่ต้องไม่มีหลักฐานอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนายท่านรองคงไม่มีท่าทีสับสนเช่นนี้
เยียนเหนียงมีสีหน้าเรียบสงบยิ่ง “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เยียนเหนียงมิได้ทำเรื่องอันไม่สมควรใดเลย ส่วนความคิดเห็นของผู้อื่นนั้น เยียนเหนียงย่อมมิอาจควบคุมได้”
“เจ้าหมายความว่ามีแค่คุณชายที่หวั่นไหวกับเจ้า แต่ตัวเจ้าเองนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่”
“บุปผาบานสะพรั่งงดงาม มีคนอยากเด็ดดม ผู้อื่นมิโทษคนละโมบนั่น แต่กลับตำหนิที่บุปผางามเพราะว่ามันมิอาจเอ่ยปากพูดได้เท่านั้น” เยียนเหนียงเอ่ยเสียงเรียบ
ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่ยอมรับว่าตนมีความสัมพันธ์กับคุณชายรองเด็ดขาด นางตายนางไม่เสียดายแต่มิอาจทำให้บุตรชายต้องลำบาก
“ช่างปากดีนัก!” ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่ามีแต่ความโกรธเกรี้ยว “มิน่าเล่าถึงได้ลากคุณชายรองกับคุณชายสามเข้ามาเกี่ยวพันกับตนได้!”
เยียนเหนียงอึ้งงันไป หางตาหันชำเลืองเจินเมี่ยวอย่างรวดเร็วคราหนึ่ง
ซื่อจื่อเคยบอกนางด้วยตนเองว่าอย่าได้เอาคุณชายสามเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
นางถอนหายใจแผ่วเบาอยู่ในอก แล้วก้มหน้าลงติดพื้น เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “วาจานี้ของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เยียนเหนียงไม่ทราบจะทำอย่างไรดีแล้ว มีครั้งหนึ่งคุณชายรองเคยขวางเยียนเหนียงไว้แล้วเอ่ยพูดจาแปลกประหลาดบางอย่าง ส่วนคุณชายสามนั้นกลับมิเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเลย เยียนเหนียงไม่เข้าใจสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้ารอง?” นายท่านรองเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว “เยียนเหนียงเจ้าแน่ใจว่าคนที่ขวางเจ้าไว้คือเจ้ารอง”
เยียนเหนียงมองนายท่านรองคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “คุณชายสามมิใช่ไปพักที่ค่ายทหารหรอกหรือเจ้าคะ”
ริมฝีปากนายท่านรองสั่นระริกอยู่เช่นนั้นเป็นนานก็มิเอ่ยวาจาออกมา ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยกัดฟันพูดขึ้นว่า “เจ้าเดรัจฉาน!”
เขาหมุนกายคิดจะเดินไปคิดบัญชีกับคุณชายรองแต่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้หยุดไว้ก่อน
“เวลานี้คนในจวนต่างกำลังคาดเดาถึงเหตุผลที่นางเถียนไปหาเรื่องเยียนอี๋เหนียง เจ้าอยากจะให้คนรู้หรือไรว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณชายรองของจวนเรา”
นายท่านรองกระทืบเท้าตนโดยแรง
ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่อยากแน่ใจว่าเยียนเหนียงเกี่ยวข้องกับคุณชายคนใดกันแน่ ส่วนการสืบถามเอาความอย่างละเอียดนั้นกลับมิได้คิดจะทำแม้แต่น้อย เพราะนอกจากจะพบแต่เรื่องลำบากใจและโมโหแล้วก็มิได้อันใดเลย
สายตานางมองไปที่เยียนเหนียงแล้วถอนหายใจออกมา “เยียนอี๋เหนียง เห็นแต่ที่เจ้าให้กำเนิดคุณชายแปด ข้าจะไม่ไล่เจ้าไป ที่ฝั่งตะวันตกของจวนกั๋วกงมีเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ไม่มีคนอยู่มานานปีแล้ว ต่อไปเจ้าย้ายไปอยู่ที่นั่นเถิด บุปผาบานงดงามเกินไป ในเมื่อมันทำให้ใจคนหวั่นไหว เช่นนั้นก็อย่าให้คนพบเห็นมันเป็นการดีที่สุด”
“ท่านแม่!” นายท่านรองอดเอ่ยร้องขอความเห็นใจมิได้
บุปผางดงามหรอกนี้เป็นคนที่อยู่ในหัวใจของเขา หากต่อไปเขามิอาจได้พบอีก เขาจะทำใจได้อย่างไร!
ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่านิ่งขรึมดุจสายน้ำ “หรือจะให้ข้าเรียกคนเอาสุราพิษมาเยียนอี๋เหนียงตอนนี้เลยเล่า”
นายท่านรองตัวสั่นไปทั้งตัว เขาไม่กล้าพูดอันใดให้มากความอีก แต่ความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อคุณชายรองกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างที่สุด
“ลี่ว์เจวียน”
“เจ้าค่ะ” ลี่ว์เจวียนใจเต้นตึกตักขึ้นมา นางหมอบอยู่บนพื้นอย่างคนต้อยต่ำ
“ต่อไปให้เจ้าคอยรับใช้เยียนเหนียงแล้วกัน”
ลี่ว์เจวียนเอ่ยตอบเสียงสั่นว่า “เจ้าค่ะ”
การมีจุดจบเช่นนี้แทนการถูกกรอกยาให้เป็นใบ้แล้วขายทิ้งไป แค่นี้นางก็พอใจแล้ว
“คุณชายรองสอบไม่ผ่านทำให้จิตใจเศร้าหมอง ส่งเขาไปพักผ่อนที่เรือนนอกเมืองหลวง ส่วนคุณชายแปดให้เอามาที่เรือนข้า ข้าเหนื่อยแล้ว หลานสะใภ้ประคองข้ากลับเรือนอี๋อานที”
คลื่นพายุครานี้คล้ายจบลงเช่นนี้ เยียนอี๋เหนียงถูกกักบริเวณกลายๆ คนในจวนต่างคิดว่าเป็นเพราะนางเถียนป่วยหนัก ทว่าอาการป่วยของนางเถียนกลับทรุดลงทุกวัน
และเวลานี้เองข่าวจากหมู่บ้านสือหลี่ที่จิงโจวก็ได้ส่งมาถึงเมืองหลวง